จิ่งเหิงปัวมองดูเหยียลี่ว์ฉีเดินออกมา เตรียมที่จะถูกเขาสอบถามจนหมดเปลือกแล้ว…ทหารเยียนซามองไม่ออกว่ามีอะไรซ่อนอยู่ภายในนี้ แต่เป็นไปไม่ได้ที่เหยียลี่ว์ฉีจะไม่เข้าใจ

 

 

สุดท้ายเหยียลี่ว์ฉีเพียงพินิจนางตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าครั้งหนึ่ง ยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้านแล้วเอ่ยว่า “สีหน้าดีขึ้นมากแล้ว”

 

 

“ไม่โกรธหรือ?” จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มเช่นกัน

 

 

“เหตุใดต้องโกรธหรือ? ชิงไหวชิงพริบเพื่อตระกูลอย่างต่อเนื่องในตี้เกอเป็นเวลาหลายปี ข้าเองก็เบื่อหน่ายแล้ว” เขาหันหน้ากะพริบตาให้จิ่งเหิงปัว เอ่ยสืบต่อว่า “ได้หลุดพ้นจากวังวน เชยชมทัศนียภาพทั่วโลกหล้าพอดี เฮ้อ หากได้เชยชมทัศนียภาพทั่วโลกหล้ากับเจ้า เช่นนั้นความต้องการชั่วชีวิตของข้าย่อมสมปรารถนาแล้ว”

 

 

จิ่งเหิงปัวเบะปากไม่สนใจยามเขาเอ่ยวาจาเพื่อรักษาหน้า

 

 

บนกำแพงเมือง กงอิ้นมองดูชายหญิงที่อมยิ้มผูกสัมพันธ์อยู่ข้างล่างคู่นั้น นิ้วมือที่วางอยู่บนอิฐกำแพงเย็นเยียบไม่ขยับเขยื้อน

 

 

“ราชินี ที่พระองค์ตรัสว่าจะฝากความทรงจำไว้ให้ตี้เกอ ให้พวกเราได้ระบายโทสะเล่า?” ทหารเยียนซากำลังเรียกร้อง

 

 

“ให้ข้ายืมปราณแท้” จิ่งเหิงปัวแบมือไปทางอีชี

 

 

“เจ้าไม่เหมาะสมจะโคจรปราณแท้ในยามนี้” เหยียลี่ว์ฉีห้ามปรามโดยพลันว่า “โดยเฉพาะยืมปราณแท้ยิ่งไม่ได้”

 

 

“ข้าทั้งไม่เหมาะสมจะเป็นราชินี ข้าทั้งไม่เหมาะสมจะมีชีวิตอยู่” จิ่งเหิงปัวไม่หันหน้ากลับมาด้วยซ้ำ กล่าวว่า “ทว่ายามนี้ข้ายังมีชีวิตอยู่”

 

 

เหยียลี่ว์ฉีหุบปาก พบว่าไม่เพียงแต่กงอิ้นกลายเป็นพวกเผด็จการแล้ว แม้แต่จิ่งเหิงปัวยังกลายเป็นพวกต่อต้านไม่ได้

 

 

“เรื่องที่ภรรยาเอ่ยล้วนเป็นเรื่องที่ถูกต้อง เรื่องที่ภรรยาต้องการล้วนต้องทำให้ได้” อีชีก้าวเดินเข้ามาอย่างเริงร่า ฝ่ามือทาบลงบนหลังของจิ่งเหิงปัว พอทาบลงไปก็พลันร้องตะโกนโหวกเหวกว่า “ไอ้หยา ภรรยาเหตุใดเจ้าถึงผอมลง กระดูกแทบจะโผล่ออกมาหมดแล้ว!”

 

 

“เจ้าเจ็ดเจ้ามันพวกบ้ากาม” หกสังหารร้องโวยวายว่า “เอ่ยมาสิ เจ้าเคยลูบคลำนางยามใดกัน! ซ้ำยังกล้าไม่บอกพวกเรา!”

 

 

“ในฝัน!”

 

 

จิ่งเหิงปัวหัวเราะฮ่าๆ แล้วหลับตาลง ไอสีม่วงกะพริบวูบผ่านกลางหน้าผาก

 

 

กําลังภายในของอีชีเปี่ยมพลังอย่างที่คิดไว้ แม้ว่าคนที่ไม่มีพื้นฐานวรยุทธ์อะไรเช่นนางนี้จะไม่มีประสบการณ์ แต่ยังรู้สึกว่ามีกระแสความร้อนทรงพลังดั่งแม่น้ำแล่นผ่านอวัยวะภายในร่างกาย ที่ซึ่งกระแสความร้อนพาดผ่าน เส้นโลหิตทั่วร่างคล้ายถูกปลุกเร้า เต้นระรัวหวังขยับเขยื้อน

 

 

ฝั่งตรงข้าม เหยียลี่ว์ฉีจ้องมองไอสีม่วงที่กะพริบวูบผ่านกลางหน้าผากนางด้วยสีหน้าประหลาดใจ

 

 

นางไม่มีวรยุทธ์มิใช่หรือ…เหตุใดถึงเริ่มซึมซับเทียนเซียงจื่อได้แล้ว?

 

 

เขาย่อมไม่รู้ว่าวิธีหายใจโดยใช้กล้ามเนื้อท้องของโยคะบางส่วนคล้ายคลึงกับวิธีฝึกหายใจเข้าออกของตระกูลเหยียลี่ว์ กระตุ้นให้เกิดการหลอมละลายเทียนเซียงจื่อที่ตันเถียน[1]โดยไม่ตั้งใจ แน่นอนว่าจิ่งเหิงปัวเองก็ไม่รู้เช่นกัน

 

 

หลังจากนั้นไม่นาน จิ่งเหิงปัวก็ลืมตาขึ้น ท่าทางเซื่องซึมสูญสลายหายไป สายตาดั่งสายฟ้า

 

 

พละกำลังที่ยืมมาพาให้นางกระปรี้กระเปร่าทันที

 

 

ดั่งเกิดปณิธานอันยิ่งใหญ่ในการเปลี่ยนพลิกสถานการณ์

 

 

พอนางหันหน้า จ้องมีดบางที่แนบอยู่บนขาของขุนพลเยียนซานายนั้นเขม็ง

 

 

ทหารเยียนซาพันผ้าพันขาเพื่อสะดวกต่อการสู้รบ ผ้าพันขาแนบเนื้อสอดมีดคมเล่มบางไว้ ใช้สำหรับตะลุมบอนกับศัตรูในยามสุดท้าย

 

 

ขุนพลนายนั้นถูกนางมองจนตกใจ ขาหดกลับไปข้างหลังโดยสำนึก จากนั้นเขาก็เบิกตากว้าง…กริชที่อยู่บนขาพลันลอยขึ้นมาด้วยตนเอง!

 

 

เขารีบร้อนเอื้อมมือไขว่คว้า ทว่ามีดเล่มนั้นพลันหลีกถอยประหนึ่งมีจิตวิญญาณของตนเอง จากนั้นเปลี่ยนทิศทางครั้งหนึ่ง รัศมีโค้งดั่งอสนีบาตพุ่งตรงไปบนกำแพงเมือง!

 

 

คนบนกำแพงเมืองมองเห็นฉากนี้อย่างชัดเจนตั้งแต่แรกแล้ว พากันหน้าถอดสีทยอยหลบหลีก เหมิงหู่ตะโกนลั่นว่า “นายท่านถอยไป!” ก่อนกะพริบกายพุ่งเข้ามา

 

 

แม้ว่ารัศมีโค้งของคมมีดยังไม่ได้กำหนดเป้าหมาย ทว่าในเมื่อผู้ลงมือคือจิ่งเหิงปัว มีดนั้นย่อมพุ่งตรงมาหากงอิ้น

 

 

กงอิ้นไม่ขยับเขยื้อนแม้เพียงน้อย

 

 

เหมิงหู่ร้อนอกร้อนใจ คว้าหัวไหล่ของเขาไว้แล้วลากเขามาข้างหลังโดยไม่สนใจตำแหน่งสูงต่ำ พอสัมผัสหัวไหล่ของเขาพลันได้ยินเสียงน้ำแข็งแตกร้าว เขาตื่นตระหนก มือลื่นไถลผ่านความเย็นเยียบผืนหนึ่งแล้ว

 

 

มีดเหินสู่จุดหมาย แสงรุ่งโรจน์เปล่งประกายหนาวสะท้าน มีดพุ่งมาสู่กงอิ้นดั่งคาดการณ์

 

 

เขายังคงไม่ขยับเขยื้อนแม้เพียงน้อย ผมยาวพลิ้วไสวแม้ไร้สายลม บดบังสายตามืดมนผืนหนึ่งของเขาไว้

 

 

เหมิงหู่ตะโกนจนเสียงเปลี่ยนไปแล้ว

 

 

“นายท่าน ท่านไม่อาจ…”

 

 

เสียงหนึ่งนี้เสียดแทงดวงใจ กงอิ้นคล้ายถูกเตือนถึงอะไรสักอย่าง แสงมืดมิดภายในนัยน์ตากะพริบวูบ ยกมือวาดนิ้วมือเพียงครั้ง

 

 

มีดเหินหยุดชะงัก

 

 

ทุกคนเพิ่งเป่าปากโล่งอก ห้อมล้อมเป็นกลุ่มก้อนข้างกายกงอิ้น

 

 

ข้างบนพลันมีเสียงหนึ่งดังสนั่น!

 

 

ฟังดูแล้วคล้ายเป็นเสียงของสิ่งใดสิ่งหนึ่งหักสะบั้น

 

 

เสาธง!

 

 

ในสมองของทุกผู้คนพลันมีสองคำนี้เฉียดผ่านปานสายฟ้าแลบ เงยหน้าขึ้นโดยพลัน

 

 

แล้วมองเห็นบนท้องนภาฟ้าครามผืนหนึ่ง ผ้าขาวราวหิมะผืนหนึ่งเอนเอียงห้อยลงดังพึ่บพั่บ ใหญ่โตแผ่กว้างดั่งคล้ายหิมะหนาหนักตกลงมาอีกรอบหนึ่ง

 

 

ปราดสองมองเห็นธงตี้เกอ ธงแม่น้ำสีดำภูเขาสีขาวผืนนั้นซึ่งเป็นของกงอิ้น เสาธงหักสะบั้น ขวานที่ไม่รู้ว่ามาจากที่ใดเล่มหนึ่งปรากฏขึ้น สะบั้นผ่านผืนธงพอดิบพอดี ฟันผืนธงนั้นมั่วซั่วดังฉึกๆๆ หลายครั้ง!

 

 

ความเงียบสงัดประหนึ่งวายชนม์

 

 

คนทั้งข้างบนทั้งข้างล่างกำแพงเมืองเกือบหมื่นคนมองดูธงที่อยู่กลางอากาศค่อยๆ เอนเอียงด้วยท่าทางปากอ้าตาค้าง ขวานเล่มหนึ่งฟันธงอย่างบ้าคลั่ง ฟันจนธงของกงอิ้นยับเยินในพริบตาเดียว

 

 

ดั่งคล้ายมีเทพยดาล่องหนกำลังเหาะเหินกลางอากาศ คว้าขวานปากกว้างฟันสัญลักษณ์แห่งตี้เกอจนเละเทะต่อหน้าคนเกือบหมื่นคน!

 

 

ขวานกวัดแกว่งไร้ซึ่งลำดับขั้นตอน ทว่าบ้าคลั่งเดือดดาลท่าทางสะกดผู้คน ท่วงท่านั้นไม่คล้ายฟันผืนธง ทว่าคล้ายฟันร่างมนุษย์ มองแล้วพาให้ทุกคนครั่นคร้าม รู้สึกเพียงขนลุกทั่วทั้งร่างดั่งเห็นโลหิตเจิ่งนอง ทั่วโลกหล้าแย่งชิงอำนาจ คนผู้หนึ่งดิ้นรนลุกขึ้นจากกองโคลน ใช้ไอสังหารกลบกลืนผืนปฐพี

 

 

หลังจากนั้นครู่เดียว ทหารเยียนซาที่หายจากอาการตกตะลึงพลันเปล่งเสียงโห่ร้องยินดีที่ได้ระบายความโกรธจนสิ้นเสียงหนึ่ง

 

 

“ดี!”

 

 

คลื่นเสียงดุจสายฟ้า สะท้านจนกำแพงเมืองตี้เกอส่งเสียงดังหวึ่งๆ

 

 

คูเมืองตี้เกอคล้ายสั่นสะเทือนเล็กน้อยเช่นกัน ทุกคนเหลียวมองกันหน้าถอดสี กลัวว่าขวานแปลกประหลาดเล่มนั้นพลันเหินมาจู่โจมราชครู ได้แต่ห้อมล้อมปกป้องกงอิ้นไว้ชั้นแล้วชั้นเล่า

 

 

มีเพียงกงอิ้นที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงโดยตลอด แทบเรียกได้ว่าตั้งใจมองดูขวานฟันธงของตนเองอย่างบ้าคลั่ง เศษผ้าขาวราวหิมะกระจายว่อน บางส่วนล่องลอยมาบนใบหน้าเขา เขาไม่ยอมร่นถอย ยื่นนิ้วมือรับไว้อย่างเชื่องช้า มองดูอย่างใจลอย

 

 

จำแนกมิได้ว่าระหว่างเศษผ้าหรือปลายนิ้ว สิ่งใดขาวราวหิมะมากกว่ากัน

 

 

ขวานบ้าคลั่งเล่มนั้นยังไม่ยอมหยุดยั้ง หลังจากฟันผืนธงจนขาดวิ่นแล้ววนเวียนครั้งหนึ่ง ฟันเสาธงดังฉับๆๆ ต่อเนื่องนับครั้งไม่ถ้วน เสาธงกลายเป็นท่อนไม้นับมิถ้วนท่อน สุดท้ายเปลี่ยนทิศทางครั้งหนึ่ง ผืนธงขาดวิ่นพุ่งสู่กลางอากาศ แสงเหน็บหนาวจากผิวใบมีดส่องสะท้อนรอบด้านใต้แสงอาทิตย์!

 

 

ธงที่ขาดรุ่งริ่งกลายเป็นแหจับปลาค่อยๆ ร่วงหล่นลงในกองโคลนหิมะบนกำแพงเมือง กระจัดกระจายจนจำลักษณะดั้งเดิมไม่ได้

 

 

ทุกคนมองดูธงขาดวิ่นอย่างมึนงง จากนั้นแหงนหน้าขึ้นมองขวานที่ทะยานสู่ท้องฟ้าเล่มนั้น ขวานยังไม่ได้ร่วงหล่น เปลี่ยนทิศทางครั้งหนึ่งตรงไปยังธงผืนที่สอง!

 

 

ทุกคนกลั้นหายใจรอคอยการเข่นฆ่าบ้าคลั่งอีกระลอกหนึ่ง

 

 

ทว่าขวานเล่มนั้นพุ่งสู่ผืนธง ไม่ได้แตะต้องเสาธง ลากเส้น “กากบาท” ขนาดมหึมาบนผืนธง ฉับๆ สองครั้ง!

 

 

จากนั้นก็ร่วงหล่นดังพลั่กเสียงหนึ่ง

 

 

ทุกคนบนกำแพงเมืองตกใจจนก้าวถอยหลัง ตะโกนวุ่นวายว่า “ปกป้องราชครู” ระลอกหนึ่ง กลัวว่าขวานเล่มนั้นจะเหินขึ้นมาฟันมนุษย์อีกครั้ง

 

 

กงอิ้นไม่มองขวานนั่นด้วยซ้ำ เพียงหันหน้ากลับมามองจิ่งเหิงปัว

 

 

จิ่งเหิงปัวพ่นลมหายใจยืดยาวออกมาแผ่วเบา

 

 

แสดงความสามารถมากเกินปกติ

 

 

นึกไม่ถึงว่าด้วยความช่วยเหลือของอีชี การใช้พลังจิตควบคุมวัตถุครั้งนี้จะคลุ้มคลั่งแบบนี้ อาจจะมีเหตุผลอีกข้อหนึ่งคือความรู้สึกกลัดกลุ้มในใจที่นางต้องการการระบายอารมณ์อย่างถึงอกถึงใจสักครั้งล่ะมั้ง

 

 

ธงกษัตริย์ของเจ้าหักสะบั้น ขวานฟาดฟันกำแพงสิบแปดสาย เมฆสูญสิ้นเห็นฟ้านภาลัย รุ้งทลายใฝ่หาดาราพราว!

 

 

แม้จะได้รับบาดเจ็บด้วยเพราะเหตุนี้ก็คุ้มค่า!

 

 

มีดเหินเป็นเพียงการอำพราง แท้จริงแล้วนางจะใช้ขวานศึกเล่มนั้นที่ทหารเยียนซาเขวี้ยงลงบนประตูเมืองก่อนหน้านี้ ฉวยโอกาสตอนทุกคนถูกมีดเหินดึงดูดความสนใจทั้งหมด ควบคุมขวานศึกเลียบขึ้นไปตามกำแพงเมืองอย่างเงียบเชียบ ฟันเสาธงจนหักสะบั้น

 

 

ครั้งนี้คือการควบคุมอาวุธสองชิ้นในขณะเดียวกันเป็นครั้งแรกของนางด้วย สมบูรณ์แบบเหนือความคาดหมาย

 

 

เสียงร้องยินดีของเยียนซาพุ่งสู่ท้องฟ้า พวกเขาไม่ชื่นชอบตี้เกอ มองเห็นองครักษ์ตี้เกอพ่ายแพ้เช่นนี้ก็รู้สึกโดยพลันว่าดั่งได้กินน้ำแข็งยามคิมหันต์ สดชื่นไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ

 

 

“สะใจ!” ขุนพลนายนั้นตบไหล่ของอีชีอย่างแรง ร้องว่า “องค์ราชินีองอาจยิ่งนัก! ข้าต้องผูกมิตรกับนางแน่แล้ว!”

 

 

 

 

จิ่งเหิงปัวเงยหน้าขึ้น มือชี้ไปบนกำแพงเมือง

 

 

เสียงโห่ร้องยินดีของทหารเยียนซาหยุดลง

 

 

บนกำแพงเมืองกลายเป็นความเงียบสงัดผืนหนึ่ง

 

 

ไม่รู้เริ่มตั้งแต่ยามใด ทุกผู้คนยินยอมตั้งใจฟังยามอยู่เบื้องหน้านาง

 

 

จิ่งเหิงปัวชี้ไปยังตำแหน่งของธงผืนที่สาม ตรงนั้นเหลือเพียงเสาโกร๋นครึ่งเสา

 

 

“ธงของผู้ช่วงชิงอำนาจทางการเมือง เลือดเย็นไร้ยางอาย ไม่คู่ควรเป็นธงแห่งตี้เกอ!”

 

 

กงอิ้นมีสีหน้าดุจหิมะ สันหลังตั้งตรง จ้องมองนางโดยไม่กะพริบตาสักครั้ง

 

 

จิ่งเหิงปัวไม่มองเขาสักแวบเดียวด้วยซ้ำ มือชี้อีกครั้ง ชี้ไปยังธงผืนนั้นซึ่งแต่เดิมควรเป็นของตนเอง

 

 

“นั่นคือธงของข้า ประทับตราสัญลักษณ์ของข้าแล้ว รอยกากบาทนั่นอย่างไร!” นางกล่าวเสียงดังว่า “รอยกากบาทนี้จะคอยย้ำเตือนพวกเจ้าว่าวันนี้ข้าเป็นคนโง่ก่อน วันหน้าพวกเจ้าโง่กันทั้งนคร!”

 

 

ทั้งข้างบนทั้งข้างล่างกำแพงเงียบสงัด ไม่รู้ว่าตกตะลึงด้วยเพราะน้ำเสียงของนาง หรือการใช้คำน่าหวาดกลัวของนาง

 

 

นางใช้พละกำลังเฮือกสุดท้ายจนหมดสิ้น

 

 

“ธงผืนนี้ ไม่ช้าก็เร็ววันใดวันหนึ่งข้าจะมาเติมเต็ม หากพวกเจ้ามีปัญญาก็จงเปลี่ยนเสียสิ ผู้ใดเปลี่ยน ภายภาคหน้าข้าฆ่าล้างโคตรคนผู้นั้น!”

 

 

ทั่วเมืองไร้สรรพเสียง

 

 

นางมองดูเสาธงที่หักสะบั้นนั้น หัวเราะฮ่าๆ ออกมา

 

 

“สะใจ!”

 

 

พอคำสุดท้ายออกจากปาก นางก็ล้มถอยไปข้างหลัง เหยียลี่ว์ฉีมือไวตาไวรับนางไว้ อีชีช้าไปก้าวหนึ่ง เตะข้อพับเข่าของเขาด้วยความโกรธเคือง

 

 

ทหารเยียนซาหัวเราะลั่นพร้อมกัน

 

 

“สะใจ!”

 

 

 

 

[1] ตันเถียน หรือทุ่งพลังเป็นจุดสำคัญในร่างกาย มีอยู่ 3 แห่ง ประกอบด้วย ตรงกลางระหว่างคิ้ว (ตันเถียนบน) ตรงกลางหัวใจ (ตันเถียนกลาง) และตรงท้องน้อย (ตันเถียนล่าง)