ตอนที่ 4 - 1 เขตปกครองตนเองแห่งใหม่

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2]

“สะใจ!”

 

 

ท่ามกลางเสียงหัวเราะลั่น ทหารเยียนซาพุ่งขึ้นมาล้อมจิ่งเหิงปัวไว้ตรงกลางโดยพร้อมเพรียง ทัพหลังกลายเป็นทัพหน้า กระจายกำลังถอนทัพโดยพลัน

 

 

“นายท่าน…” ขุนพลคั่งหลงที่อยู่บนกำแพงเมืองขอคำแนะนำจากกงอิ้น มองดูทหารเยียนซาข้างล่างอย่างลังเล เอ่ยว่า “คนเหล่านี้เหยียดหยามตี้เกอ หลงระเริงกำเริบเสิบสาน คงไม่ยอมกระทำตามโดยง่าย ยามนี้ไล่ตามออกนอกเมืองเหมาะสมยิ่งนัก…”

 

 

กงอิ้นยกมือตั้งขึ้นเพียงครั้ง ไอหนาวหอบหนึ่งแผ่ซ่านออกมาจากร่างกาย ขุนพลนายนั้นเหน็บหนาวสั่นระริก ก้มหน้าไม่กล้าเอ่ยวาจาอีก

 

 

กงอิ้นไม่ได้วางมือลง นิ้วมือเชิดขึ้นเพียงครั้ง เศษเสี้ยวแผ่นไม้แหลมคมที่ถูกสะบั้นกระจัดกระจายทั่วพื้นพลันทะยานสู่กลางอากาศ เปล่งเสียงคำรามตรงไปยังข้างล่างกำแพง มุ่งสู่สันหลังของจิ่งเหิงปัวที่อยู่ท่ามกลางฝูงชน!

 

 

ยามเหินอยู่กลางอากาศ เศษไม้นับพันนับหมื่นค่อยๆ ถูกห่อหุ้มด้วยผลึกน้ำแข็งหนึ่งชั้นส่งเสียงดังแครกๆ ต่อเนื่อง เย็นเยือกแหลมคม กรีดเฉือนลมหนาวเปล่งเสียงคำรามหวีดหวิวดังสนั่น

 

 

จิ่งเหิงปัวได้ยินเสียงลมจึงหันหน้ากลับมาในทันที มองเห็นศรน้ำแข็งมากมายร่วงหล่นจากท้องฟ้าข้างหลัง เขาลงมือดุจดีดสายพิณอยู่บนกำแพงเมือง รอบกายเกิดไอควันสีขาวผนึกแน่น ไกลโพ้นดั่งอยู่นอกแดนมนุษย์

 

 

การจากลาคราวนี้ใช้ลูกศรเป็นสิ่งอำลาหรือ?

 

 

ไม่ตายไม่ยอมเลิกราสินะ?

 

 

ดวงใจเย็นชามากขึ้น ดุจวายชนม์ภายในพริบตาเดียว

 

 

“ฮ่า! โหดร้ายนัก! จะฆ่าล้างบางกันหรือ!” ทหารเยียนซาแผดเสียง พลันมีคนใช้โล่กำบังปกป้องสันหลังของจิ่งเหิงปัวไว้ พวกเจ็ดสังหาร เทียนชี่และเหยียลี่ว์ฉีเหินกายขึ้นฟ้าเนิ่นนานแล้ว อาวุธในมือวาดเป็นม่านแสงกำบังข้างหลังของจิ่งเหิงปัวไว้โดยพร้อมเพรียง

 

 

พอยอดฝีมือทุกคนร่วมมือกัน ต่อให้เป็นการโจมตีที่รุนแรงมากกว่านี้ก็ไม่อาจทะลุผ่านเข้ามาได้ แผ่นไม้แหลมคมที่ห่อหุ้มผลึกน้ำแข็งเปล่งเสียงแตกร้าวเพล้งๆ เบื้องหน้ากระแสอากาศและอาวุธหลากชนิด จากนั้นร่วงหล่นกลายเป็นเศษน้ำแข็งแหลกละเอียดทั่วพื้น

 

 

“ถุย! เลือดเย็นเหลือเกิน!” ทหารเยียนซาถุยน้ำลายหนึ่งครั้งอย่างรังเกียจ

 

 

จิ่งเหิงปัวไม่ได้หันกลับไปมองอีก

 

 

พริบตาหนึ่งนั้นเสียงแตกร้าวเพล้งๆ ของผลึกน้ำแข็งนับพันนับหมื่นคล้ายเสียดแทงลงบนหัวใจของนาง นางรู้สึกว่าคราวนี้หัวใจของตนเองที่ถูกยิงจนกลายเป็นแหจับปลาคงพรุนจนกลายเป็นตะแกรง

 

 

นางไม่อยากอยู่ข้างล่างกำแพงอีกต่อไปแม้เพียงครู่เดียว หวังเพียงอยากรีบจากไป หัวใจที่เต็มไปด้วยบาดแผลนับร้อยนับพันก็ต้านทานสายลมหนาวสะท้านอย่างยิ่งในขณะนี้ไม่ไหวแล้ว

 

 

กงอิ้นค่อยๆ วางมือลง

 

 

คลื่นมนุษย์ข้างล่างกำแพงดั่งฝูงมด แลคล้ายกระแสน้ำลง ท่ามกลางความเลือนรางมองเห็นสตรีสวมอาภรณ์ขาวบริสุทธิ์ถูกปกป้องอยู่กลางฝูงชน นางค่อยๆ จากไปอย่างเชื่องช้า

 

 

การจากไปครั้งนี้ห่างไกลสุดขอบฟ้าสิ้นมหาสมุทร การจากไปครั้งนี้ความรักแปรเปลี่ยนเป็นความเกลียด สรวงสวรรค์แปรเปลี่ยนเป็นโลกมนุษย์

 

 

แววตาของเขาเฉียดผ่านผืนธงขาดวิ่นที่อยู่บนพื้น

 

 

นางลงมือโหดเ**้ยมเช่นนี้ คงรู้สึกเช่นกันว่าการจากไปครั้งนี้จะนานหลายปี หวังใช้วิธีรุนแรงแบบนี้ตัดเยื่อใยไมตรีกับเขา นางจึงคว้าโอกาสนี้แสดงความขุ่นเคืองและความเกลียดชังครั้งสุดท้ายไว้ใช่หรือไม่?

 

 

ดีแล้ว

 

 

อำลานางด้วยศรว่อนโปรยปราย สูญสลายห้วงธุลีล้อมโลกหล้า รอรวบรวมแว่นแคว้นกลับคืนมา หากวันหน้าหวนนครเล่าสู่นาง

 

 

เขาชักมือกลับแล้วก้มศีรษะลง แววตาเฉียดผ่านบนเล็บที่ค่อยๆ สะท้อนสีโลหิตของตนเอง

 

 

กลบกลืนแววตาแปลกประหลาดเล็กน้อยผืนหนึ่งกลางดวงเนตร

 

 

“นายท่าน…” เหมิงหู่เปล่งเสียงเรียกแผ่วเบาอย่างไม่สบายใจอยู่ข้างหลังของเขา

 

 

เสียงยังไม่ทันสิ้น

 

 

เขาล้มลงโดยพลัน

 

 

ประหนึ่งจิ่งเหิงปัวก่อนหน้านี้

 

 

 

 

จิ่งเหิงปัวนอนอยู่บนรถ มองดูเพดานรถที่โคลงเคลงเล็กน้อย นับนิ้วของตนเองอย่างเบื่อหน่าย

 

 

นางออกมาจากตี้เกอแล้ว ทหารเยียนซามีน้ำใจอย่างยิ่ง หลังจากนางคว้าขวานสะบั้นธงตี้เกอด้วยความโกรธแค้น พวกเขาก็แสดงความชื่นชอบและความกระตือรือร้นมากเป็นพิเศษ คุ้มกันนางเป็นระยะทางร้อยลี้โดยไม่สนใจการขัดขวางของนางแล้วจึงกลับสู่สถานที่ตั้งค่ายทหารลับของตนเอง

 

 

จากนั้นว่าด้วยเรื่องนางควรไปที่ไหน ในหมู่ฝูงชนผู้ติดตามของนางเกิดความขัดแย้งใหญ่โต เหยียลี่ว์ฉีเสนอให้นางไปแคว้นอวี่ซึ่งเป็นบ้านเกิดตนเอง แสดงให้เห็นว่าที่นั่นนางจะได้รับการปกป้องอย่างดีจากเขา เทียนชี่เอ่ยว่าเผ่าลั่วอวิ๋นซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขาอยู่ไกลโพ้น ท้องฟ้ากว้างใหญ่ห่างไกลจักรพรรดิปลอดภัยเป็นที่สุด ไม่สู้ไปเผ่าลั่วอวิ๋น เจ็ดสังหารกลับเสนอว่าเขาชีเฟิงคือสถานที่ที่สนุกสนานที่สุดในโลกหล้า ผู้ใดไม่ไปนับว่าโง่เขลา

 

 

คนสามกลุ่มเกิดการต่อสู้รุนแรงด้วยเพราะเหตุนี้ เจ็ดสังหารท้องเสียติดต่อกันเจ็ดวัน เช้าวันหนึ่งเทียนชี่ตื่นขึ้นมาบนใบหน้ามีหนอนคลานยั้วเยี้ยเต็มไปหมด กลางดึกเหยียลี่ว์ฉีถูกแม่พันธุ์หมูตัวหนึ่งทับไว้ พวกเจ็ดสังหารที่เข้าไป ‘ช่วยชีวิต’ เขาเอ่ยว่าโชคดีที่พวกเขาไปทันเวลา มองไม่ออกเลยว่าเหยียลี่ว์ฉีเป็นสัตว์ป่า ยามพวกเขาตามไปถึงห้อง เหยียลี่ว์ฉีใกล้จะถอดอาภรณ์หมดสิ้น กำลังจะข่มขืนแม่พันธุ์หมูตัวนั้นแล้ว

 

 

เฮ้อ เกือบจะช่วยแม่พันธุ์หมูน่าสงสารตัวนั้นไว้ไม่ได้แล้ว หมูตัวนั้นอาจจะเป็นสุกรสูงศักดิ์วัยแรกแย้มก็ได้นะ

 

 

เฮ้อ เหยียลี่ว์ฉีนับเป็นบุรุษองอาจสง่าผ่าเผยผู้หนึ่ง แม้ว่าหน้าตาอัปลักษณ์กว่าพวกเขาเล็กน้อย ทว่าจะกินไม่เลือกขนาดนั้นไม่ได้นะ

 

 

จิ๊จ๊ะ ไร้คุณธรรมโดยแท้

 

 

ข่าวสารนี้แพร่กระจายไปในหมู่ทุกผู้คนอย่างรวดเร็วยิ่งนัก เจ็ดสังหารจูงจิ่งเหิงปัวไว้พลางเล่าถึงคุณงามความดียิ่งใหญ่ว่าด้วย ‘เหยียลี่ว์ฉีร่ำสุราเมามายไร้คุณธรรม ขโมยหมูกลางดึกหวังทำมิดีมิร้าย’ อย่างสมจริงสมจัง จิ่งเหิงปัวหัวเราะฮ่าๆ ท้องคัดท้องแข็ง หัวเราะเสร็จแล้วก็ถีบอีชีลงจากรถในครั้งเดียว

 

 

“ค่ำคืนนี้ขอให้เจ้าหลับฝันดี” นางเอ่ย

 

 

สุดท้ายแล้วเจ็ดสังหารก็ท้องเสียติดต่อกันเจ็ดวันโดยพร้อมเพรียง ท้องเสียจนหน้าเหลืองซีดเซียว ท้องเสียจนโกรธแค้นควันออกหู ท้องเสียจนนักต้มตุ๋นอันดับหนึ่งแห่งเจ็ดสังหารหรือพระปลอมนามอู่ซานคนนั้นเอื้อมมือครวญครางต่อท้องฟ้าว่าตนเองรู้สึกว่ากายาเบาดั่งนกนางแอ่น เกรงว่าครู่ต่อมาจะสำเร็จเป็นเซียนก่อนหน้าอาจารย์ จูงเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องจะให้พวกเขามองดูโดยละเอียดว่าจุดไป่ฮุ่ย[1]บนศีรษะตนเองมีแสงสีทองเปล่งประกายออกมาหรือไม่

 

 

เหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องแต่ละคนตบเขาอย่างรุนแรงคนละครั้ง ตบจนเขาเปล่งแสงสีทองโชติช่วง บวมช้ำทั่วศีรษะ

 

 

สุดท้ายแล้วความคิดเห็นของเจ็ดสังหารยังคงได้เปรียบ ไม่ใช่เพราะมีหลายคน แต่เพราะในที่สุดหลังจากโง่เง่ามานาน พวกเขาถึงได้นึกถึงเหตุผลที่สำคัญที่สุดข้อหนึ่ง…พิษที่เหลืออยู่ภายในร่างกายของจิ่งเหิงปัวแข็งแกร่ง จำเป็นต้องให้อาจารย์ของพวกเขาลงมือช่วยเหลือถึงแก้ไขได้

 

 

พอเอ่ยถึงเหตุผลนี้ ไม่เพียงแต่ยงเสวี่ยกับจื่อหรุ่ยเห็นด้วยโดยพลัน แม้แต่เหยียลี่ว์ฉียังไม่มีวาจาใดจะคัดค้าน

 

 

ยาพิษในร่างกายของจิ่งเหิงปัวเป็นเรื่องยุ่งยาก ยอดฝีมือมากมายขนาดนั้น ไม่มีสักคนสามารถขับพิษออกไปได้โดยสมบูรณ์ ซือซือที่เชี่ยวชาญความรู้ทางการแพทย์ในหมู่เจ็ดสังหารแสดงความคิดเห็นว่าจิ่งเหิงปัวคงจะเคยกินยาปกป้องร่างกายที่มีสรรพคุณวิเศษมากกว่าหนึ่งครั้ง พวกมันช่วยปกป้องอวัยวะภายในไม่ให้ถูกกัดกร่อนในช่วงเวลาสำคัญ ทว่าเส้นเอ็นเกิดการเปลี่ยนแปลงด้วยเพราะเหตุนี้ ขณะนี้ยังมองไม่ออกว่าการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้เป็นผลดีหรือเป็นผลร้าย ทว่าภายในระยะสั้นคล้ายจะไม่ส่งผลดี พิษประเภทนี้ไม่พบในบันทึก คงไม่ใช่ยาพิษเป็นแน่ แต่เป็นแมลงพิษร้ายแปลกประหลาดชนิดหนึ่ง ในโลกนี้ไม่มีปัญหาที่ซือซือคนนี้แก้ไขไม่ได้ ทว่าเรื่องนี้ค่อนข้างสิ้นเปลืองกำลังวังชา อย่างไรเสียให้ตาแก่หนังเหนียวแก้ไขให้ดีกว่า ลดปัญหาอายุมากขึ้นไม่ยอมใช้สมองแล้วจะสมองเสื่อม

 

 

จิ่งเหิงปัวนึกอยู่ว่าตนเองเคยกินยาวิเศษมากกว่าหนึ่งครั้งตอนไหน? ยาวิเศษกินมั่วซั่วเหมือนผัดถั่วปากอ้าได้ด้วยหรือ? ในความทรงจำแค่กินยาที่เหยียลี่ว์ฉีมอบให้เพียงครั้งเดียวไม่ใช่หรือ? ซ้ำยังเป็นยาระดับต่ำสุดด้วย

 

 

นางหลุดปากออกไปครั้งเดียวโดยไม่ตั้งใจ นับแต่นั้นมาเหยียลี่ว์ฉีไม่ได้อยู่อย่างสงบสุขอีกเลย เจ็ดสังหารตามติดข้างหลังเขาทั้งวัน โหวกเหวกโวยวายอยากได้เทียนเซียงจื่อระดับสูงสุด

 

 

เทียนเซียงจื่อระดับต่ำสุดยังปกป้องเส้นเลือดหัวใจของจิ่งเหิงปัวไว้จนนางรอดชีวิตมาได้ เทียนเซียงจื่อระดับสูงสุดย่อมถอนพิษที่เหลืออยู่ในร่างกายนางได้มิใช่หรือ?

 

 

พวกเขาไปโวยวายอยากได้กันอย่างนี้

 

 

“หากเจ้ามอบเทียนเซียงจื่อระดับสูงสุดให้ข้า ข้าจะไม่ถือโทษเรื่องที่เจ้าแอบมองภรรยาข้า” อีชีเอ่ย

 

 

“หากเจ้ามอบเทียนเซียงจื่อระดับสูงสุดให้ข้า ข้าจะบอกเจ้าว่าผู้ใดหามหมูตัวนั้นมา” เอ่อร์ลู่เอ่ย

 

 

“เอ่อร์ลู่เป็นคนหามหมูตัวนั้นมา หากเจ้ามอบเทียนเซียงจื่อระดับสูงสุดให้ข้า ข้าจะช่วยเจ้าอัดเขารอบหนึ่ง” ซานอู่เอ่ย

 

 

“ซานอู่เป็นคนหามหมูตัวนั้นมา หากเจ้ามอบเทียนเซียงจื่อระดับสูงสุดให้ข้า ข้าจะมอบยาให้เจ้า วางยาเขา แล้วเจ้าหามหมูไปนอนกับเขาได้เลย” ซือซือเอ่ย

 

 

“ซือซือเป็นคนหามหมูตัวนั้นมา หากเจ้ามอบเทียนเซียงจื่อระดับสูงสุดให้ข้า ข้าจะช่วยเจ้าหามหมูสองตัวไปนอนกับซือซือ อมิตพุทธ อาตมาเสียสละครั้งยิ่งใหญ่เพื่อช่วยเจ้าทำเรื่องเช่นนี้ กังวลเหลือเกิน พระพุทธองค์จะทรงลงโทษข้าหรือไม่?” อู่ซานเอ่ย

 

 

“ข้าต้องการเทียนเซียงจื่อระดับสูงสุด ทุกคนหามหมูตัวนั้นมาด้วยกัน เจ้าคนเดียวเอาชนะคนมากมายขนาดนั้นไม่ได้ เจ้านำยาที่ซือซือมอบให้เจ้ามาให้ข้า ข้าจะช่วยเจ้าวางยาพวกเขา เจ้าอยากให้พวกเขาคนใดนอนกับหมูเจ้าเลือกเอาเลย” ลู่เอ่อร์เอ่ย

 

 

“ไม่ว่าผู้ใดหามหมูตัวนั้นมา หากเจ้าไม่ยอมมอบเทียนเซียงจื่อระดับสูงสุดให้ข้านับแต่นี้เจ้าต้องนอนกับหมูทุกวัน” ชีอี้เอ่ย

 

 

 

 

ไม่ว่าจะกินข้าว ดื่มน้ำ นอนหลับหรือแม้แต่นั่งปลดทุกข์ เหยียลี่ว์ฉีจะมองเห็นใบหน้าหนึ่งพลันยื่นเข้ามาเอ่ยวาจาเจื้อยแจ้วว่า “เทียนเซียงจื่อระดับสูงสุด…หมู…นอน…”

 

 

เขารู้สึกว่าเขาใกล้จะเสียสติแล้ว

 

 

เขาพลันเข้าใจแล้วว่าเหตุใดท่านอาจารย์จื่อเวยในตำนานถึงมีอายุยืนยาวขนาดนั้นได้

 

 

หากสามารถต้านทานวรยุทธ์เทพเจื้อยแจ้วที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเจ็ดเท่าของเจ็ดสังหารได้ เช่นนั้นคงไม่ใช่คนปกติธรรมดาแล้ว!

 

 

สุดท้ายแล้ววันหนึ่ง ลูกหลานตระกูลผู้ดีเช่นเหยียลี่ว์ฉีผู้เคยฝึกฝนพลังการควบคุมตนเป็นพิเศษได้เปล่งเสียงตวาดเหลืออดเหลือทนเสียงหนึ่งออกมา

 

 

“ยาที่นางกินไปก็คือเทียนเซียงจื่อระดับสูงสุด! เทียนเซียงจื่อระดับสูงสุดกินได้แค่เม็ดเดียว นับแต่นี้ไม่มีประสิทธิผลอีกแล้ว!”

 

 

พี่น้องเจ็ดสังหารยืนงงงวยอยู่ที่เดิม ลูบผมอยู่เนิ่นนานถึงเข้าใจความนัยน่าเศร้านี้

 

 

จากนั้นพวกเขาพลันตื่นเต้นดีใจขึ้นมา ตบขาเพียงครั้ง ร้องว่า “จบสิ้นแล้ว ไม่มีความหวังแล้ว คราวนี้ต้องไปหายายปีศาจที่เขาชีเฟิงแล้ว!”

 

 

เหยียลี่ว์ฉีเดินจากไปอย่างรวดเร็วตั้งนานแล้ว แม้ยามนี้ต้องไปที่แห่งใดเขาก็ไม่มีความคิดเห็น

 

 

จิ่งเหิงปัวที่อยู่ในรถได้ยินเสียงตะคอกนี้

 

 

นางชะงักไปเช่นกัน นึกไม่ถึงว่ายาที่เหยียลี่ว์ฉีมอบให้อย่างไม่คิดอะไรมากในตอนแรกจะเป็นยาเทียนเซียงระดับสูงสุดที่เรียกได้ว่าเป็นสมบัติล้ำค่าของตระกูลเหยียลี่ว์ของจริง

 

 

“นี่” นางลุกขึ้นนั่งแล้วตบหน้าต่างรถ ถามเหยียลี่ว์ฉีว่า “พวกเจ้าเหล่าบุรุษเป็นอะไรไป? ยามนั้นพวกเรายังเป็นศัตรูกันมิใช่หรือ เหตุใดเจ้าจึงมอบเทียนเซียงจื่อระดับสูงสุดให้ข้า? สมองเลอะเลือนแล้วหรือ?”

 

 

เหยียลี่ว์ฉีที่มองลำธารอยู่ฝั่งหนึ่งหันกายมา

 

 

ความวุ่นวายใจบนใบหน้าของเขาสูญสลายไปแล้ว สีหน้าที่มาแทนที่คือสีหน้าเฉื่อยเนือยแปลกประหลาดยิ่งนักแบบหนึ่ง

 

 

“เหตุใดต้องถามคำถามนี้?” เขาหรี่ตามองนาง เอ่ยว่า “เจ้าอยากฟังคำตอบใด”

 

 

จิ่งเหิงปัวเกาะหน้าต่างรถมองเขาพลางยิ้มตาหยี เอ่ยว่า “ข้าอยากฟังว่านักการเมืองเช่นพวกเจ้าเหล่านี้คิดอย่างไรกับการจัดการเรื่องราวและความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกันแน่”

 

 

“นั่นสินะ เจ้าอยากฟังเรื่องนี้” รอยยิ้มของเหยียลี่ว์ฉีมีความหดหู่และแปลกประหลาดบางส่วน เอ่ยว่า “หากคำตอบไม่ได้ลึกซึ้งซับซ้อนเฉกเช่นเจ้าจินตนาการเล่า? หากคำตอบไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองด้วยซ้ำเล่า? หากข้าเหยียลี่ว์ฉีนำยาที่ดีที่สุดออกมาเพียงด้วยเพราะเจ้าเป็นเจ้าเล่า? หากยามนั้น แท้จริงแล้วข้าไม่ได้นึกถึงผลประโยชน์และความสัมพันธ์ใดทั้งสิ้นเล่า?”

 

 

เขาจ้องมองจิ่งเหิงปัวเขม็งคล้ายอยากจะมองทุกสิ่งที่ตนเองปรารถนาจากสีหน้าของนาง

 

 

จิ่งเหิงปัวหลุบตาลง พอเชิดสายตาขึ้นมาอีกครั้ง นางยิ้มแย้มดั่งมวลผกา กล่าวว่า “ไม่ได้คิดหรือ? ไม่ได้คิดก็ช่างเถิด หาว ง่วงจังเลย ต้องนอนกลางวันสักหน่อย” เรือนร่างถอยไปข้างล่าง นางมุดกลับไปนอนอย่างรวดเร็ว ไม่ได้มองเหยียลี่ว์ฉีด้วยซ้ำ

 

 

วาจาอีกครึ่งหนึ่งที่หวังจะเอ่ยออกมาของเหยียลี่ว์ฉีถูกสะกดกลั้นไว้ในปาก

 

 

เขายืนอยู่ข้างลำธารเนิ่นนาน ผ่านไปครู่ใหญ่ เงยหน้าขึ้นเชื่องช้าแล้วหัวเราะเล็กน้อย

 

 

 

 

[1] จุดไป่ฮุ่ย อยู่ตรงจุดตัดระหว่างเส้นกึ่งกลางศีรษะกับเส้นเชื่อมต่อปลายหูทั้งสองข้าง ตำแหน่งของจุดอยู่เหนือศีรษะ จุดไป่ฮุ่ยมีความเกี่ยวข้องอย่างยิ่งกับส่วนศีรษะ เป็นจุดสำคัญในการปรับสมดุลการทำงานของสมอง