ตอนที่ 67 ผ้าชิ้นนี้คือของที่องค์ชายสี่ทิ้งไว้ที่ข้า

เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า]

มู่หรงเหยาฉือกล่าวต่อ “เหยาฉือรู้ดีว่าคำขอร้องนี้ไม่เหมาะสม ทั้งยังทำให้เตี้ยนเซี่ยลำบากใจ แต่นี่ก็เป็นแผนเพื่อรักษาชีวิตของเหยาฉือเพียงชั่วคราว ข้ายินดีมอบทรัพย์สมบัติล้ำค่าทั้งหมดในจวนให้องค์ชาย ขอเพียงองค์ชายใหญ่ยอมปกป้องชีวิตของข้าสักครั้งหนึ่ง!”

 

 

ถึงแม้เป็นแค่ชายารอง แต่อย่างน้อยก็มีฐานะ ทั้งไม่ได้แต่งงานกันจริงๆ ดังนั้น มู่หรงเหยาฉือไม่กล้าเรียกร้องมาก ทั้งยังต้องจ่ายค่าตอบแทนออกไปอีกด้วย

 

 

ถึงแม้ตระกูลมู่หรงจะตกต่ำลง เหลือนางผู้เป็นธิดากำพร้าไว้คนเดียว แต่ว่าทุนทรัพย์ของตระกูลมีเงินถึงขั้นคนจำนวนไม่น้อยในเมืองหลวงล้วนจับจ้อง บางทีมอบของเหล่านี้ออกไปองค์ชายใหญ่อาจจะหวั่นไหวบ้าง

 

 

“หืม นี่…” เป่ยเฉินเสียงชะงักงันไปเล็กน้อย

 

 

มู่หรงเหยาฉือเอ่ยต่อ “เป็นแค่ฐานะหนึ่งเท่านั้น องค์ชายใหญ่ไม่จำเป็นต้องเห็นเหยาฉือเป็นภรรยา พวกเราแสดงละครฉากหนึ่งเท่านั้นเอง รอจนเด็กคลอดออกมาแล้ว องค์ชายใหญ่เขียนหนังสือหย่า ส่งเหยาฉือออกจากจวน ก็ถือว่าองค์ชายใหญ่ช่วยชีวิตเหยาฉือไว้แล้ว!”

 

 

รอเด็กคนนี้คลอดออกมา นางไม่เชื่อว่าองค์ชายสี่เห็นลูกชายของตัวเองแล้วจะไม่ยอมรับ แต่ว่านางต้องคลอดบุตรชายเท่านั้น! จำเป็นต้องเป็นเด็กผู้ชายเพียงเท่านั้น!

 

 

เป่ยเฉินเสียงมุ่นคิ้ว ในที่สุดก็ถอนใจเอ่ยว่า “ก็ได้ ถือว่าข้าทำดีสักครั้งก็แล้วกัน!”

 

 

……

 

 

เป่ยเฉินเสียงพามู่หรงเหยาฉือกลับไปที่งานเลี้ยง

 

 

เยี่ยเม่ยและเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็กลับมาประจำที่นั่งแล้ว เป่ยเฉินเสียงยืนอยู่ตรงกลาง เอ่ยว่า “เสด็จพ่อ วันนี้เป็นวันประสูติของท่าน ลูกอยากขอให้เสด็จพ่อช่วยประทานรางวัล ถือว่าเป็นเรื่องมงคลด้วย”

 

 

ฮ่องเต้ทรงปรายพระเนตรมองเขา ถาม “เจ้าอยากได้รางวัลอะไร”

 

 

เป่ยเฉินเสียงคุกเข่าลง “ลูกอยากแต่งงานกับท่านหญิงเหยาฉือ!”

 

 

เมื่อเขากล่าวออก ซือถูจ้าวเป็นคนแรกที่ลุกขึ้นมาอย่างไม่เชื่อ ใครต่างก็รู้ว่าเป่ยเฉินเสียงจะกลายเป็นลูกเขยของเขา ตอนนี้จะแต่งท่านหญิงเหยาฉือนี่หมายความว่าอะไร

 

 

ซือถูจ้าวเอ่ยด้วยความไม่พอใจ “องค์ชายใหญ่ ท่านอย่าได้ลืมไป ฝ่าบาททรงประทานสมรสให้ท่านกับบุตรสาวของกระหม่อม ท่านทำเช่นนี้ กระหม่อมจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”

 

 

เยี่ยเม่ยชมดูด้วยความแปลกใจ ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

 

 

เป่ยเฉินเสียงชอบมู่หรงเหยาฉือไม่ใช่เรื่องแปลก อย่างไรเสียผู้อื่นก็เป็นสตรีมีความรู้ทั้งสะสวย เป่ยเฉินเสียงก็ไม่ใช่คนมีสายตากว้างไกล ไม่ใช่พวกที่ดูคนจากนิสัยอยู่แล้ว แต่ว่า…ทำไมเขาถึงขอร้องฝ่าบาท มู่หรงเหยาฉือยินยอมตกลงอย่างนั้นหรือ

 

 

คนที่มู่หรงเหยาฉือชอบไม่ใช่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนหรือ อีกอย่างก่อนหน้านี้ไม่เท่าไหร่ อีกฝ่ายยังรบเร้าพัวพันกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอยู่เลย

 

 

จงซานชมความสนุกอยู่ด้านข้าง

 

 

หากเป่ยเฉินเสียงยั่วโทสะซือถูจ้าวจริงๆ ก็เท่ากับแตกหักกับเสนาบดีแล้ว ไม่นานเป่ยเฉินเสียงก็จะถูกเมินเฉย เรื่องนี้ทำให้เขายินดีปรีดา

 

 

เมื่อเสนาบดีกล่าวออกมา

 

 

เป่ยเฉินเสียงหันกลับไปเอ่ยว่า “ท่านลุงมิต้องโมโหไป ข้าต้องการแต่งท่านหญิงเหยาฉือเป็นพระชายารองเท่านั้น!”

 

 

“หา?”

 

 

คราวนี้อย่าว่าแต่ซือถูจ้าวที่ตะลึงงันเลย

 

 

คนทั้งหมดในที่นี้ต่างก็ตะลึงงันไปด้วย อย่างไรเสียมู่หรงเหยาฉือก็มีศักดิ์เป็นท่านหญิง แต่งงานให้กับ องค์ชายใหญ่ แต่เป็นแค่เพียงชายารอง นางจะยินยอมอย่างนั้นหรือ

 

 

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าลูกของเสนาบดีที่จะแต่งกับองค์ชายใหญ่เป็นเพียงลูกจากอนุเท่านั้น ในยุคที่ลูกจากภรรยาเอกและอนุมีความแตกต่างชัดเจนเช่นนี้ ท่านหญิงเหยาฉือจะทนให้ลูกอนุผู้หนึ่งกดหัวตัวเองได้อย่างไร

 

 

เสนาบดีค่อยๆ สงบโทสะลง

 

 

หากมู่หรงเหยาฉือยอมเป็นพระชายารอง ในทางกลับกันเขาก็เป็นฝ่ายได้หน้า ลูกสาวที่แต่งงานให้กับเป่ยเฉินเสียงเป็นแค่ลูกสาวจากอนุภรรยา ท่านหญิงอยู่ใต้ลูกสาวของเขา ก็มากพอให้เห็นว่าเสนาบดีมีฐานะสูงส่ง ดังนั้นเขาไม่โมโหแล้ว

 

 

ฮ่องเต้ทอดพระเนตรมองเป่ยเฉินเสียง นึกสงสัยว่าบุตรชายผู้นี้เสียสติไปแล้วหรือไม่

 

 

นี่จะเป็นไปได้อย่างไร

 

 

อย่าว่าแต่ฐานะของมู่หรงเหยาฉือ นางไม่มีทางรับปากแน่ อีกอย่างฮ่องเต้ก็เข้าใจดี คนที่มู่หรงเหยาฉือชอบมาตลอดคือเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ในสถานการณ์เช่นนี้ ไฉนนางถึงยอมแต่งกับเป่ยเฉินเสียงได้

 

 

พระองค์ทรงปรายตามองมู่หรงเหยาฉือ ถามว่า “ท่านหญิงเหยาฉือ เรื่องนี้เจ้าคิดอย่างไร”

 

 

“หม่อมฉันยินดีเพคะ!” มู่หรงเหยาฉือคุกเข่าลง เอ่ยตอบฮ่องเต้

 

 

ยามนี้เกิดเสียงดังเซ็งแซ่ขึ้น

 

 

ขุนนางทั้งหลายอดไม่ไหวเริ่มกระซิบกระซาบกัน มู่หรงเหยาฉือต้องเสียสติไปแล้ว ไม่ว่าอย่างไรพระชายารองก็เป็นบ้านรอง ต่อให้สูงศักดิ์ขนาดไหนก็เป็นแค่อนุ ยิ่งไม่ต้องพูดเลยว่าคนที่กำลังจะเป็นพระชายาในยามนี้ ก็แค่ลูกอนุภรรยาที่ไร้ฐานันดรศักดิ์ ท่านหญิงเหยาฉือเสียสติไปแล้วใช่หรือไม่

 

 

ฮ่องเต้ทรงตะลึงไป “เจ้ามั่นใจ?”

 

 

“หม่อมฉันย่อมไม่อาจหลอกลวงฝ่าบาท!” ท่านหญิงเหยาฉือตอบอย่างรวดเร็ว

 

 

ฮ่องเต้ทอดพระเนตรที่ซือถูจ้าว “ท่านเสนาบดีมีความเห็นหรือไม่”

 

 

“ในเมื่อเป็นชายารอง กระหม่อมก็ไม่มีความเห็นอื่น! กระหม่อมไม่เหมือนกับบางคน ทันทีที่ได้ยินว่า เตี้ยนเซี่ยจะรับพระชายารองก็พาลูกสาวมาขอถอนหมั้นกับฝ่าบาท!” ซือถูจ้าวเอ่ยพลางส่งสายตาล้ำลึกไปหาจงซาน

 

 

ทางหนึ่งเขาทำไปเพื่อเหน็บแนมจงซาน อีกทางหนึ่งเขาก็ต้องการปลุกปั่นความสัมพันธ์ระหว่างฮ่องเต้กับจงซานด้วย

 

 

จงซานแค่นหัวเราะคำหนึ่ง ไม่พูดไม่จา

 

 

ฮ่องเต้ไม่อยากเห็นสองขุนนางใหญ่ที่ทรงให้ความสำคัญเปิดศึกทะเลาะกันในงานเลี้ยงฉลอง ครั้นเห็นว่าไม่มีใครมีปัญหา ก็ตรัสว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องก็ตกลงตามนี้เถอะ! หาฤกษ์มงคลจัดงานเสีย!”

 

 

“ขอบพระทัยฝ่าบาท!”

 

 

……

 

 

งานเลี้ยงก็จบลงอย่างแปลกประหลาดเช่นนี้

 

 

เยี่ยเม่ยออกจากวังกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนด้วยความกลัดกลุ้ม ทว่าถูกมู่หรงเหยาฉือเรียกไว้ นางเอ่ยตรงๆ กับเยี่ยเม่ยว่า “พระชายาองค์ชายสี่ ข้ามีเรื่องจะพูดกับท่าน!”

 

 

ความหมายก็คือขอให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนหลบไปก่อน

 

 

เยี่ยเม่ยรู้สึกแปลกใจมาก ในยามปกติคนผู้นี้เห็นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็แทบจะวิ่งเข้ามาตีสนิทแล้ว ไฉนวันนี้มีเรื่องมาพูดกับนาง ทั้งยังบอกเป็นนัยว่าให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนหลบไปด้วย

 

 

เยี่ยเม่ยมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน บอกให้เขาหลบไปก่อน

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่คัดค้านความต้องการของเยี่ยเม่ย เอ่ยว่า “เยี่ยนไปรอเจ้าที่รถม้า!”

 

 

เมื่อเขาหันหลังจากไป

 

 

มู่หรงเหยาฉือมองเยี่ยเม่ยเย็นอย่างเย็นชา “เจ้าหลงคิดว่าเจ้าชนะแล้วหรือ รอข้าคลอดลูกออกมาเมื่อไร องค์ชายสี่ต้องเปลี่ยนใจอย่างแน่นอน!”

 

 

“หากเจ้าจะพูดเรื่องนี้ ข้าก็ขอตัวก่อนแล้ว” เยี่ยเม่ยไม่คิดถกเรื่องไร้สาระไม่น่าสนใจนี้

 

 

มู่หรงเหยาฉือหยิบเศษผ้าออกมาชิ้นหนึ่ง ส่งให้เยี่ยเม่ย “เจ้าไม่เชื่อว่าลูกของข้าก็คือลูกองค์ชายสี่ใช่ไหม เจ้าดูนี่ นี่คือสิ่งที่องค์ชายสี่ไม่ทันระวังทิ้งไว้ในช่วงสามวันนั้น เชื่อว่าเจ้าคงดูออกว่านี่คือเนื้อผ้าที่องค์ชายสี่ใส่”

 

 

เยี่ยเม่ยสีหน้าไม่เปลี่ยน ไม่เอ่ยว่าไม่เชื่อ เพียงแค่แค่นเสียงเย็น “ท่านหญิง ข้าขอเตือนท่านสักคำ!”

 

 

“เจ้าว่ามา!” มู่หรงเหยาฉือพร้อมฟัง

 

 

เยี่ยเม่ยเอ่ยนิ่งๆ “คำว่าความรัก คือทั้งสองฝ่ายต่างตกลงปลงใจกัน หาใช่ดิ้นรนเจ็บปวดอยู่ฝ่ายเดียว มีบางครั้งการหลีกออกมาก่อน ถือว่ามีสติปัญญา หากยิ่งถลำลึกยิ่งนานวันก็จะถูกมารครอบงำ ยากจะได้รับผลดี”