ตอนที่ 68 เป่ยเฉินอี้ช่วยเหลือ

เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า]

ท่านหญิงเหยาฉือสีหน้าเปลี่ยนไป นางกำหมัดแน่น

 

 

คำพูดของเยี่ยเม่ยไม่ใช่ไม่มีเหตุผล บางทีตอนที่นางรู้ว่าองค์ชายสี่ไม่คิดอันใดกับนางเลย ก็สมควรจากไปเสียตั้งแต่แรกแล้ว

 

 

ตอนนี้นางพาตัวเองมาอยู่ในจุดที่อัดอึด เป็นถึงท่านหญิงแท้ๆ คุกเข่าขอร้องให้องค์ชายใหญ่รับตนเป็นพระชายารอง ชั่วชีวิตมู่หรงเหยาฉือไม่เคยคิดเลยว่าจะทำเรื่องน่าขายหน้าขนาดนี้

 

 

แต่เมื่อเดินมาถึงขั้นนี้ ก็ไม่อาจถอยหลังกลับอีก เด็กอายุสามเดือนในท้องจะทำอย่างไร หรือว่าต้องเอาเด็กออกจริงๆ ทำราวกับว่าไม่เคยเกิดอะไรขึ้นมาก่อน แต่นางก็มิได้มีร่างกายที่บริสุทธิ์ผุดผ่องอีกแล้ว

 

 

ต่อให้เอาเด็กออก ภายหน้าแต่งงานกับผู้อื่น ก็คงต้องถูกสามีรังเกียจเหมือนเดิม อาจถูกหย่าก็ได้ อย่างไรเสียนี่ก็เป็นยุคสมัยที่เห็นความบริสุทธิ์ของสตรีเป็นสิ่งสำคัญมาก

 

 

มู่หรงเหยาฉือมองเยี่ยเม่ย หัวเราะเย็นชา “แม้ว่าคิดอยากถอยกลับ แต่ก็ไม่มีทางถอยแล้ว!”

 

 

“ยิ่งทำผิดยิ่งถลำลึก ไม่สู้หยุดความเสียหายตั้งแต่ตอนนี้” เยี่ยเม่ยเอ่ยจบก็ไม่พูดมากอีก หมุนตัวจากไป

 

 

จนตอนนี้นางกับมู่หรงเหยาฉือไม่เคยชิงดีชิงเด่นกันอย่างจริงจังมาก่อน ลูกไม้หยอกเด็กของสตรีนางนี้ เยี่ยเม่ยไม่เคยเห็นอยู่ในสายตา ดังนั้นนางหวังว่ามู่หรงเหยาฉือจะยอมถอนตัวออกไปเอง

 

 

เพียงแต่

 

 

เศษผ้าที่มู่หรงเหยาฉือมอบให้นาง ถึงเยี่ยเม่ยจะแสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่อารมณ์หาได้สงบอย่างที่นางแสดงออก

 

 

นางคิดถึงเช้าวันนั้นตอนที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับมา นางเห็นมุมหนึ่งของชายเสื้อขาดไป ทั้งสี เนื้อผ้าก็เหมือนกับผ้าชิ้นนี้เลย

 

 

มู่หรงเหยาฉือเอ่ยอย่างมั่นใจ บอกว่าเด็กคือลูกของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน

 

 

ทว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับปฏิเสธ

 

 

หากไม่ใช่ ทำไมผ้าชิ้นนั้นถึงขาดได้ ทำไมตกไปอยู่ในมือมู่หรงเหยาฉือ ไม่อาจไม่พูดว่าในเวลานี้หัวใจของเยี่ยเม่ยสับสนอยู่บ้างแล้ว

 

 

นางนวดคลึงที่หว่างคิ้ว

 

 

นางรู้ว่าทันทีที่ตกสู่ห้วงแห่งความรัก ก็ยากจะไม่ให้กระทบจิตใจ กระทบต่องานใหญ่ ไม้นี้ของมู่หรงเหยาฉือนับว่าถอนฟืนออกจากใต้เตา นางสมควรไปถามกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนหรือสืบด้วยตัวเอง

 

 

อย่างไรเสีย เขาก็บอกว่าไม่ใช่ อย่างนั้นถ้ายังถามอีก คำตอบของเขาก็คงเป็นไม่ใช่เหมือนเดิม

 

 

ในขณะคิด

 

 

จงซานเดินติดตามนางมา ถามประโยคหนึ่งว่า “เรื่องที่ท่านหญิงจะแต่งงานเป็นพระชายารองให้องค์ชายใหญ่ มีเลศนัยบางอย่าง!”

 

 

ยามจงซานกล่าวจบ เยี่ยเม่ยหันหน้าไปมองเขา เอ่ย “ท่านก็ดูออกแล้ว?”

 

 

“แน่นอน!” จงซานหัวเราะ อธิบาย “องค์ชายใหญ่มีนิสัยอย่างไร มู่หรงเหยาฉือมีนิสัยอย่างไร ข้ารู้แจ้งอย่างมาก นอกเสียจากว่ามู่หรงเหยาฉือสิ้นหนทางจริงๆ มิฉะนั้นคงไม่ทำเรื่องที่ลดค่าตัวเอง! เรื่องอะไรที่ทำให้นางต้องจนตรอกได้ ถ้าพูดในฐานะสตรีแล้ว…”

 

 

เยี่ยเม่ยมองจงซานอย่างแปลกประหลาด

 

 

นางรู้สึกว่า หากจงซานคาดเดาออกมาได้ ความเลื่อมใสที่มีต่อเขา ก็จะกลายเป็นความนับถือแล้ว ยอดเยี่ยมเหลือเกิน

 

 

คิดไม่ถึงเลยว่า

 

 

จงซานเดาออกมาได้จริงๆ!

 

 

เขาลูบคาง เอ่ยว่า “คงไม่ใช่ว่านางตั้งครรภ์แล้วหรอกกระมัง”

 

 

“อืม…” เยี่ยเม่ยยอมแล้ว มองเขาด้วยสายตาแปลกใจ ฉงนถามว่า “ทำไมท่านถึงรู้”

 

 

หากมู่หรงเหยาฉือตั้งครรภ์ ต้องปิดบังอย่างดีไฉนจงซานถึงรู้ได้เล่า

 

 

จงซานเห็นว่าตัวเองเดาถูก ก็หัวเราะออกมา อธิบายว่า “ง่ายมาก มู่หรงเหยาฉือเป็นลูกกำพร้า ไม่มีพ่อแม่ญาติมิตร ย่อมไม่มีใครเอาครอบครัวนางมาข่มขู่แน่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นก็ต้องเป็นปัญหาจากตัวนางเองแล้ว สตรีที่คิดออกเรือนโดยไม่สนใจฐานะของตัวเองจะมีเหตุผลมากน้อยแค่ไหน เหตุผลที่พบได้บ่อยที่สุด นอกจากว่านางสูญเสียความบริสุทธิ์ไปแล้ว กอปรกับวันนี้นางเอาแต่ลูบท้องตัวเอง ถึงแม้จะไม่บ่อยมากนัก แต่ข้าก็เห็นชัดเจน!”

 

 

เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เห็นสีหน้าเยี่ยเม่ยเปลี่ยนไปไม่น่ามองขึ้นมากแล้ว

 

 

จงซานเอ่ยปาก “วันนี้นางเอาแต่ติดพันท่าน หน้าท่านก็ดูไม่อิสระเสรีเหมือนเคย ข้าเดาว่า นางต้องบอกว่าเด็กคนนี้เป็นลูกขององค์ชายสี่ ใช่หรือไม่”

 

 

เยี่ยเม่ยอึ้งไปแล้ว “ท่านช่างเก่งราวกับเทวดา!”

 

 

แต่ว่าจากคำพูดของจงซาน เยี่ยเม่ยก็นับว่าเข้าใจแล้ว ไฉนจู่ๆ มู่หรงเหยาฉือถึงได้คลุ้มคลั่งจะแต่งกับเป่ยเฉินเสียง เพราะว่าท้องแล้วหากไม่มีใครรับผิดชอบเด็กคนนี้ อย่างนั้นมู่หรงเหยาฉือก็ท้องก่อนแต่ง

 

 

ในยุคนี้เป็นเรื่องถึงชีวิต ยิ่งไปกว่านั้นนางยังเป็นท่านหญิง

 

 

“ท่านยังคาดเดาอะไรได้อีก” เยี่ยเม่ยมองจงซาน

 

 

จงซานส่ายหน้า “นอกเหนือจากนี้ก็พูดยากแล้ว ข้ารู้ว่าช่วงก่อนหน้าท่านกับองค์ชายสี่เกิดเรื่องกัน หากช่วงเวลานั้น เขาทำเรื่องขึ้นมาจริง ก็เหมาะกับนิสัยของบุรุษ แต่ว่าองค์ชายสี่ไม่คล้ายจะเป็นคนกล้าทำไม่กล้ารับ หากท่านใส่ใจเรื่องนี้ ข้าจะช่วยท่านสืบหาความจริง!”

 

 

“เช่นนั้นก็รบกวนท่านแล้ว!”

 

 

เยี่ยเม่ยกำลังครุ่นคิดว่าจะถามเป่ยเฉินเสียเยี่ยนหรือว่าส่งคนไปสืบดี ในเมื่อจงซานเป็นฝ่ายเสนอตัว อย่างนั้นเรื่องนี้ก็มอบให้จงซานไปจัดการก็ดีเหมือนกัน

 

 

เห็นนางตกลง จงซานก็เข้าใจว่าเยี่ยเม่ยใส่ใจเป่ยเฉินเสียเยี่ยน

 

 

พูดมาถึงตอนนี้

 

 

จงซานเอ่ยอีกว่า “พวกเราสงบนิ่งมาสามเดือนแล้ว คืนนี้จะเริ่มลงมือ ครั้งนี้เป้าหมายของพวกเราคือตราพยัคฆ์คุมกำลังทหารหนึ่งแสน ต้องการให้ท่านร่วมมือด้วย!”

 

 

“ท่านมีแผนการแล้ว?” ระยะนี้เยี่ยเม่ยคอยหาจุดอ่อนเข้าจู่โจมมาตลอด

 

 

จงซานยิ้มส่ายหน้า เอ่ยปาก “ไม่นับว่าเป็นแผนของข้า ข้าก็แค่ช่วยเหลือเท่านั้น คนที่เริ่มต้นแผนการนี้ก็คืออี้อ๋อง!”

 

 

เยี่ยเม่ยตะลึงงันไปแล้ว “เป่ยเฉินอี้?”

 

 

“ถูกแล้ว!” จงซานเอ่ยปาก “ความจริงวิธีช่วยท่านชิงอำนาจทางทหารมา มีไม่น้อยจริงๆ แต่ว่าทุกแผนการที่ใช้ในตอนนี้ล้วนอันตราย เดิมข้าเตรียมการว่าหลังจากนี้อีกครึ่งปีค่อยลงมือ อย่างนั้นฝ่าบาทก็จะไม่ระแวงสงสัย แต่ว่าเป่ยเฉินอี้กลับคิดวิธีการที่สามารถลงมือได้ตั้งแต่ตอนนี้!”

 

 

เมื่อเอ่ยมาถึงยามนี้ จงซานก็ส่ายหน้าพรูลมหายใจออกมา เยาะเย้ยตัวเอง “ดูท่าเมื่อเปรียบกับปราชญ์อันดับหนึ่งในใต้หล้าแล้ว ข้าก็ยังห่างไปขั้นหนึ่ง! แต่เขายอมช่วยเหลือพวกเราออกความคิด ก็ถือเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่ง”

 

 

“ไม่ทราบว่าเป็นวิธีอะไร” เยี่ยเม่ยมองจงซาน

 

 

จงซานลอบส่งกระดาษแผ่นหนึ่งให้เยี่ยเม่ย รีบเอ่ยว่า “เขียนไว้ในนี้แล้ว เมื่ออ่านจบก็เผาทิ้งซะ! แต่หากใช้แผนการนี้ เป่ยเฉินอี้จะถูกฝ่าบาทจับตามอง เป็นหนามแทงตา เขาคิดแต่จะช่วยท่านเท่านั้น”

 

 

จงซานเอ่ยจบ ไม่ว่าเยี่ยเม่ยรู้สึกอย่างไร เขาก็ส่ายหน้าจากไป

 

 

เยี่ยเม่ยชะงักงัน เก็บกระดาษไว้ในแขนเสื้อเตรียมกลับไปอ่านที่จวน หลังจากสนทนากับจงซานจบ เดินมาได้ไม่กี่ก้าวก็เห็นรถม้าของจวนองค์ชายสี่ นางเพิ่งขึ้นรถม้าไปก็ถูกเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกอด

 

 

ทั้งยังเริ่มปลดเสื้อผ้านาง…