ตอนที่ 69 พลอดรักเอย! หวานเหลือเกิน!

เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า]

“ท่านจะทำอะไร” เยี่ยเม่ยชะงักเล็กน้อย

 

 

คิดไม่ถึงว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะมีท่าทางราวกับสุนัขจิ้งจอก ราวเสือโหย ต่อให้ความสัมพันธ์ของพวกนางเพิ่งจะคลี่คลาย แต่ก็ไม่ถึงขั้นต้องทำ…ระหว่างทาง

 

 

เขากดนางลง เอ่ยว่า “เยี่ยนคิดทำอะไร ฮูหยินดูไม่ออกหรือ”

 

 

ระหว่างเอ่ย เขาก็ปลดอาภรณ์ตัวเองแล้ว

 

 

สีหน้าเยี่ยเม่ยเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก ผู้รับใช้บังคับรถม้ามุ่งตรงกลับจวนองค์ชายสี่

 

 

นางถูกเขากดเอาไว้ เอ่ยอย่างจนปัญญาว่า “ที่นี่คือรถม้า ไม่สะดวกนัก ท่านอย่าได้ทำอะไรเหลวไหล!”

 

 

“แต่เยี่ยนรู้สึกสะดวกมาก เจ้านั่งบนขาเยี่ยนจะยิ่งดี!” เมื่อสิ้นเสียง ก็เปลี่ยนเป็นนางขัดขืนเขาไม่ได้ ไม่ช้าจึงได้แต่กัดเข้าที่บ่าเขาแรงๆ กระทำเรื่องพรรค์นี้กลางวันแสกๆ อย่างจนปัญญา

 

 

ด้านนอกมีลมพัดถูกม่านรถม้าเป็นระยะๆ เยี่ยเม่ยตื่นเต้นมาก กังวลว่าลมจะพัดม่านรถม้าเลิกออก ถูกคนด้านนอกเห็นเข้า

 

 

นางแอบคิดในใจ กลับไปนางต้องอัดเป่ยเฉินเสียเยี่ยนสักยกหนึ่ง นี่ออกจะทำเกินไปหน่อย

 

 

ยังดีที่ลมไม่แรงมาก สุดท้ายก็ไม่ถูกเห็น

 

 

แต่ถึงนางจะอดทนไม่ให้ตัวเองส่งเสียงร้อง แต่ก็ยังมีเสียงครางหลุดออกไปให้คนขับรถได้ยินบ้าง

 

 

หึหึ

 

 

ใครต่างบอกว่าองค์ชายสี่กับพระชายามีความสัมพันธ์ย่ำแย่ หลังแต่งงานแล้ว นอกจากคืนแต่งงาน คนทั้งสองก็ไม่พูดจากันอีก นี่เรียกไม่ดีตรงไหนกันเล่า

 

 

นี่…

 

 

ยังไม่ทันรอให้ถึงจวนก็พลอดรักกันบนรถม้าแล้ว หากแบบนี้เรียกว่าสัมพันธ์ไม่ดีอีก เกรงว่าในโลกนี้ก็คงไม่มีสามีภรรยาคู่ไหนที่ผูกสมัครรักใคร่กันอีกแล้ว

 

 

รถม้ามาจนถึงหน้าประตูจวน

 

 

คนขับรถม้ารู้สึกหวาดกลัวมาก ไม่รู้ว่าตัวเองสมควรเตือนองค์ชายสี่สักหน่อยหรือว่าขับรถม้าวนไปในเมืองหลวงต่อเพื่อไม่ทำให้พวกเขาเสียเรื่องจะดีกว่า

 

 

เป็นอวี้เหว่ยที่นั่งอยู่ข้างคนขับ ส่งสายตาให้เขาทีหนึ่ง คนขับก็เข้าใจได้

 

 

ดังนั้นจึงบังคับรถม้าเดินทางไปรอบๆ เมืองจำนวนนับครั้งไม่ถ้วน ผู้สัญจรไปมาเห็นเข้าก็แปลกใจเป็นอย่างมาก ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับจวนองค์ชายสี่ ไฉนเป่ยเฉินเสียเยี่ยนถึงได้วนรถอยู่ในเมืองซ้ำแล้วซ้ำอีก

 

 

ต่อให้บอกว่าชมทิวทัศน์ ก็น่าจะเลือกไปชานเมือง เอาแต่วนอยู่ในเมืองแบบนี้ทำไม

 

 

เยี่ยเม่ยเองก็รู้สึกแปลกใจ

 

 

เดิมนางคิดว่าเมื่อถึงจวน เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็จะปล่อยนางเอง ไฉนวันนี้ทางกลับจวนถึงได้ยาวนานนัก นางชักสงสัยแล้วว่านี่เดินทางไปกลับวังหลวงเป็นจำนวนกี่รอบแล้ว

 

 

หรือเป็นเพราะนางไม่ได้เรื่องจริงๆ ร่างกายอ่อนแอ ไม่อาจทนได้นานนัก จึงรู้สึกว่าหนึ่งวันยาวนานเหมือนหนึ่งปี?

 

 

ก็ไม่น่าใช่!

 

 

ความเลือนลางไม่ชัดเจนนี้ผ่านไปมาก็น่าจะเป็นเวลาสองชั่วยามแล้วกระมัง พวกเขาออกจากวังหลวงมาตั้งแต่บ่าย ยามนี้เป็นเวลาพลบค่ำ ฟ้ามืดแล้ว ดูท่าคนขับรถคงขับไปเรื่อยๆ แล้ว!

 

 

“อืม…” ในขณะนางคิดเหลวไหลไปเรื่อย ก็คิดถึงเรื่องที่จงซานบอกนาง เอ่ยอย่างติดๆ ขัดๆ “เป่ยเฉินเสียเยี่ยน ท่าน…ท่านปล่อยข้าไปเถอะนะ คืนนี้ข้ายังมีธุระต้องจัดการอีก!”

 

 

จงซานบอกว่ามีเรื่องต้องทำในคืนนี้ หากยังทำต่อไปคงจะเสียเรื่องแล้ว

 

 

อีกอย่าง นางอยู่บนรถม้าพยายามอดทนไม่ส่งเสียงมาตลอด ทั้งตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ทั้งพลังกายและพลังใจพร่องไปจนหมด แทบจะตายอยู่แล้ว

 

 

เมื่อนางให้เหตุผล

 

 

เขาก็หัวเราะเสียงต่ำ แนบลงมาข้างหูนาง เอ่ยช้าๆ ว่า “หากเรียกว่าสามีสักคำ วันนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไป!”

 

 

จะว่าไปก็ยังไม่เคยได้ยินนางเรียกว่าสามีมาก่อน

 

 

กลับมีแต่เขาที่เรียกนางไปหลายครั้งแล้ว

 

 

“ข้า…” เยี่ยเม่ยหน้าแดง เรียกไม่ออก เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับทำท่าจะเคี่ยวกรำนางต่อไป เพราะว่ากลัวจะเสียเรื่องใหญ่ นางจึงเรียกออกไปอย่างไม่เต็มใจ “สามี!”

 

 

ทันทีที่นางเรียก

 

 

เขากลับไม่ยอมปล่อย เอ่ยว่า “ดังอีกนิด ไม่ได้ยินเลย!”

 

 

“สามี!” มารดามันเถอะ! ท่านมันต้องโดนอัดสักทีจริงๆ!

 

 

เยี่ยเม่ยเรียกออกไปครั้งนี้ มีท่าทางกระเง้ากระงอดงดงามชวนให้คนปวดใจ เขาหัวเราะเสียงต่ำอีกครั้ง “ดี ในเมื่อฮูหยินขอร้อง สามีก็จะปล่อยเจ้า!”

 

 

ในรถม้า

 

 

หลังจากมีเสียงลมหายใจเร่าร้อนผ่านไปอีกครั้งหนึ่ง

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนสั่งการว่า “กลับจวน!”

 

 

ในตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าวนเตร็ดเตร่เป็นรอบที่เท่าไรแล้วค่อยกลับมาถึงหน้าประตูจวน คนขับรถม้าก็คลายใจลงได้ รู้สึกว่าวันนี้ม้าลำบากแล้ว วิ่งอยู่นานขนาดนี้

 

 

สักพัก

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ลงจากรถ ใบหน้าของเยี่ยเม่ยแดงก่ำ ใช้หัวแม่เท้าคิดก็รู้ว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นบนรถม้าบ้าง อวี้เหว่ยกับคนขับรถได้ยินอย่างชัดเจน ต่อให้นางพยายามกลั้นเสียงไว้ พวกเขาก็ยังรับรู้ได้

 

 

ดังนั้นเยี่ยเม่ยก้มหน้า คิดเดินหลบเข้าไปด้านใน

 

 

ทว่าคิดไม่ถึงเลยว่าขาจะอ่อน เกือบตกลงจากรถม้า ดีที่เขาเตรียมการป้องกันไว้แต่แรก กอดนางเอาไว้ จากนั้นก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ อย่างเปี่ยมสุขของเขา

 

 

ความจริงชั่วขณะนี้เยี่ยเม่ยคิดทุบตีคน ไม่ใช่แค่คิดทุบตีเบาๆ

 

 

เขาคงได้ใจใหญ่แล้วสินะ

 

 

เยี่ยเม่ยหน้าคล้ำง้ำงอ เบื้องหน้ามืดสนิท ทำหน้าบึ้งใส่เป่ยเฉินเสียเยี่ยน เอ่ยปาก “เป่ยเฉินเสียเยี่ยน หากท่านทำให้คืนนี้เสียเรื่อง ข้าจะตอนท่านแน่!”

 

 

“ไม่มีทาง! นี่ยังเช้าอยู่เลย!” ถึงเขาไม่รู้ว่านางจะทำเรื่องอะไร แต่ว่าตอนนี้เพิ่งจะพลบค่ำเท่านั้น ยังห่างจากช่วงกลางคืนเป็นเวลาหนึ่งชั่วยามย่อมไม่เสียเรื่อง

 

 

เขาอุ้มนางกลับห้อง

 

 

จากนั้นวางนางลงบนเตียง สั่งให้คนไปเอายาแก้ปวดเมื่อยมา นวดยาให้นางกับมือ ไม่นานความเจ็บปวดเมื่อยล้าทั้งหลายก็ลดลงไปกว่าครึ่ง ดังนั้นเยี่ยเม่ยค่อยเข้าใจว่า ทำไมเขาถึงมั่นใจว่าจะไม่ทำให้เสียเรื่องแน่

 

 

ในขณะนี้เอง

 

 

นางเห็นแผลบนมือเขา ก็แค่ใส่ยาอย่างลวกๆ ไม่ได้พันแผล จึงเอ่ยว่า “ท่านพันแผลก่อนเถอะ!”

 

 

เขากวาดสายตามองหลังมือตัวเองทีหนึ่ง น้ำเสียงน่าฟังค่อยๆ เอ่ยว่า “แผลเล็กๆ เท่านั้น เยี่ยนไม่เห็นอยู่ในสายตาหรอก”

 

 

เพียงแค่นางใส่ใจเขา ถามออกมาเขากลับดีใจมาก

 

 

เยี่ยเม่ยย่นคิ้ว ลุกขึ้นนั่ง หลังจากเขาช่วยนวดให้นางหนึ่งชั่วโมง ร่างกายนางก็ดีขึ้นเยอะแล้ว รู้สึกว่าฟื้นฟูกลับมาแทบเป็นปกติ ดังนั้นลุกขึ้นมานั่งก็ยังได้อยู่

 

 

มองไปที่หัวเตียง เห็นล่วมยาที่เขาใส่ยานวดให้นาง

 

 

นางมองชื่อทั้งหลาย จากนั้นก็หยิบยาออกมา ดึงมือเป่ยเฉินเสียเยี่ยนมาใส่ยา

 

 

นางดึงมือเขาไปอย่างแรง ไม่ปล่อยให้เขาดิ้นรน แต่ตอนนางทายาให้เขากลับอ่อนโยนมาก

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก้มหน้า ก็เห็นนางใส่ยาอย่างระมัดระวัง ทั้งยังเห็นขนตางอนยาวของนาง เขาฉุกคิดขึ้นว่า ต่อให้เป็นความฝัน เขาก็ไม่กล้าคิดว่านางจะอ่อนโยนให้เขาเพียงนี้

 

 

หลังจากใส่ยาเสร็จ เยี่ยเม่ยก็เอาผ้ามาช่วยพันแผลให้อย่างระวัง จกานั้นเอ่ยเบาๆ “ถึงแผลจะไม่รุนแรง แต่หากลุกลามไปจะไม่ดี”

 

 

สิ้นเสียงนางก็พันแผลเสร็จพอดี เงยหน้ามองก็เห็นเขามองนางด้วยดวงตาทอประกาย

 

 

เยี่ยเม่ยรู้สึกหน้าร้อนฉ่า เข้าใจว่าเมื่อครู่ตัวเองอ่อนโยนจนผิดปกติ เขากดจูบนางอย่างรุนแรง เอ่ยเสียงอ่อนว่า “ต้นท้อแตกหน่ออ่อน อวดดอกบานสะพรั่ง แม่นางแต่งงานมา ครอบครัวสุขสันต์สามัคคี”