หลังจากกล่าวจบ เขาก็มองไปที่เย่กวงที่นั่งคุกเข่าบนพื้นด้วยสีหน้าเดือดดาล
ใบหน้าของเย่กวงบวมแดงเนื่องจากโดนหยางเฟิงตบหน้า
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสายตากินเลือดกินเนื้อของเย่ห้าว เขาก็ไม่สนใจบาดแผลบนใบหน้าอีกต่อไป เขาตอบกลับด้วยน้ำตานองหน้า “ท่านผู้นำเย่ เรื่องราวทั้งหมดนี้ไม่ใช่ความผิดของผมนะครับ ทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของหยางเฟิง!”
เย่ห้าวตวาดลั่น “ตระกูลเย่แห่งตงไห่มันเกินเยียวยาแล้ว ฉันมันตาบอดเองที่ช่วยพวกนาย ใครก็ได้เข้ามาลากมันออกไปกระทืบที แล้วถอนการลงทุนทั้งหมดในตระกูลเย่แห่งตงไห่มาให้หมด!”
“ครับ!”
สิ้นเสียง บอดี้การ์ดของตระกูลเย่ก็ก้าวเข้ามาแล้วลากตัวเย่กวงออกไป
เย่กวงรีบตะโกนร้อง “ท่านผู้นำเย่ อย่านะ”
ถ้าเย่ห้าวถอนการลงทุนทั้งหมดไปจากตระกูลเย่แห่งตงไห่ล่ะก็
นั่นไม่เท่ากับว่าตัวเขาต้องกลับไปหมดตัวอีกครั้งงั้นหรือ
กว่าเย่กวงจะได้เป็นผู้นำตระกูลเย่แห่งตงไห่ได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
ทว่าในชั่วพริบตาเดียว ทุกอย่างจะกลับไปเป็นศูนย์อีกครั้งงั้นหรือ
อ๊ากก!
อ๊ากก!
อ๊ากก!
เย่กวงร้องโหยหวนอยู่ได้ไม่นาน ใบหน้าของเขาก็เขียวช้ำบวมเปล่ง
“พ่อ พวกเราจะเอาคนไปฆ่าไอ้ลูกเขยนั่นที่ตงไห่เลยดีไหม” เย่หมิงกล่าวด้วยความเกลียดชัง
เย่ห้าวเหลียวไปมอง ไอ้หน้าบากที่ตอนนี้ไร้วรยุทธ์นอนอยู่บนเปล แล้วกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ไม่ขนาดไอ้หน้าบากยังถูกไอ้ลูกเขยตัวดีนั่นทำจนสิ้นท่าแบบนี้ เห็นได้ชัดว่าไอ้ลูกเขยนั่นไม่ใช้คนธรรมดา ฉันขอเวลาในการสืบก่อน”
ตงไห่
วิลล่าหยุนติ่ง
“ที่รัก พั่นพั่นอายุใกล้หกขวบแล้ว คุณว่าเราควรหาโรงเรียนอนุบาลให้ลูกเลยดีไหม”
เย่เมิ่งเหยียนเอ่ยถามขึ้นขณะนอนอยู่บนเตียงซุกไซร้อยู่ในอ้อมอกของหยางเฟิง
หยางเฟิงยิ้ม “เรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ของผมเถอะ เดี๋ยวผมโทรไปหาหม่าตงให้เขาช่วยหาโรงเรียนอนุบาลที่ดีที่สุดให้ คุณว่าอย่างนี้ดีไหม”
เย่เมิ่งเหยียนพยักหน้า “ขอบคุณค่ะที่รัก!”
เมื่อกล่าวจบเธอก็รู้สึกว่าหัวใจของเธอเต้นแรง ร่างกายของเธอร้อนผ่าว
ความสามารถของหยางเฟิง ทำให้เสน่ห์ในความเป็นชายในตัวเขายิ่งน่าหลงใหลมากขึ้น
เย่เมิ่งเหยียนเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะถามว่า “ที่รัก คุณรู้ไหมคะวันศุกร์หน้าเป็นวันอะไร”
หยางเฟิงเกาหัวแล้วถามด้วยความว่างเปล่า “วันอะไรหรือ เป็นวันพิเศษอะไรรึเปล่า”
เย่เมิ่งเหยียนพูดอย่างเขินอาย “ไม่ใช่ค่ะ เป็นวันสำคัญมากวันหนึ่ง”
“อ้อ!” หยางเฟิงนึกออกขึ้นมาทันที “วันเป็นประจำเดือนของคุณใช่ไหม”
สีหน้าของเย่เมิ่งเหยียนเปลี่ยนไปทันที
“เฮ้อ ฉันไม่ยุ่งกับคุณแล้ว”
ระหว่างที่พูด เย่เมิ่งเหยียนก็ถอยออกห่างจากอกของหยางเฟิง แล้วหันหลังหนีแสร้งทำเป็นหลับ
เธอนอนตะแคง ดวงตาของเธอแดงระเรื่อ
เรื่องบางอย่างที่ไม่ได้พูดออกไปก็รู้สึกคล้ายมีบางอย่างตีบตันในลำคอ
นี่หยางเฟิงลืมไปแล้วจริงหรือ
วันสำคัญขนาดนั้น เขาจะลืมไปได้อย่างไร
น้ำตาแห่งความน้อยใจไหลรินออกมาจากดวงตาของเย่เมิ่งเหยียน
……
วันรุ่งขึ้น
สีหน้าของเย่เมิ่งเหยียนเย็นชา หากใครไม่สนิทอย่าได้คิดเข้าใกล้
หยางเฟิงกล่าวทักทาย แต่เย่เมิ่งเหยียนก็ทำเป็นไม่สนใจ
เมื่อเห็นเธอเป็นเช่นนี้ หยางเฟิงก็รู้สึกอึดอัด
ดูท่าทางแล้วเย่เมิ่งเหยียนคงโกรธเขาจริงๆ
“เมิ่งเหยียน ไม่สบายตรงไหนรึเปล่า ทำไมสีหน้าดูไม่ดีเลยล่ะ”
เมื่อถึงเวลากินข้าว หลันซินเห็นเย่เมิ่งเหยียนเป็นแบบนั้นจึงถามด้วยความสงสัย
“แม่ หนูไม่เป็นไรค่ะ” เย่เมิ่งเหยียนส่ายหน้า
จากนั้นเย่ไห่จึงกล่าวถามขึ้นอย่างเป็นห่วงเป็นใย “เมิ่งเหยียน ถ้ารู้สึกไม่สบาย วันนี้ไม่ต้องไปทำงานก็ได้นะ”
“บริษัทเพิ่งจะได้โครงการเขตอุตสาหกรรมมาเองนะคะ ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่ต้องใช้ความสามารถ แล้วหนูจะไม่ไปทำงานได้ยังไงล่ะคะ”
“โอเคค่ะ ทุกคนไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ เดี๋ยวหนูจะไปทำงานแล้วค่ะ”
เมื่อพูดจบ เย่เมิ่งเหยียนก็ลุกขึ้นเตรียมจะออกไปทำงาน
หยางเฟิงจึงรีบกล่าวขึ้นว่า “ที่รัก เดี๋ยวผมขับรถไปส่งคุณเอง”
“ไม่ต้องหรอก ฉันขับไปเองได้”
ตึ้งง!
สิ้นเสียง
หลังจากที่เย่เมิ่งเหยียนเดินออกไปแล้ว หลันซินก็หันไปมองหยางเฟิงอย่างหน้าดำค่ำเครียด “หยางเฟิง ลูกทำให้เมิ่งเหยียนโกรธอะไรรึเปล่า”