บทที่ 398

บทที่ 398

ลูกศรตกลงมาจากด้านบนของเมืองเจี้ยน บีบให้หลูจีจำต้องปิดกั้นชั่วขณะ ก่อนที่เกราะปราณบริเวณไหล่ของเขาจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ เปิดช่องให้ลูกศรขนนกอินทรีแทงลึกเข้าไปในช่องว่างระหว่างหัวไหล่

หลูจีที่ถูกศรปักกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ไม่กล้าที่จะประวิงเวลาอีกต่อไป เร่งทำการหมุนม้าไปรอบ ๆ และหนีไปด้วยความตื่นตระหนกกลับไปหาผู้เป็นนาย

เมื่อเขาเห็นซ่งเทียน หลูจีก็พลันกระโดดลงจากหลังม้าและใช้มือข้างหนึ่งปิดบาดแผลจากลูกศรบนไหล่ จากนั้นจึงกล่าวอย่างกระวนกระวาย “นายท่าน ชิวเยว่กลายเป็นพวกเทียนหยวนไปแล้ว เขาไม่ยอมให้พวกเราเข้าเมือง !”

ซ่งเทียนไม่ได้ตาบอด เขาเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด จึงกัดฟันแน่นจากนั้นหันไปหาจ้านอู่ฉางและกล่าวว่า “ท่านแม่ทัพ เมืองเจี้ยนไม่แข็งแกร่งมากนัก เราควรตีเมืองให้แตกในครั้งเดียวเสียเดี๋ยวนี้เลย !”

จ้านอู่ฉางจ้องมองเมืองตรงหน้าและนิ่งเงียบเป็นเวลานาน ก่อนที่จะแน่แก่ใจแล้วว่าการป้องกันของเมืองตรงหน้านั้นไม่ได้อ่อนแออย่างที่อีกฝ่ายพูด ด้วยถึงแม้พวกนั้นจะมีกำลังทหารไม่มากนัก ทว่าพวกเขาก็มีกำแพงสูงและคูน้ำกว้างด้านนอก …อีกอย่างกองทัพของพวกตนก็เหนื่อยล้าและมีน้อยเกินไป คงยากที่จะปิดล้อมและบุกตีให้จบอย่างรวดเร็ว !

หลังจากคิดเรื่องนี้ เขาก็หันไปสบตากับซ่งเทียนและพูดแผ่วเบาว่า “วิสัยทัศน์และสติปัญญาของท่านทำให้ข้าไม่รู้จะพูดคำใด…!”

คำพูดเหล่านี้ทำให้ใบหน้าและหูของซ่งเทียนเปลี่ยนเป็นสีแดงในขณะที่รอบข้างของเขาไม่กล้าที่จะพูดอะไร

จ้านอู่ฉางไม่สนใจสิ่งที่ซ่งเทียนและคนอื่น ๆ คิด เร่งสั่งในทันที “เราจะเลี่ยงเมืองเจี้ยนและเดินต่อไปทางใต้ !”

ด้วยกลัวว่าจะโดนไล่ตามทัน จ้านอู่ฉางจึงเลือกที่จะอ้อมเมืองไปแทน ! …เดิมทีพวกเขาวางแผนที่จะเข้าเมืองเจี้ยนเพื่อพักผ่อนอย่างเต็มที่ แต่ใครจะไปคิดว่าพวกเขายังจะต้องหนีต่อ ?

หลังจากอ้อมผ่านเมืองเจี้ยนไป จ้านอู่ตี้ก็พลันเดินเข้ามาใกล้จ้านอู่ฉางและพูดด้วยเสียงต่ำ “พี่ใหญ่ ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไปเราจะไม่สามารถทำอะไรได้ พวกทหารเหนื่อยล้าเกินไปจากการสู้รบมาตลอด 2 วันที่ผ่านมา และถ้าเรายังเดินทางต่อไป ข้าก็เกรงว่าเราจะตายจากความเหนื่อยล้าเสียก่อน !”

โดยไม่รอให้จ้านอู่ฉางพูด ซ่งเทียนพลันกลืนน้ำลายของเขาและพูดว่า “เราจะหยุดและพักผ่อนก่อน ตอนนี้ท้องฟ้ากำลังจะมืดแล้ว ข้าเชื่อว่ากองทัพเทียนหยวนจะไม่กล้าตามมา”

“อืมมมม…” จ้านอู่ฉางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และรู้สึกว่าสิ่งที่จ้านอู่ตี้และซ่งเทียนพูดนั้นเป็นความจริง เพราะตอนนี้แม้แต่ตัวเขาเองก็เหนื่อยล้า กระหายน้ำ และหิวโหย ดังนั้นเขาจึงพยักหน้ารับพลางเอ่ยถามซ่งเทียน “ที่ไหนกัน ?”

“ข้าว่าเราควรไปยังเมืองฝาง เพราะที่แห่งนั้นอยู่ไม่ไกลจากชายแดนแคว้นโม ทำให้ง่ายกับการถอยห…”

โดยไม่รอให้ซ่งเทียนพูดจบ จ้านอู่ฉางพลันโบกมืออย่างกระวนกระวาย “ไม่ ๆ ข้าหมายถึงว่าท่านมีพื้นที่ใดแนะนำแถวนี้ สำหรับการพักผ่อนและซ่อนตัวภายในย่ำค่ำนี้”

“นั่นก็…?” ซ่งเทียนขมวดคิ้ว เขาไม่แน่ใจนักว่าภูมิประเทศตรงหน้าเป็นอย่างไร ดังนั้นซ่งเทียนจึงหันกลับไปเรียกแม่ทัพของตนที่คุ้นเคยกับภูมิประเทศแถวนี้และถามว่า “มีที่ใดที่เหมาะสมสำหรับกองทัพของเราพักอยู่ข้างหน้าหรือไม่”

แม่ทัพแคว้นเปิงผู้นั้นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวว่า “อีกประมาณ 10 ลี้ข้างหน้ามีป่าที่ติดกับเส้นทางหลวง แม้ว่ามันจะไม่ใหญ่นัก แต่ก็มากพอที่จะรองรับกองกำลังของเราได้”

จ้านอู่ฉางพยักหน้าขณะที่ดวงตาของเขากลอกไปมา “เอาล่ะ ! กองทัพของเราจะไปพักผ่อนในป่านั่นกัน !”

ทั้งหมดเป็นไปตามสิ่งที่แม่ทัพผู้นั้นพูด หลังจากเดินไปไกลกว่า 10 ลี้ ก็ได้ปรากฏป่าไม้สีดำสนิทอยู่ติดกับทางหลวง ซึ่งมันก็ถือได้ว่าใหญ่พอสมควร ดังนั้นแล้วจ้านอู่ฉางจึงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “เราจะพักในป่า ! ถ้าศัตรูไม่กล้าเข้ามาก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าพวกมันยังกล้าที่จะไล่ตามมา กองทัพของเราสามารถใช้ป่าแห่งนี้ซุ่มโจมตีพวกมันได้ !”

จ้านอู่ฉางเก่งในการนำทัพและใช้ประโยชน์จากสภาพแวดล้อมโดยรอบ ดังนั้นการที่ป่าแห่งนี้มีขนาดพอเหมาะและอยู่ใกล้กับเส้นทางสายหลักจึงถือว่าเข้าทางเขายิ่ง

เมื่อได้ยินเช่นนั้น จ้านอู่ตี้ก็พลันหัวเราะออกมา ก่อนที่เขาจะพยักหน้าและตอบว่า “ตามที่ท่านคิด !’

ภายใต้คำสั่งของจ้านอู่ฉาง กองทัพหนิงก็ได้เข้าไปตั้งค่ายในป่า

ในอีกด้านหนึ่ง กองทัพเทียนหยวนของถังหยินก็ได้มาถึงเมืองเจี้ยนแล้ว และแม้ว่าท้องฟ้าจะมืดมิด แต่พวกเขาก็มีคบเพลิง ทำให้ทั้งกองทัพดูราวกับมังกรไฟตัวใหญ่ที่กำลังเลื้อยคลานผ่านค่ำคืนที่มืดมิดเมื่อมองจากระยะไกล

เมื่อมองไปข้างหน้ากองทัพเทียนหยวน จะพบเข้ากับทหารม้าภายใต้ชุดเกราะสีดำและมีพู่สีแดงอยู่บนศีรษะ…

หลังจากที่เห็นภาพตรงหน้า ชิวเยว่ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา ด้วยโชคดีนักที่เขาฟังคำแนะนำของผู้ใต้บังคับบัญชา …มิฉะนั้นแล้วเมืองเจี้ยนเล็ก ๆ แห่งนี้คงจะไม่อาจต้านทานกำลังทหารจำนวนมากขนาดนี้ไหว !!!

ชิวเยว่ทำการกลืนน้ำลาย เร่งหันกลับและวิ่งไปตามกำแพงเมืองอย่างเร่งรีบ ก่อนจะร้องสั่งให้ผู้คนเปิดประตูเมืองต้อนรับกองทัพเทียนหยวนเข้ามาด้วยความเคารพ

สะพานของเมืองเจี้ยนถูกทอดลงมา และประตูเมืองก็ค่อย ๆ เปิดออก ก่อนจะเป็นชิวเยว่ที่นำแม่ทัพของเมืองเจี้ยนและทหารออกจากเมืองมาต้อนรับ

ถังหยินสามารถมองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจนจากภายในกองทัพเทียนหยวน เขาเผยรอยยิ้มให้กับแม่ทัพโดยรอบ ก่อนจะพูดว่า “ชิวเยว่ยอมจำนนต่อกองทัพของเราแล้ว” ในขณะที่พูด ชายหนุ่มก็พลันกระตุ้นให้ม้าควบขี่ไปข้างหน้า

เมื่อเห็นเช่นนั้น จีหยิงก็จึงไล่ตามถังหยินไปอย่างใจจดใจจ่อในขณะที่มองดูสถานการณ์ทั้งภายในและภายนอกเมืองเจี้ยน ก่อนที่เขาจะรีบเตือนออกไปว่า “นายท่าน ระวังตัวด้วยขอรับ !”

“หึหึ ! เขาคงไม่กล้าทำหรอก ” ถังหยินยักไหล่และยกยิ้มอย่างมั่นใจ

ในไม่ช้าเขาก็มาถึงทางเข้าเมืองเจี้ยน ทว่าชายหนุ่มไม่ได้ลงจากหลังม้าในทันที แต่กลับมองลงไปยังคนตรงหน้าแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจน “ข้า… ถังหยิน”

อา ? ชิวเยว่ที่ยืนอยู่ด้านหน้าอ้าปากค้าง เขาเคยพบกับถังหยินมาก่อน ตอนที่ชายหนุ่มคุ้มกันองค์หญิงเมื่อครั้งนั้น…

เขาตัวสั่นสะท้าน ก่อนที่จะคุกเข่าต่อหน้าถังหยิน ยกกล่องเล็ก ๆ ในมือขึ้นขณะที่พูดว่า “ข้าชิวเยว่ ขอทำความเคารพท่านถังหยินขอรับ !”

เมื่อชิวเยว่คุกเข่าลง มันก็ทำให้แม่ทัพของเมืองเจี้ยนและทหารหลายคนที่อยู่เบื้องหลังคุกเข่าลงเช่นกัน

หลังจากที่ซ่งเทียนแย่งชิงตำแหน่งไป เขาก็ยอมรับตำแหน่งของซ่งเทียนโดยปริยายในฐานะผู้ปกครองแคว้นเปิง มาตอนนี้ถังหยินได้ฟื้นกองทัพเทียนหยวนแล้ว โดยธรรมชาติแล้วเขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงการตำหนิได้

ถังหยินก้มศีรษะลงมองชิวเยว่ ด้วยคิดลังเลว่าจะจัดการกับคนผู้นี้ดีไหม ? …แต่ถ้าทำเช่นนั้น ต่อไปมันจะเป็นเช่นไร ? ดังนั้นไม่ว่าเขาจะไม่พอใจกับชิวเยว่แค่ไหน เขาก็ต้องอดทนต่อไป เอาไว้หลังจากที่สถานการณ์เสถียรภาพก็ค่อยว่ากันทีหลัง

หลังจากหยุดไปสองสามวินาที ถังหยินก็จึงลงจากหลังม้าแล้วเข้าไปกล่าวกับอีกฝ่าย “ดียิ่งนัก ที่ท่านชิวสามารถกลับใจได้ทันเวลา”

แม้ในใจถังหยินจะคิดเย้ยหยัน แต่เขาไม่ได้แสดงให้เห็นบนใบหน้า เพียงโบกมือไปทางคนอื่น ๆ และพูดว่า “ทุกคนลุกขึ้น !”

“ขอบคุณมากขอรับ ท่านถัง !” ทหารเมืองเจี้ยนพากันยืนขึ้นทีละคน

สายตาของถังหยินจ้องไปที่กล่องผ้าเล็ก ๆ ที่อยู่ในมือของชิวเยว่และถามว่า “ท่านชิว นี่คืออะไร ?”

ชิวเยว่เปิดฝากล่องเล็ก ๆ ด้านใน เผยให้เห็นตราประทับอันหนึ่ง “ข้านั้นตระหนักถึงความผิดของข้าดี ดังนั้นแล้ว ..นี่คือตราประทับเจ้าเมืองขอรับ”

“โอ้ !” ถังหยินตอบในขณะที่เขาผลักกล่องกลับไปให้ชิวเยว่และพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าเคยพูดไปแล้วก่อนหน้านี้แล้ว เมื่อท่านชิวสามารถกลับใจได้ทันเวลา มันก็ถือเป็นการกระทำที่น่ายกย่อง สำหรับตราประทับนั้นท่านชิวเก็บไว้เถอะ ข้าไม่ต้องการ”

“ขอบคุณท่านถังสำหรับความกรุณาของท่าน ข้าจะไม่มีวันลืมความเมตตาอันยิ่งใหญ่ที่ท่านแสดงให้ข้าเห็น…” หลังจากได้ยินสิ่งที่ถังหยินพูด หัวใจของชิวเยว่ก็ได้มอบความภักดีให้กับชายหนุ่มไปเรียบร้อยแล้ว

“ท่านถัง เชิญเข้าเมืองไปพักผ่อน !”

ชิวเยว่ตื่นเต้นมากจนเก็บอาการไว้ไม่อยู่ เขาหันกลับไปและร้องเร่งให้ถังหยินเข้าไปในเมืองด้วยกัน

หยวนยู่ หยวนอู่ หยวนเปียวและคนอื่น ๆ ติดตามชายหนุ่มมาอย่างใกล้ชิดไม่กล้าที่จะห่างกาย ด้วยพวกเขากังวลว่าชิวเยว่กำลังวางแผนเรื่องใดหรือไม่ และหากมีการซุ่มโจมตี ผลที่ตามมาคงยากที่จะคาดคิด…

ในขณะที่เข้ามาในเมือง ถังหยินก็ได้หันไปพูดคุยกับชิวเยว่ที่มากับเขา “ข้าได้ยินมาว่าซ่งเทียนผู้ทรยศอ้อมผ่านเมืองเจี้ยนไปแล้ว และกำลังหลบหนีไปทางเมืองฝาง ?

“ใช้ขอรับ !” ครั้งนี้ชิวเยว่เต็มไปด้วยพลัง “เมื่อซ่งเทียนมาถึงเมืองเจี้ยน เขาต้องการบังคับให้ข้าคนนี้ปล่อยเขาเข้าไป แต่ข้าวางแผนไว้นานแล้วว่าจะปล่อยเขาเข้าไปไม่ได้ และถ้าเขาเข้ามาในเมือง ข้าก็จะจัดการกับคนทรยศนี่ในทันที !!!”

ตลอดทางชิวเยว่เอาแต่พูดคุยเกี่ยวกับความเกลียดชังที่ตนมีต่อซ่งเทียน และสิ่งที่อีกฝ่ายทำ ส่วนถังหยินก็ได้แต่ยิ้มตอบ ไม่เอ่ยคำใดออกมา