บทที่ 397

บทที่ 397

สายลับเนตรเวหาได้ส่งจดหมายของถังหยินไปยังเมืองเจี้ยน จนถึงมือของเจ้าเมืองเป็นที่เรียบร้อย

หลังจากอ่านจดหมาย ชิวเยว่ก็พลันเรียกหาลูกน้อง ทั้งบรรดาแม่ทัพและที่ปรึกษาของเขาเพื่อหารือเกี่ยวกับมาตรการรับมือ

ตอนนี้ชิวเยว่รู้แล้วว่าซ่งเทียนกับพวกหนิงอยู่ใกล้เมืองเจี้ยน โดยมีกองทหารเทียนหยวนจำนวนมากกำลังไล่ตามมา อย่างไรก็ตามเขาไม่รู้ว่าควรจะตัดสินใจอย่างไรดี ว่าควรภักดีต่อซ่งเทียนหรือต่อต้านอีกฝ่าย

เมื่อแม่ทัพและที่ปรึกษาเห็นจดหมาย การแสดงออกของพวกเขาก็พลันเปลี่ยนไป พวกเขาบางคนพูดด้วยความประหลาดใจ “นี่ … นี่คือจดหมายที่ถังหยินเขียน … กล่าวอีกนัยหนึ่งก็ถือถังหยินกำลังนำกองกำลังหลักของกองทัพเทียนหยวนไล่ตามอยู่ในขณะนี้”

“อย่างนั้นหรือ ?” ชิวเยว่ตอบอย่างอ่อนแรง

“ในความเห็นของผู้ใต้บังคับบัญชา กองทัพหนิงไม่มีทางที่จะต้านทานกำลังหลักของกองทัพเทียนหยวนได้เลย นายท่าน ข้าว่าตอนนี้เราต้องรักษาเมืองไว้ให้ดี อย่าให้ซ่งเทียนเข้ามาก่อเรื่องเดือดร้อนให้กับพวกเราได้ !”

“นี้ ?” ชิวเยว่มีแผนเดียวกันในใจของเขา แต่การที่จะปฏิเสธซ่งเทียน ทำให้เขากังวลมาก “แล้วถ้า… พวกเขาพยายามจะเข้ามาล่ะ ?”

“ข้าไม่คิดอย่างนั้น กองทัพป้องกันเมืองมีเพียงไม่กี่พันคนก็จริง แต่ซ่งเทียนและกองทัพหนิงเหลือก็เหลือกำลังทหารไม่มากแล้วเช่นกัน อีกทั้งพวกเขาก็เดินทางมาเป็นระยะทางไกลมาก แน่นอนว่าอยู่ในสภาพที่อ่อนล้า ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่อีกฝ่ายจะโจมตีเรา”

เมื่อผู้ช่วยพูดจบประโยค คนอื่น ๆ ก็พากันพยักหน้าเห็นด้วย

ชิวเยว่หายใจเข้าลึก ๆ และถามความคิดเห็นจากคนอื่น ๆ ซึ่งพวกเขาต่างก็คิดไม่ต่างกันกับก่อนหน้านี้ พวกเขาทุกคนคิดว่าในสถานการณ์ปัจจุบัน พวกเขาควรจะตัดความสัมพันธ์ทั้งหมดกับซ่งเทียนไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น มิฉะนั้นมันจะเป็นการชักนำกองทัพเทียนหยวนให้มาทำลายพวกเขาอย่างแน่นอน

ถ้าคนที่มีความเห็นประมาณนี้มีคนหรือสองคน ชิวเยว่อาจยังลังเลอยู่บ้าง แต่เมื่อทุกคนพูดเช่นนี้ หัวใจของชิวเยว่ก็มั่นใจได้อย่างสมบูรณ์ เขาพยักหน้า มองไปรอบ ๆ ฝูงชนแล้วพูดว่า “เอาล่ะ ! จากมุมมองของเจ้า ข้าจะเดิมพันชีวิตของทั้งตระกูลไม่ว่าจะเด็กและผู้ใหญ่ และตลอดจนชีวิตของชาวเมืองทั้งหมด !!”

“นั่นดีที่สุดแล้วขอรับ นายท่าน !” ไม่มีใครกังวลมากเท่ากับชิวเยว่ ดังนั้นพวกคนที่เหลืองจึงตอบรับมันอย่างง่ายดาย

ถังหยินสั่งให้ทหารม้าหมื่นนายและกองทัพอินทรีสวรรค์หกหมื่นคนมุ่งหน้าไปทางใต้ ออกไล่ล่าอีกครั้ง !

และหลังจากที่ฝ่ายของซ่งเทียนได้รับข่าวนี้ แม้ว่าพวกเขาจะยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่ แต่ไม่ว่ายังไงพวกเขาก็ไม่กล้าที่จะหยุด …ทหารผ่านศึกทั้ง 2 หมื่นนายพากันมุ่งหน้าไปยังเมืองเจี้ยนอย่างทุลักทุเล

ตามแผนของจ้านอู่ฉาง แม้ว่าเขาจะต้องการเข้าไปในเมืองเจี้ยน แต่เขาก็ไม่สามารถหยุดได้แม้ชั่วอึดใจ ดังนั้นหลังจากเติมเสบียงแล้ว พวกเขาก็จะออกเดินทางต่อในทันที ทว่าหลังจากที่นายทหารคนหนึ่งกลับมา ทุกอย่างก็ดูจะไม่ใช่เรื่องง่ายดั่งที่คิดอีกต่อไปแล้ว

หลังจากที่หน่วยสอดแนมเห็นซ่งเทียน เขาก็พลันคุกเข่าลงบนพื้นและพูดด้วยเสียงสั่นเครือว่า “ท่านอ๋อง ตอนนี้แย่แล้วล่ะขอรับ”

ว่าแล้วหน่วยสอดแนมก็ทำการรายงานเรื่องพ่อของซ่งเทียนที่ถูกกองทัพเทียนหยวนสังหาร อีกทั้งตัดศีรษะของเขาก็ยังแขวนอยู่บนธงผู้บัญชาการ ส่วนสนมของซ่งเทียนก็ถูกแจกจ่ายให้กับแม่ทัพของกองทัพเทียนหยวน

หลังจากได้ยินข่าวนี้ …ซ่งเทียนก็แทบจะสิ้นสติ และเมื่อเห็นร่างของซ่งเทียนโซเซครั้งแล้วครั้งเล่า บรรดาทหารองครักษ์รอบข้างต่างก็รีบเข้ามาพยุงเขาและร้องออกมา “ฝ่าบาท! ท่านอ๋องขอรับ ? ”

ซ่งเทียนสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอุ่น ๆ ระหว่างหน้าอกและหน้าท้องจากนั้นเขาก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่หอมหวานในลำคอ ก่อนที่เขาจะพ่นเลือดออกมา

“ถังหยิน !… มันจะมากเกินไปแล้ว !! “คำไม่กี่คำเหล่านี้ถูกบังคับให้ออกมาจากระหว่างฟันที่ขบกันของซ่งเทียน

“ท่านอ๋องขอรับ ทำใจดี ๆ ไว้ขอรับ ! ท่านขอรับ !”

“ท่านพ่อ…” ในเวลานี้ซ่งอู๋ที่ได้รู้ทั้งหมดก็ถึงกับกำหมัดแน่นและพูดในขณะที่กัดฟัน “เจ้ากับข้าจะได้เห็นดีกัน ! ถังหยิน !!”

แต่ทันใดนั้นเองราวกับว่าซ่งเทียนเปราะบางราวกับเด็กอมมือ แขนทั้งสองของเขาสั่นระริกขณะจับไหล่ของซ่งอู๋ “ท่านปู่ของเจ้าสิ้นแล้ว ถ้าเจ้าเป็นอะไรไปอีกคน แล้วข้าจะทำยังไงล่ะ ?”

ในขณะที่ซ่งเทียนและซ่งอู๋กำลังคร่ำครวญ จ้านอู่ฉางและจ้านอู่ตี้ก็ดูจะไม่มีความเห็นอกเห็นใจแม้แต่น้อย พวกเขาออกจะรู้สึกเบื่อหน่ายด้วยซ้ำไป

ทั้งสองมองหน้ากัน จ้านอู่ตี้เข้าใจความหมายที่กำลังสื่อและรีบเดินไปทางซ่งเทียนและซ่งอู๋ “เรื่องเสียใจเอาไว้ทีหลังเถอะขอรับ ตอนนี้พวกเรากำลังโดนไล่ล่าอยู่ …พวกมันกำลังเข้าใกล้เรามาเรื่อย ๆ แล้ว”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ร่างกายของซ่งเทียนก็พลันสั่นสะท้าน เขาไม่ได้พูดอะไรมาก หากแต่เป็นซ่งอู๋ที่เงยหน้าขึ้นมองด้วยความโกรธและจ้องมองไปที่จ้านอู่ตี้ ทำให้เขาตกใจกับสายตาที่ดุร้ายที่จ้องมองมา ทว่าเขาไม่ได้กลัวเลย ทั้งยังเยาะเย้ยอย่างแผ่วเบากลับไป “หากเจ้าสามารถเอาชนะทหารม้าทั้งหมื่นนายของถังหยินได้ มันก็ไม่สำคัญว่าเราจะล่าช้าหรือไม่”

“เจ้า ?” ซ่งอู๋ได้มาถึงขีดจำกัดแล้ว เขาอดทนกับสองพี่น้องจ้านมานานแล้ว อารมณ์จึงระเบิดออกมาอย่างไม่อาจที่จะห้ามได้ ว่าแล้วเขาก็พลันยืนขึ้นคว้าจับดาบที่ข้างเอวออกมา

จ้านอู่ตี้ไม่แม้แต่จะโกรธ เขาเงยหน้าขึ้นมาและถามด้วยความเย้ยหยัน “คิดจะทำอะไร ?”

“ข้า… “ในขณะที่ซ่งอู๋กำลังพูด เขาก็ได้ดึงดาบออกมา แต่ซ่งเทียนที่สงบลงแล้วกลับเป็นคนที่รีบคว้าจับข้อมือของซ่งอู๋เอาไว้ “อย่า…หุนหัน” เขามองไปที่จ้านอู่ตี้โดยไม่ยิ้มและพูดว่า “เขาอายุยังน้อยและทำให้ท่านแม่ทัพขุ่นเคือง ข้าหวังว่าท่านจะไม่ถือโทษโกรธเคือง”

“ฮึ ! แน่นอนว่าตราบใดที่ท่านรีบเดินทางต่อ ข้าก็ยินดีที่จะไม่เอาความ” หลังจากพูดแบบนั้น จ้านอู่ตี้ก็พลันหันมองไปที่ซ่งอู๋และสะบัดแขนเสื้อออก

สถานการณ์ปัจจุบันของซ่งเทียนน่าสงสาร แต่ที่น่าเศร้ายิ่งกว่าก็คือในสายตาของจ้านอู่ฉางและจ้านอู่ตี้ที่มองซ่งเทียนต่ำกว่าสุนัขด้วยซ้ำไป และเหตุผลที่พี่น้องตระกูลจ้านเต็มใจที่จะนำเขาไปเป็นภาระนั้น มันก็เป็นเพราะนี่คือความต้องการของท่านอ๋องแคว้นห นิง !!!

…การร่วมมือกับชาวหนิงมันเป็นการทำงานร่วมกับเสืออย่างแท้จริง แต่มันก็สายเกินไปที่ซ่งเทียนจะเสียใจในตอนนี้

เส้นทางเพียง 10 ลี้ตรงหน้าคือการเดินทัพที่ยากลำบากที่สุดเท่าที่จ้านอู่ฉางและจ้านอู่ตี้เคยประสบมา

เมื่อมองขึ้นไป จะพบว่ากองทัพหนิงได้สูญเสียรูปแบบกระบวนทัพไปแล้ว กองทหารกระจัดกระจายอยู่ประปราย โดยมีทหารบางคนสวมชุดเกราะ ในขณะที่บางคนสวมเพียงเครื่องแบบทหารเท่านั้น กระทั่งมีหลายคนที่หมดเรี่ยวแรงและต้องรับการช่วยเหลือจากสหายข้าง ๆ จึงจะสามารถเดินทางต่อไปได้

เป็นเรื่องยากที่จะเชื่อว่าทหารกว่า 4 แสนคนของกองทัพหนิงที่มีอำนาจล้นเกินกำลังจะตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาดูไม่เหมือนกองทัพ แต่เหมือนผู้ลี้ภัยที่หลบหนีเข้าไปในถิ่นทุรกันดารมากกว่า

ในที่สุดทหารหนิงทั้ง 2 หมื่นนายก็มาถึงเมืองเจี้ยนก่อนค่ำ และเมื่อมองไปรอบ ๆ ก็พบว่าประตูเมืองเจี้ยนถูกปิดอย่างแน่นหนา เช่นเดียวกับสะพานแขวนสูงเสียดฟ้าและกำแพงที่เต็มไปด้วยทหาร …ราวกับว่าพวกเขากำลังจะเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ

จ้านอู่ฉาง จ้านอู่ตี้และคนอื่น ๆ พากันสังหรณ์ใจ

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สถานที่แห่งนี้ก็ยังคงเป็นดินแดนของซ่งเทียน ดังนั้นเขาจึงหันไปและพูดกับแม่ทัพที่อยู่ข้าง ๆ “แม่ทัพหลูจี !”

“ขอรับท่าน มีคำสั่งใดหรือขอรับ ?”

“เข้าไปที่เมือง บอกว่าข้ามาที่นี่แล้ว และจงออกมารับข้าเข้าไปในเมืองเดี๋ยวนี้ !”

“รับทราบขอรับ”

แม่ทัพผู้นั้นรีบปฏิบัติตาม เขาเร่งให้ม้าวิ่งออกไปในทันที

เนื่องจากสะพานถูกชักขึ้นไปแล้ว หลูจีจึงได้แต่วิ่งไปที่คูเมืองและเงยหน้าขึ้นมองไปยังกำแพงเมือง ก่อนจะตะโกนเสียงดัง “ใครอยู่บนนั้นตอบด้วย !!”

เมื่อเขาพูดจบ ก็มีคนยื่นศีรษะออกมาจากด้านบน “ข้าชิวเยว่ ท่านเป็นใครกัน ?”

“หลูจี !” เขาตอบก่อนที่จะว่าต่อไป “ท่านอ๋องอยู่นอกเมืองแล้ว ทำไมพวกเจ้าไม่ออกไปต้อนรับอีก ?”

“ท่านอ๋อง ใครกัน ?”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลูจีก็โกรธมาก เขาตะโกนว่า “กล้าดียังไง ! คิดว่าแคว้นนี้มีท่านอ๋องซักกี่คนกัน”

ชิวเยว่หัวเราะอย่างแห้งแล้งจากนั้นกล่าวว่า “แม่ทัพหลูจี ข้าคิดว่าเจ้าเข้าใจผิด ในฐานะคนของแคว้นเฟิง ข้าย่อมรู้จักท่านอ๋องอย่างแน่นอน และสำหรับคนทรยศอย่างพวกเจ้า ข้าไม่มีธุระอะไรด้วย ดังนั้นจงกลับไปเถอะ !”

“ห๊า !?”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลูจีก็ไม่อาจเก็บอาการได้อีก เขาหันไปรอบ ๆ และคว้าหอกยกชูชี้ไปที่ชิวเยว่ซึ่งอยู่ที่ด้านบนสุดของกำแพงเมือง จากนั้นจึงตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว “ชิวเยว่ เจ้าต่างหากล่ะที่เป็นกบฏ จงเตรียมใจเอาไว้ซะเถอะ !”

ใบหน้าของชิวเยว่กลายเป็นดำทะมึน เขาพูดอย่างเย็นชา “กองทัพเทียนหยวนต่างหากที่เป็นตัวแทนแคว้นเฟิง พวกเจ้านั่นแหละที่เป็นกบฏ ! ไส่หัวไปซะ ไม่อย่างนั้นได้ตายจากห่าฝนธนูแน่ ! ”

“โง่เง่า ! น่ารังเกียจ ! ไอ้—”

ในเวลานี้ดวงตาของหลูจีเปลี่ยนเป็นสีแดงไปแล้ว เขาก้มด่าออกไปด้วยทุกคำที่พอจะนึกออก

ชิวเยว่ที่ไม่อาจทนคำพวกนั้นได้อีกต่อไปตะโกนสั่งทหารโดยรอบในทันที “ปล่อยลูกศร ฆ่าโจรชั่วนั่นซะ !”

ทหารรอบข้างไม่รีรออีกต่อไป หลังจากได้ยินคำสั่งของชิวเยว่ พวกเขาทั้งหมดก็พากันตะโกนพร้อมกัน “ยิงลูกศร !”