ตอนที่ 608

Elixir Supplier

608 แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ยังต้องบิณฑบาต

 

“ดี” ศาสตราจารย์ลู่พูด

 

“มีเรื่องอื่นที่อยากจะบอกผมอีกไหมครับ?” หวังเย้าถาม

 

“อืม ฉันคงต้องกลับบ้านแล้วล่ะ” ศาสตราจารย์ลู่พูด

 

เขาออกจากบ้านมานานกว่าหนึ่งเดือนแล้ว เขาไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องดี ที่เขาจะทอดทิ้งครอบครัวและมัวแต่สนใจเรื่องของแฟนเก่าอยู่แบบนี้

 

“แล้วคุณเวินหว่านกับลูกชายล่ะครับ? พวกเขาจะกลับไปด้วยไหม?” หวังเย้าถาม

 

“แล้วเธอคิดว่า อาการของเวินหว่านตอนนี้สามารถเดินทางได้รึเปล่า?” ศาสตราจารย์ลู่ถาม

 

“คุณถามผมเรื่องนี้หลายครั้งแล้วนะครับ และผมก็บอกไปหลายครั้งแล้วด้วย” หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้ม “ผมคิดว่า คุณเวินหว่านยังไม่เหมาะที่จะเดินทางครับ”

 

ถึงแม้ว่าอาการของเวินหว่านจะดีขึ้นแล้ว แต่อาการของเธอก็สามารถทรุดลงได้ทุกเวลา หวังเย้าสามารถยื้อชีวิตของเธอเอาไว้ได้ ก็ต่อเมื่อเธอยังอยู่ที่หมู่บ้านเท่านั้น ถ้าหากเธอยู่ที่ปักกิ่ง หวังเย้าก็คงจะไปช่วยเธอไม่ทัน นอกจากนี้ ร่างกายของเวินหว่านก็ยังอ่อนแอเกินกว่าที่จะเดินทางไกลได้ด้วย

 

“พวกเขาอยากจะไปเหรอครับ?” หวังเย้าถาม

 

“ใช่ ลูกชายของเธออยากจะกลับไปน่ะ” ศาสตราจารย์ลู่พูด

 

“มันก็เป็นเรื่องธรรมดานะครับ” หวังเย้าพูด

 

ถึงแม้ว่าที่หมู่บ้านแห่งนี้จะมีอากาศที่สดชื่นและเงียบสงบ แต่มันก็ห่างไกลความเจริญแบบเมืองใหญ่ คนแบบหวังเย้าเลือกที่จะอยู่ในสถานที่แบบนี้ แต่หมู่บ้านก็น่าเบื่อเกินไปสำหรับคนหนุ่มสาวส่วนใหญ่

 

มันไม่มีแสงสีในยามค่ำคืนหรือสิ่งบันเทิงในหมู่บ้าน เนินเขาเป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การเข้าไปเยี่ยมชม แต่อยู่นานเกินไปก็อาจจะกลายเป็นความทรมานสำหรับคนส่วนใหญ่ การตกปลาเป็นกิจกรรมที่ดีในเวลาว่าง แต่ก็คงไม่มีใครทำมันได้ตลอดเวลา ในหมู่บ้านนั้นแทบจะไม่มีกิจกรรมอะไรให้ทำเลยสักอย่าง

 

“ไว้อีกสักพัก ผมจะกลับมาอีกนะ” ศาสตราจารย์ลู่พูด

 

หวังเย้าไม่ได้พูดอะไรมากนัก เขาเพียงแค่ยิ้มให้เท่านั้น เพราะเรื่องของพวกเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขาอยู่แล้ว

 

“หมอหวัง โรคระบาดยังจะกลับมาอีกไหม?” ศาสตราจารย์ลู่ถาม

 

“พูดตามตรงนะครับ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน” หวังเย้าพูด

 

เขาค้นพบวิธีการรักษาและสาเหตุของโรคแล้ว แต่เขาก็ไม่รู้ว่า เขาจะหาทางป้องกันไม่ให้มันกลับมาอีกครั้งได้ยังไง ไม่มีใครรู้ว่า หนูที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ดินจะยังอยู่หรือไม่ แล้วพวกมันมีมากแค่ไหน หรือพวกมันมีเชื้ออยู่บนตัวหรือไม่

 

หนูติดเชื้อเพียงตัวเดียวเปรียบเสมือนระเบิดลูกหนึ่ง ไม่มีใครรู้ว่ามันจะระเบิดขึ้นเมื่อไหร่

 

“แต่ตราบใดที่ผมอยู่ที่นี่ ก็จะไม่มีใครต้องตายจะโรคนี้แน่นอนครับ” หวังเย้าพูด

 

ในตอนนี้ โรงพยาบาลเหลียนชานสามารถรักษาโรคนี้ได้แล้ว ยิ่งรักษาเร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้ผลดีเท่านั้น

 

“ผมจะลองคุยกับลูกชายของเวินหว่าน ให้พวกเขาอยู่ที่นี่ต่อดู” ศาสตราจารย์ลู่พูด

 

หลังจากที่คุยกับหวังเย้าเพียงครู่เดียว ศาสตราจารย์ลู่ก็จากไป

 

หวังเย้าคิดว่า ศาสตราจารย์ลู่นั้นอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขามีครอบครัวของตัวเองอยู่แล้ว แต่เขากลับไม่สามารถลืมรักเก่าของตัวเองได้ เขาจึงทรยศครอบครัวของตัวเอง แล้วมันอาจจะไม่คุ้มค่ากับความพยายามทั้งหมดที่เสียไปของเขาอีกด้วย

 

หวังเย้าสงสัยว่า ภรรยาและลูกๆ หรือพ่อแม่ของเขาจะรู้เรื่องของเขากับเวินหว่านหรือไม่ แต่พวกเขาก็อาจจะไม่รู้อะไรเลย เพราะศาสตราจารย์ลู่ไม่ได้บอกอะไรพวกเขาเลย

 

แต่ก็ช่างมันเถอะ ยังไงมันก็ไม่เกี่ยวกับฉันอยู่แล้ว! หวังเย้าส่ายหน้า

 

มีอีกคนมาที่คลินิกของหวังเย้า ซึ่งก็คือ หวังเจ๋อเชิง

 

“สวัสดี หมอหวัง ช่วยตรวจให้ฉันอีกทีได้ไหม?” หวังเจ๋อเชิงถาม

 

“ได้สิครับ พี่เป็นยังไงบ้าง?” หวังเย้าถาม

 

“ฉันเจ็บไปหมดทั้งตัวเลย เมื่อคืนอาการก็แย่มาก ฉันเลยนอนไม่หลับทั้งคืนเลยล่ะ” หวังเจ๋อเชิงพูด

 

ร่างกายบางส่วนของเขาได้รับการกระแทกจากอุบัติเหตุรถล้ม ความเจ็บปวดยิ่งเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม เมื่อเขากลับมาจากคลินิกของหวังเย้า มันปวดร้าวไปทั่วร่างของเขา จนทำให้เขาไม่สามารถหลับตานอนได้เลย

 

“ผมขอตรวจหน่อยนะครับ” หวังเย้าพูด

 

หวังเย้าตรวจดูร่างกายของหวังเจ๋อเชิง

 

“มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วครับ ที่จะเจ็บกว่าเดิม” หวังเย้าพูด

 

“จริงเหรอ? ตอนที่รถล้ม ฉันอาจจะรู้สึกชาที่บางส่วน แต่พอหมอนวดให้อาการชาก็หายไปด้วยสินะ” หวังเจ๋อเชิงพูด

 

“ถูกต้องแล้วครับ” หวังเย้าพูด

 

หวังเจ๋อเชิงตั้งใจจะออกไปทำงานในเช้าของอีกวัน แต่เขากลับเจ็บไปทั่วร่างจนแทบจะเดินไม่ไหว ดังนั้น ไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องออกไปทำงานเลย สุดท้ายเขาก็ต้องลางาน เขาหวังว่า ตัวเขาจะหายดีได้เร็วๆ แต่ในตอนเช้า ความเจ็บกลับไม่ลดลงเลยสักนิด เขาจึงรู้สึกกังวลขึ้นมา และตัดสินใจมาหาหวังเย้า

 

“ผมจะนวดให้นะครับ” หวังเย้าพูด

 

“โอเค” หวังเจ๋อเชิงพูด

 

“โอ๊ย! นั่นมันเจ็บมากเลยนะ!” ความเจ็บของเขาเพิ่มขึ้นกว่าตอนที่รถล้มมาก

 

“พยายามอดทนเอาไว้นะครับ” หวังเย้าพูด

 

เขาไม่ได้ลดแรงที่กดลงไปบนร่างของหวังเจ๋อเชิงเลย เขาควบคุมความแรงให้สม่ำเสมอ และเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า

 

“นายช่วยทำให้ฉันหายดีเร็วๆได้ไหม?” หวังเจ๋อเชิงถามเสียงเบา

 

“ทำไมครับ? อยากจะกลับไปทำงานเร็วๆใช่ไหม?” หวังเย้าถาม

 

“อืม” หวังเจ๋อเชิงพูด

 

“ผมบอกพี่ไปแล้วนี่ครับ ว่าตอนนี้ไม่ต้องกังวลเรื่องค่ายา ไว้พี่ค่อยจ่ายผมตอนมีเงินก็ได้” หวังเย้าพูด

 

“มันไม่ใช่แค่ค่ายาน่ะสิ ฉันยังมีค่าใช้จ่ายอื่นอีก” หวังเจ๋อเชิงพูด “ตอนนี้ เงินเก็บของฉันก็หมดแล้วด้วย”

 

สถานการณ์การเงินของเขาทำให้เขารู้สึกกังวลอย่างมาก เขาไม่สามารถอยู่บ้านเฉยๆเป็นอาทิตย์ได้

 

หวังเย้าเงียบไป ยาที่ทำขึ้นมาจากสมุนไพรรากของเขานั้นแพงเกินไปสำหรับครอบครัวธรรมดา บางคนไม่สามารถจ่ายค่ายาได้เลยด้วยซ้ำ เขากำลังพิจารณาเรื่องนี้อย่างจริงจัง

 

เขาพยายามช่วยคนให้มากที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ แต่มันก็ไม่ง่ายเลย เพราะแม้แต่พระพุทธเจ้าก็ยังต้องบิณฑบาต

 

“ผมจะลองดู ว่าพอจะทำอะไรได้บ้างนะครับ” หวังเย้าพูด

 

“โอเค ขอบคุณมาก” หวังเจ๋อเชิงแทบจะไม่มีแรงพูดด้วยซ้ำ

 

หลังหวังเจ๋อเชิงกลับไปแล้ว หวังเย้าก็ได้รับสายจากศาสตราจารย์หวูที่อยู่ปักกิ่ง

 

ผลตรวจจากตัวอย่างแมลงที่เขานำกลับไปด้วยได้ออกมาแล้ว ศาสตราจารย์หวูได้ยืนยันมาว่า แมลงเหล่านั้นมีเชื้ออยู่ในตัวและเป็นสาเหตุของโรคระบาดที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านของหวังเย้า และศาสตราจารย์หวูก็ยังได้บอกกับหวังเย้า ถึงแผนการที่เขาคิดจะทำเกี่ยวกับแมลงเหล่านี้

 

“ฉันจะส่งเอกสารก๊อปปี้ให้เธอทางอีกเมลล์นะ ถ้ามีคำถามอะไรก็ให้โทรหาฉันได้เลย” ศาสตราจารย์หวูพูด

 

“ได้ครับ ขอบคุณมาก” หวังเย้าพูด

 

“ไม่หรอก ฉันต้องขอบคุณเธอมากกว่า” ศาสตราจารย์หวูตอบ

 

“หา?” หวังเย้าแปลกใจ

 

“เพราะเธอเป็นคนเจอแมลง แล้วยังช่วยคลี่คลายสถานการณ์ทั้งหมดลงได้ เลยทำให้ฉันได้เลื่อนตำแหน่งไปด้วยน่ะสิ” ัศาสตราจารย์หวูพูด “ตอนนี้ ฉันมีออฟฟิสใหญ่ขึ้นแล้วนะ พวกเขายังเพิ่มเงินเดือนกับให้อุปกรณ์การทดลองที่ดีขึ้นให้ฉันด้วย ดังนั้น ก็ควรจะเป็นฉันมากกว่าที่ต้องขอบคุณเธอ”

 

“อ่อ ยินดีด้วยนะครับ” หวังเย้าพูด

 

“คราวหน้า ถ้าเธอมาปักกิ่งละก็ อย่าลืมบอกฉันด้วยล่ะ แล้วถ้ามีเรื่องอะไรที่ฉันช่วยได้ ก็บอกมาได้เลยนะ” ศาสตราจารย์หวูพูด

 

“ได้ครับ ขอบคุณนะครับ” หวังเย้าพูด

 

หลังจากที่วางสายแล้ว หวังเย้าก็ล็อคอินเข้าอีเมลล์ของเขา ในอินบอกซ์มีข้อความใหม่ถูกส่งเข้ามา ภายในนั้นมีเอกสารที่แนบมาด้วย ซึ่งเป็นเอกสารเกี่ยวกับรายการผลของแมลงที่เขาส่งไปตรวจ เจ้าหน้าที่ในห้องแล็ปยังทำการตรวจหนูตัวนั้นด้วยเช่นกัน พวกเขาทำการตรวจเลือดและอวัยวะภายใน รวมไปถึงการผ่าศพของมันด้วย พวกเขาทำทุกอย่างเท่าที่พวกเขาจะทำได้

 

หวังเย้าอ่านรายงานทั้งหมดอย่างตั้งใจ

 

จากที่อ่านในรายงาน 70% ของแมลงทั้งหมดมีเชื้ออยู่ ส่วนอีก 30% คือไม่มีเชื้อ หนูเองก็มีเชื้ออยู่เช่นเดียวกัน มันเป็นการค้นพบที่น่าสนใจอย่างมาก

 

หวังเย้าพบแมลงพวกนี้จากบนเนินเขาซีชาน พวกมันอาศัยอยู่ด้วยกันราวกับฝูงผึ้ง ดังนั้น พวกมันจะต้องมีความเชื่อมโยงกันอย่างแน่นอน  แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมพวกมันส่วนหนึ่งมีเชื้อ แต่อีกส่วนหนึ่งกลับไม่มี

 

ส่วนเรื่องที่พบจากหนูก็ยิ่งน่าสนใจมากกว่า ตัวหนูมีเชื้ออยู่ แต่ก็ยังพบแอนติบอดี้ในร่างกายของมันด้วย ตัวแอนติบอดี้สามารถต้านทานเชื้อบนตัวของมันได้ ซึ่งก็หมายความว่า หนูสามารถแพร่เชื้อไปยังสัตว์หรือมนุษย์ได้ แต่ตัวมันจะไม่ติดเชื้อเอง

 

นอกจากเชื้อที่ระบาดในหมู่บ้านแล้ว เจ้าหน้าที่ห้องแล็ปก็ยังพบเชื้อชนิดอื่นในร่างกายของแมลงด้วย หลังจากที่กินเชื้อตัวนี้เข้าไป แมลงก็จะปล่อยมันออกมาจากร่างกาย มันเป็นเชื้อที่รุนแรงมาก เชื้อไวรัสในปริมาณเพียงแค่เล็กน้อย แต่กลับสามารถฆ่าหมูได้เป็นตัว และมันก็ยังเป็นเชื้อไวรัสตัวเดียวกับที่หวังเย้าค้นพบจากดินบนเนินเขาซีชานอีกด้วย

 

หวังเย้าจำได้ว่า หลุมที่มีเชื้อไวรัสตัวเดียวกับแมลงนั้นไม่มีต้นไม้อะไรขึ้นเลย และเขาก็ไม่พบแมลงอยู่ในบริเวณนั้นแม้แต่ตัวเดียว

 

บางที ฉันอาจจะขุดผิดที่ก็ได้ หวังเย้าคิด

 

ศาสตราจารย์หลินรู้สึกสนใจใน เรื่องที่แมลงและหนูสามารถอาศัยอยู่ร่วมกันได้อย่างปกติสุข เขาตั้งทฤษฏีขึ้นมาว่า มันเป็นการอยู่ร่วมกันแบบพึ่งพาอาศัยกัน เพราะพวกมันต่างก็ต้องพึ่งพาอาศัยกันเพื่อการดำรงชีวิต ของเสียที่ขับออกมาจากแมลงมีเชื้อไวรัสอยู่ในนั้น ซึ่งอาจจะได้รับมาจากหนูก็เป็นได้

 

จากการทดลอง ศาสตราจารย์หลินยังสามารถยืนยันได้ว่า ในตัวหนูมีแอนติบอดี้ที่สามารถต้านทานเชื้อไวรัสตัวนี้ได้ด้วย