ตอนที่ 609

Elixir Supplier

609 ฝันดีที่หาได้ยาก

 

ไม่ใช่หนูทุกตัวจะมีพฤติกรรมแบบนี้ ซึ่งมันอยู่นอกเหนือความคิดของพวกเขา ในระหว่างการทดลองนั้น หนูได้เข้าไปมีปฏิสัมพันธ์กับแมลงที่มีเชื้ออยู่ แล้วไม่นาน มันก็ติดเชื้อ ดังนั้น หนูที่หวังเย้าเจอถือว่าเป็นเคสพิเศษ การติดเชื้อพร้อมกับร่างกายที่สร้างแอนติไวรัสขึ้นมานั้น ถือเป็นเรื่องทีเกิดขึ้นโดยบังเอิญมากกว่า

 

หวังเย้ารู้สึกโล่งใจเล็กน้อย เพราะมันหมาความได้ว่า หนูที่มีเชื้อและสามารถแพร่เชื้อได้นั้นหาได้ยากมาก

 

ความเป็นไปได้หลายๆอย่างของเชื้อตัวนี้ยังคงไม่ชัดเจน แต่อย่างน้อย มันก็พอจะตั้งสมมติฐานขึ้นมาได้บ้างแล้ว ความเป็นไปได้มากที่สุดในตอนนี้ก็คือ การกลายพันธุ์ โดยมีสาเหตุมาจากการกระตุ้นจากสภาพแวดล้อมภายนอก

 

การกลายพันธุ์? แล้วอะไรคือตัวกระตุ้นล่ะ?

 

ข้อสรุปของรายงานนี้ ซึ่งเป็นข้อความที่เขียนเอาไว้โดยศาสตราจารย์หลิน เขาเขียนเอาไว้ว่า เขาอาจจะเดินทางมาที่หมู่บ้านเพื่อดูสถานที่จริง และเขาหวังว่า หวังเย้าจะให้ความช่วยเหลือแก่เขา

 

หลินฉางเฟิงเป็นนักกีฏวิทยา(ผู้ที่ทำการศึกษาค้นคว้าเรื่องแมลง) และนักสัตววิทยา มันคงจะเป็นครั้งแรก ที่หวังเย้าจะได้พบกับผู้ที่ศึกษาในด้านนี้ด้วยตัวเอง

 

หวังเย้าตอบกลับไปว่า [ได้ครับ ผมยินดีกับโอกาสในครั้งนี้อย่างยิ่ง]

 

หวังเย้ากลับไปที่เนินเขาซีชาน เขารู้สึกว่า เขาอาจจะพลาดอะไรบางอย่างไป ในครั้งนี้ เขาจะพลิกหินไม่ให้พลาดแม้แต่ก้อนเดียว

 

เมื่อใกล้เวลาเย็น ลมเริ่มพัดแรงขึ้น

 

“ชาวบ้านกำลังตกแต่งอพาร์ทเมนต์ของพวกเขาที่ในเมืองกันหลายคนเลยล่ะ” จางซิวหยิงพูดขึ้นมาในระหว่างมื้อค่ำ

 

“ก็ปล่อยพวกเขาทำไปสิ” หวังเฟิงฮวาพูด “หรือเธออยากจะไปกับเขาด้วย?”

 

“เปล่าสักหน่อย ก็แค่หลายคนที่จะย้ายไปอยู่ในเมือง เป็นคนที่ฉันสนิทด้วยก็เท่านั้น พอพวกเขาย้ายออกไป ฉันคงจะคิดถึงพวกเขามาก” จางซิวหยิงพูด “คงจะไม่มีใครมาคุยเป็นเพื่อนฉันอีกแล้ว”

 

มนุษย์เป็นสัตว์สังคม พวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์คนอื่นๆและติดต่อกับโลกภายนอก เมื่อคนหนึ่งต้องอยู่แต่บ้านเป็นเวลานาน ก็อาจจะป่วยได้ง่าย โดยเฉพาะในสังคมปัจจุบัน ในยุคสมัยนี้ มีคนที่ปลีกวิเวกอยู่ไม่มากนัก จะมีคนหนุ่มสาวสักกี่คน ที่สามารถทนอยู่กับความเหงาได้นาน?

 

“ถ้าแม่เบื่อ แล้วอยากไปเที่ยวในเมือง ก็บอกผมได้นะ” หวังเย้าพูด

 

“แม่ก็แค่พูดไปอย่างนั้นแหละ ถ้าเราเข้าเมือง แล้วไปอยู่ในอพาร์ทเมนต์แบบนั้น มันคงจะไม่สะดวกสบายเท่ากับอยู่ในหมู่บ้านแบบนี้หรอก” จางซิวหยิงพูด “วันแต่งงานของพี่สาวลูก กำหนดออกมาแล้วนะ”

 

“เมื่อไหร่เหรอครับ?” หวังเย้าถาม

 

“วันที่ 1 ตุลา จ๊ะ” จางซิวหยิงพูด

 

พวกเขามีเวลาเตรียมตัวประมาณห้าเดือน งานแต่งงานพี่สาวของเขาถือเป็นงานใหญ่ของครอบครัว

 

หวังเย้าเดินขึ้นไปบนเนินเขาภายใต้ลมพัดแรง ถ้าหากเขาเป็นแค่คนธรรมดา มันก็คงจะเป็นเรื่องยากที่จะเดินขึ้นเขาแบบนี้ สายลมถูกแยกออกเป็นสองทาง และอยู่ห่างจากตัวเขาไปประมาณ 1 เมตร ราวกับว่า มันกำลังเผชิญหน้าอยู่กับกำแพงที่มองมาเห็นอยู่ เขาเดินไปทางทิศใต้อย่างไม่เร่งรีบ

 

ในหมู่บ้านกลางเขา เมื่อมีคนอยู่บ้าน พวกเขามักจะเปิดไฟเสมอ ในตอนที่หวังเย้าเดินไปถึงทางใต้สุดของหมู่บ้านและหันกลับไปมองหมู่บ้านนั้น ก็มีแสงไฟส่องลอดออกมาจากบ้านเพียงไม่กี่หลังเท่านั้น หลายคนได้ย้ายออกไปอยู่ในตัวเมืองแล้ว

 

การเปลี่ยนแปลงในหมู่บ้านเห็นได้ค่อนข้างชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อเกิดโรคระบาดขึ้นก่อนหน้านี้ ถ้าหากใจพวกเขาไม่อยู่ที่นี่แล้ว ไม่ช้าก็เร็ว ยังไงพวกเขาก็ต้องจากไปอยู่ดี

 

ในที่สุด หวังเย้าก็เดินขึ้นมาถึงเนินเขาหนานชาน และเปิดไฟขึ้นในกระท่อม เขาหยิบคัมภีร์เต๋าออกมาอ่าน มีเสียงสวดดังออกมาจากกระท่อม และลอยออกไปยังแปลงสมุนไพรและในป่า

 

ซานเซียนนั่งฟังอยู่เงียบๆพร้อมกับใบหูที่ตั้งตรง บนยอดไม้ ดวงตาของต้าเซี่ยยังคงสว่างสดใสอยู่ในความมืดมิด เสี่ยวเฮยเลื่อยมาอยู่ที่ใต้ชายคากระท่อม แล้วขดตัวเป็นทรงเดียวกับจานใบหนึ่ง ดูเหมือนว่ามันกำลังฟังเสียงสวดอยู่

 

เวลาประมาณห้าทุ่ม แสงไฟในกระท่อมก็ดับลง

 

เช้าวันต่อมา ลมได้หยุดพัด

 

ศาสตราจารย์ลู่ เวินหว่าน และฟ่านโย่วเหรินได้เดินทางมาที่คลินิก อาการของเวินหว่านดีกว่าครั้งก่อนมาก สีหน้าที่เปลี่ยนไปของเธอนั้นเห็นได้ชัดเจนที่สุด ใบหน้าของเธอดูอมชมพูดเล็กน้อยและไม่ได้ซีดเซียวเหมือนอย่างวันที่เธอเดินทางมาถึงหมู่บ้าน แววตาของเธอเริ่มมีประกายคืนกลับมา

 

“ขอโทษที่ต้องมารบกวนอีกแล้วนะคะ” เธอพูด

 

“ไม่เลยครับ เชิญนั่งก่อนสิครับ” หวังเย้าพูด “คุณรู้สึกเป็นยังไงบ้างครับ?”

 

“ฉันรู้สึกดีขึ้นมากเลยค่ะ แต่ร่างกายของฉันก็ยังอ่อนแอและรู้สึกหนาวอยู่” เวินหว่านพูด

 

“ไม่ต้องคิดมากนะครับ เรื่องนี้มันไม่สามารถทำให้หายขาด หรือกำจัดออกไปได้ในทันทีอยู่แล้ว” หวังเย้าพูด “แล้วเรื่องการกินล่ะครับ? คุณกินได้เยอะแค่ไหนครับ?”

 

“ฉันกินโจ๊กถ้วยเดียวค่ะ ฉันไม่กล้ากินเยอะ ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วฉันจะรู้สึกเหมือนตัวพองขึ้นมาน่ะค่ะ” เวินหว่านพูด

 

“แล้วคุณนอนได้ประมาณกี่ชั่วโมงครับ?” หวังเย้าถาม

 

“หลายวันมานี้ ฉันนอนหลับสนิทดีมากเลยค่ะ ฉันจะนอนประมาณ 7-8 ชั่วโมงต่อวัน” เวินหว่านพูด

 

ตอนแรกที่เธอมาถึง เธอรู้สึกง่วงมาก แต่เพราะสภาพร่างกายที่มีปัญหาหลายอย่าง เลยทำให้เธอไม่สามารถหลับได้ และมันทำให้เธอรู้สึกทรมานอย่างมาก

 

การกินและการนอนคือพื้นฐานสำคัญของมนุษย์ หากไม่สามารถทำสองอย่างนี้ได้ ร่างกายก็จะพังลง

 

“นอกจากปวดเนื้อตัวกับคลื่นไส้แล้ว ยังรู้สึกไม่สบายตรงไหนอีกไหมครับ?” หวังเย้าถาม

 

“บางครั้ง ฉันก็รู้สึกเหมือนมีลมอยู่ในกระเพาะค่ะ แล้วฉันก็ท้องเสียด้วย” เวินหว่านพูด

 

“เรื่องนี้น่าจะเป็นเพราะตัวยาที่ผมให้กินนะครับ ตัวยามีความเป็นพิษอยู่เล็กน้อย มันเลยอาจจะไปกัดกระเพาะและทำให้ท้องเสียได้” หวังเย้าพูด

 

ในตอนที่จ่ายยา หวังเย้าได้เลือกยาที่มีผลข้างเคียงน้อยที่สุด หากเป็นสมุนไพรที่มีผลข้างเคียงมาก เขาก็จะหาสมุนไพรตัวอื่นมาทำให้ผลข้างเคียงลดลงไป หากเป็นคนธรรมดากินเข้าไป มันจะไม่มีปัญหาอะไร หรือแม้แต่คนที่ร่างกายอ่อนแออยู่บ้างก็ยังไม่มีปัญหาอะไรมาก แต่ด้วยสภาพร่างกายของเวินหว่านที่อ่อนแออย่างมาก แม้แต่สิ่งกระตุ้นภายนอกเพียงเล็กน้อย มันก็สามารถส่งผลต่อเธอได้มากกว่าคนธรรมดา

 

“มาครับ ผมขอจับชีพจรดูหน่อย” หวังเย้าพูด ชีพจรของเธอเต้นแรงขึ้น ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดี “อาการของคุณเริ่มดีขึ้นแล้ว แต่คุณก็ยังไม่ถือว่าพ้นขีดอันตรายนะครับ”

 

“ค่ะ ฉันก็รู้สึกได้” เวินหว่านพูด ถึงแม้ว่าเธอจะรู้สึกไม่สบายในหลายๆส่วนของร่างกาย แต่มันก็ดีขึ้นมากแล้ว แค่เพียงเรื่องนี้เรื่องเดียว มันก็เกินกว่าที่เธอคาดเอาไว้มากแล้ว

 

“ช่วยถอดเสื้อคลุมและนอนลงด้วยครับ” หวังเย้าพูด

เขารักษาเธอด้วยการฝังเข็ม เขาแทงเข็มลงไปแปดจุดสำคัญของร่างกายและจุดอื่นอีกหลายจุด ในครั้งนี้ เขาใช้เข็มจำนวนมากนี้ในการกระตุ้นการไหลเวียนของพลังฉีและโลหิตในร่างกายของเธอ มันเป็นการกระตุ้นเพียงเล็กน้อย ดังนั้น ทุกอย่างจึงเป็นไปอย่างเบามือที่สุด

 

อวัยวะภายในนั้นมีข้อจำกัดอยู่ โดยเฉพาะกระเพาะ ส่วนไตที่เป็นส่วนที่ได้รับความเสียหายมากที่สุดนั้น มันจำเป็นต้องได้รับการรักษาไปทีละขั้น และไม่สามารถรีบร้อนได้ ความวิเศษของขี้ผึ้งต้วนชื่อนั้น สามารถเป็นส่วนเสริมให้กับร่างกายที่อ่อนแอ่ได้อีกด้วย

 

หลังจากฝังเข็มเสร็จแล้ว หวังเย้าก็นวดให้เธอต่อ แล้วเวินหว่านก็ผล่อยหลับไป

 

“อย่ารบกวนเธอเลยครับ ปล่อยให้เธอหลับไปดีแล้ว” หวังเย้าพูด

 

ศาสตราจารย์ลู่นำผ้ามาคลุมให้เธออย่างเบามือ ด้วยกลัวว่าเธอจะรู้สึกหนาว

 

หวังเย้ากดเปิดเครื่องปรับอากาศ ซึ่งทำให้อากาศแห้งลงเล็กน้อย ความจริงแล้ว ลมที่ออกมาจากเครื่องปรับอากาศจะทำให้ร่างกายรู้สึกไม่สบายได้ เพราะมันไม่ได้อ่อนโยนเหมือนแสงแดดที่ส่องลงมา

 

“ผมจะกลับวันพรุ่งนี้” ศาสตราจารย์ลู่กระซิบ “ส่วนเวินหว่านกับลูกชายจะยังอยู่รักษาที่นี่ต่อ”

 

หลังจากได้คุยกันแล้ว ฟ่านโย่วเหรินก็ล้มเลิกความคิดที่จะพาแม่ของเขาไปจากที่นี่ เขาตัดสินใจที่จะอยู่จนกว่าร่างกายแม่ของเขาจะหายดี แล้วเขาถึงจะไป

 

“โอเคครับ” หวังเย้าพูด

 

คนสามคนนั่งคุยกระซิบกระซาบกันเป็นครั้งคราวอบู่ภายในห้อง

 

เวินหว่านรู้สึกสบายอย่างมาก เธอนอนหลับไปเกือบสองชั่วโมง

 

“ขอโทษนะคะ ฉันเผลอหลับไปอีกแล้ว” เวินหว่านพูด

 

“คุณนอนหลับสบายดีไหมครับ?” หวังเย้าถาม

 

“มันดีมากเลยค่ะ ฉันยังฝันดีอีกด้วย” เวินหว่านยิ้ม

 

เธอฝันว่า ตัวเองได้ย้อนกลับไปในวัยสาว มันเป็นวันที่แสงแดดของฤดูใบไม้ผลิส่งลงมา เขากำลังเล่นว่าวอยู่ มีชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ข้างๆเธอ ซึ่งสามารถเห็นใบหน้าของเขาได้อย่างชัดเจน ว่าวถูกปล่อยให้ลอยขึ้นสูงไปบนท้องฟ้า พวกเขามีความสุขกันมาก

 

“ดีแล้วล่ะครับ” หวังเย้าพูด

 

ทั้งสามกลับออกไปตอนเกือบบ่ายโมง หวังเย้ากลับไปทานอาหารกลางวันที่บ้าน ก่อนจะขึ้นไปบนเนินเขาซีชาน

 

“เสี่ยวเย้า เธอจะไปที่ไหนเหรอ?” ชาวบ้านคนหนึ่งถาม

 

“ผมกำลังจะขึ้นเขาน่ะครับ” หวังเย้าพูด

 

“ระวังตัวด้วยล่ะ” ชาวบ้านพูด

 

“อ้อ ครับ ขอบคุณนะครับ คุณลุง” หวังเย้าพูด

 

ตั้งแต่เกิดปัญหาเรื่องโรคระบาดขึ้น ชาวบ้านต่างก็ได้รู้ว่า หลายจุดบนเนินเขาซีชานคือสาเหตุของการแพร่กระจายเชื้อไวรัส พวกเขาต่างกลัวว่า หากพวกเขาเข้าไปใกล้ที่นั่น พวกเขาก็อาจจะติดเชื้อและเสียชีวิตลงได้ ไม่มีใครคิดจะไปที่นั่นอีก

 

ไม่นาน หวังเย้าก็ไปถึงในบริเวณหนึ่งของเนินเขาซีชาน และได้หยิบอุปกรณ์ที่เตรียมเอาไว้ออกมาและเริ่มลงมือทำงาน

 

เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว และเคลื่อนจากทิศตะวันออกไปยังทิศตะวันตก เขาพลิกหน้าดินขึ้นมา เขาขุดหลุมลึกลงไปให้มากที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้