บทที่ 179 มองขุนเขาไม่เห็นขุนเขา โดย Ink Stone_Romance
ฝนฤดูใบไม้ร่วงตกมาหลายวันในที่สุดก็หยุด พนักงานร้านสองคนเพิ่มอาภรณ์หลายตัวอีกครั้ง อยู่ด้านหลังเรือนเฝ้าเตาโบกพัด
“ไฟนี่แรงเกินไปแล้ว” หลิ่วเอ๋อร์อยู่ด้านข้างขบเมล็ดแตงเอ่ยขึ้น
ตอนนี้นอกจากเฝ้าร้าน พวกเขาก็เริ่มถูกเรียกให้ทำยาด้วยกันแล้ว งานที่แบ่งมาให้ก็คือเฝ้าเตา
ในเมื่อพนักงานร้านได้เงินเดือนก็ควรทำงานให้มาก แต่ทำไมเขาที่เป็นผู้ดูแลใหญ่คนนี้ก็ต้องทำงานด้วยเล่า?
เฉินชีนำสมุนไพรที่ตัดเสร็จแล้วกองหนึ่งเทลงในน้ำ หยิบแท่งไม้ขึ้นมากวน
“กวนไปทางเดียวกัน อย่ากวนมั่วซั่ว” ฟางจิ่นซิ่วเดินออกมาเอ่ยขึ้น นำสมุนไพรที่ล้างเสร็จแล้วยกเดินมา
นางรับผิดชอบอบแห้งสมุนไพรอยู่ในห้อง ร้อนอบอ้าวที่สุด
เฉินชีเบะปาก เหยียดตัวตรงกวนดีๆ เงยหน้ามองเห็นคุณหนูจวินเดินออกมาจากเรือนด้านหลัง
“หลิ่วเอ๋อร์พวกเราออกไปข้างนอก” นางเอ่ย
หลิ่วเอ๋อร์ขานรับ เก็บเม็ดแตงขึ้น
“พวกเจ้าไปที่ไหนกัน?” เฉินชีรีบเอ่ยถาม
วันนี้โรงหมอจิ่วหลิงยังคงทำตามกฎรักษาวันที่สามหกเก้าตามเดิม ที่เหลือปิดร้านทำยา ช่วงนี้คุณหนูจวินแทบไม่ออกจากบ้าน
“ไม่ได้เป็นหมอเร่นานนักแล้ว ข้าออกไปเดินเสียหน่อย” คุณหนูจวินเอ่ย
หมอเร่?
ว่างจริงนะ
เฉินชีพูดในใจ แน่นอนย่อมไม่กล้าเอ่ยออกมา มองคุณหนูจวินนายบ่าวเดินออกไป
“อย่าแอบขี้เกียจล่ะ วันนี้พวกนี้ต้องทำเสร็จนะ” หลิ่วเอ๋อร์ยังไม่ลืมหันกลับมาเอ่ยกำชับ
กินข้าวเขาเถียงไม่ออก รับของเขาปฏิเสธไม่ได้จริงๆ เฉินชีส่ายศีรษะ ออกแรงกวนหม้อใบใหญ่
เมื่อได้ยินเสียงกระดิ่งรวมถึงเห็นคุณหนูจวินเดินมา ชาวบ้านบนถนนฉับพลันดีใจออเข้ามา
แววตาเป็นอริไม่พอใจก่อนหน้านี้ก็สลายไปตามเรื่องของบรรดาท่านหมอเหล่านั้นด้วย
คุณหนูจวินไม่รักษาให้คนมากนักก็จริง แต่นางก็หาใช่ทอดทิ้งพวกเขาไม่สนใจ ท่านหมอที่รับรักษาคนใดพบปัญหายากล้วนไปหานางได้ และนางก็สอดหมดเปลือก
ก็เหมือนเช่นที่คุณหนูจวินเอ่ย นางคนเดียวร้ายกาจเท่าไรก็รักษาคนทั้งหมดไม่ได้ ดังนั้นยังคงให้ท่านหมอคนอื่นซึ่งจำนวนมากยิ่งกว่าช่วยเหลือคนอื่น ส่วนนางเพียงรับผิดชอบโรคร้ายรักษายากเหล่านั้นก็พอ
นี่ไม่เพียงเป็นโชคดีของบรรดาท่านหมอ ยังเป็นบุญใหญ่หลวงของชาวบ้านเหล่านี้อย่างพวกเขาด้วย
คุณหนูจวินสนแต่เงินไร้เมตตาเสียที่ไหนเล่า คุณหนูจวินคนนี้มีคุณธรรมดีงามใหญ่หลวงช่วยเพื่อนมนุษย์ช่วยผู้คนต่างหาก
คุณหนูจวินไม่ออกมานานแล้ว ตอนนี้จะเป็นหมอเร่อีกแล้วหรือ?
ไม่รู้คนไหนจะโชคดีได้คุณหนูจวินบอกว่ามีลางร้าย
แต่ทุกคนต่างรู้กฎของคุณหนูจวิน ไม่กล้าเป็นฝ่ายเอ่ยปากถามเอง ได้แต่มองนางอย่างระมัดระวังและคาดหวัง
“คุณหนูจวิน”
“ท่านหมอจวิน”
เดินผ่านตลอดทางล้วนเป็นคำทักทายอย่างเป็นมิตรเช่นนี้ คุณหนูจวินยิ้มพยักหน้านิดหนึ่งผ่านไป
ยิ่งนางเดินผ่านคนที่ได้ข่าวก็ยิ่งมาก ข้างทางแทบจะขนาบด้วยแถวต้อนรับ
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วยืนอยู่ด้านในเต๋อเซิ่งชางมองภาพนี้ส่ายศีรษะ
“ท่านผู้ดูแลใหญ่ ท่านเป็นอะไรหรือขอรับ?” พนักงานเอ่ยถาม “หนักใจเรื่องคุณหนูจวินอีกแล้วหรือ?”
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว
“ข้าจะหนักใจกับคุณหนูจวินได้อย่างไร ข้าไม่มีทางหนักใจกับนางเด็ดขาด” เขาเอ่ย สีหน้าทอดถอนใจ “เวลาครึ่งปีนางยืนมั่นคงได้ ข้ายังขบคิดไม่เข้าใจว่านางทำได้อย่างไร”
“ทำได้อย่างไรหรือ แน่นอนย่อมเป็นเพราะมีความสามารถจริงไงขอรับ” พนักงานยิ้มเอ่ย
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วหัวเราะอีกครั้ง
“ใช่ ไม่ผิด” เขาเอ่ย
มีบางเรื่องก็ง่ายดายเช่นนี้ มีความสามารถจริงๆ ก็หยัดยืนได้
แต่มีบางครั้งเรื่องก็ไม่ได้ง่ายดายเช่นนั้นเหมือนกัน คนมีความสามารถมากมาย แต่ไม่ใช่ทุกคนจะได้รับความเป็นธรรม
ดังนั้นเขาถึงไม่รู้ว่าควรทอดถอนใจอย่างไรกับคุณหนูจวินคนนี้ มีความสามมารถจริงก็ใช่ มีโชคดีก็ใช่
คุณหนูจวินวนไปครึ่งเมืองแล้ว ฝั่งนี้เงียบเหงาอยู่บ้าง เพราะทั้งถนนไม่มีใครถูกชี้ว่ามีลางร้าย ทุกคนรู้ว่าตามไปก็ไม่มีความหมาย นอกจากพวกคนว่างงานที่รอดูว่าคนโชคดีคนไหนมีลางร้าย ทุกคนก็แยกย้ายกันไปแล้ว
“คุณหนูด้านนั้นคือศาลเทพเจ้ากวนอู” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยบอก พลางส่งกระติกน้ำมาให้
คุณหนูจวินรับกระติกน้ำไป อาศัยตอนดื่มน้ำหยุดฝีเท้ามองด้านหน้า
เวลาห่างไปสองเดือน นางมาที่นี่อีกครั้งแล้ว ครั้งก่อนไม่ได้เดินไปถึงสถานที่ซึ่งต้องการไป ครั้งนี้ลองดูได้แล้ว แม้ที่นี่เงียบเหงากว่าที่อื่นอยู่บ้าง แต่เมื่อคนมากมายขนาดนี้ออเข้ามา ในตรอกด้านนี้ก็กลายเป็นคึกคัก
ชาวบ้านที่ได้ยินเสียงเดินออกมา มองเห็นคุณหนูจวินก็ดีใจยิ่ง พากันขนาบสองข้างทางต้อนรับ
“คุณหนูจวิน ท่านดูหน่อยสิข้ามีลางร้ายหรือไม่” ยังมีคนใจกล้าร้องเรียก ในน้ำเสียงติดจะคาดหวัง
พนักงานน้อยคนหนึ่งที่หิ้วตะกร้าร้องขายเกี๊ยวนึ่งอยู่ไม่ไกลได้ยินเข้าอดไม่ได้หัวเราะ
“น่าขำจริง ถึงกับมีคนชอบมีลางร้าย” เขาหัวเราะเอ่ยขึ้น
ชาวบ้านที่อยู่ด้านข้างถลึงตาใส่เขาทีหนึ่ง
“เจ้าเข้าใจอะไร ได้คุณหนูจวินมองเห็นลางร้าย ทั้งชีวิตจะสงบสุข” พวกเขาเอ่ย พูดจบก็ตามไปอย่างคึกคัก
พนักงานน้อยหัวเราะหึหึไม่ได้ตามไปดูความคึกคัก ยืนอยู่ริมถนนเค้นเสียงร้องขายของ
ตอนที่ทุกคนคิดว่าครั้งนี้คุณหนูจวินจะเดินผ่านตลอดถนนไปเหมือนเดิมนั่นเอง คุณหนูจวินพลันหยุด มองบ้านหลังหนึ่งเหมือนคิดบางอย่าง
มีลางร้ายแล้ว!
รอบด้านเงียบไปทันที ส่วนผู้หญิงที่ยืนอยู่หน้าบ้านตรงนั้นกลับรู้สึกว่าผมบนศีรษะลุกตั้ง
บอกไม่ได้ว่าดีใจหรือหวาดกลัว
“ท่าน ท่านหมอจวิน” นางเอ่ยติดๆ ขัดๆ “ข้า ข้า มีลางร้ายงั้นหรือ?”
คุณหนูจวินมองนางครู่หนึ่ง
“เข้าไปคุยได้หรือไม่?” นางเอ่ย
จริงด้วย!
ชาวบ้านที่ล้อมดูอยู่ตื่นเต้นขึ้นมาทันที แต่ก็รู้สึกว่าเสียดายนัก ไม่ได้ยินกับหูตนเองว่าที่จริงเป็นลางร้ายอะไร มองผู้หญิงคนนั้นก้าวยาวก้าวสั้นพาคุณหนูจวินเข้าไปในเรือนปิดประตู
หลังยืนอยู่ด้านในเรือนเอ่ยถามพักหนึ่ง ผู้หญิงคนนั้นก็พยักหน้าหลายที
“ถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง คุณหนูจวินท่านพูดถูก ข้าก็มีอาการเช่นนี้” นางว่าสีหน้าเคร่งเครียดอีกครั้ง “ถ้าอย่างนั้นจะช่วยอย่างไร”
ในใจกลับนับสมบัติของที่บ้าน
คุณหนูจวินคนนี้รักษาครั้งหนึ่งต้องการหนึ่งพันตำลึง จ่ายยาก็เริ่มต้นหนึ่งพันตำลึง
นางย่อมเอาเงินขนาดนี้ออกมาไม่ได้ แต่ก็ไม่ยินดีไม่รักษาโรครอความตาย
“เรื่องนี้ของเจ้าง่ายมาก ไม่ต้องกินยา” คุณหนูจวินเอ่ย นางยื่นมือชี้กำแพงเรือน “เพื่อนบ้านของเจ้าก็ช่วยรักษาเจ้าหายได้”
ผู้หญิงตะลึง เพื่อนบ้าน?
“ต้นไม้ต้นนี้ในเรือนเพื่อนบ้านของเจ้า หากตัดเสีย หวงจุ้ยบ้านนี้ของเจ้าก็จะเปลี่ยนไป หยินหยางลื่นไหล โรคของเจ้าก็จะดีขึ้นได้” คุณหนูจวินเอ่ย
ผู้หญิงได้ยินดีใจมาก
“เช่นนี้ก็ได้แล้วหรือ?” นางเอ่ยอย่างดีใจ “ถ้าอย่างนั้นก็จัดการง่ายนักแล้ว”
เรียกเพื่อนบ้านของเจ้ามาปรึกษาสักนิดสิ มีข้าอยู่ยิ่งโน้มน้าวนางง่าย
คุณหนูจวินยิ้มรอคอย
“ไม่ต้องปรึกษาแล้ว เพื่อนบ้านของข้าย้ายไปแล้ว บ้านหลังนี้ก็ขายให้ข้าแล้วด้วย” ผู้หญิงยิ้มเอ่ยบอก “เดี๋ยวข้าไปตัดต้นไม้นั่นตอนนี้เลย”
รอยยิ้มของคุณหนูจวินแข็งค้างอยู่บนหน้า
ย้าย ไป แล้ว
…
“ใต้เท้า ไม่ทราบว่าบ้านของพวกเขาย้ายไปเวลาใด แล้วก็ไม่รู้ว่าไปที่ใด ไม่มีข่าวสักนิด”
องครักษ์เสื้อแพรสองคนก้มหน้ายืนอยู่เบื้องหน้าลู่อวิ๋นฉีเอ่ยขึ้น
หลังพูดจบประโยคนี้ รู้สึกได้ว่าในห้องยิ่งเงียบจนทำให้คนอึดอัด รวมถึงสายตาที่หยุดบนร่างพวกเขาก็ทำให้พวกเขาหนาวยะเยือกด้วย
เหมือนเนิ่นนาน เสียงของลู่อวิ๋นฉีถึงดังขึ้น
“ไม่มีข่าวสินะ” เขาเอ่ยเฉยชา “ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าก็ไปได้แล้ว”
คำพูดประโยคนี้ออกจากปาก ร่างกายขององครักษ์เสื้อแพรสองคนนี้พลันแข็งทื่อ แม้ก้มศีรษะอยู่ก็มองเห็นโคนหูและลำคอกลายเป็นซีดขาว
ไปนี่ ย่อมไม่ใช่ให้พวกเขาเดินออกจากในห้องนี้ไป แต่จากเป็นเดินไปสู่ตาย จากโลกคนเป็นเดินไปถึงโลกคนตาย
……………………………………………………………..