ภาค 2 บทที่ 180 ใครลงมือ

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

บทที่ 180 ใครลงมือ โดย Ink Stone_Romance

“คนย้ายไปเมื่อไร พวกเจ้าไม่รู้”

“คนไปไหน พวกเจ้าก็ไม่รู้”

“ทำงานเช่นนี้ พวกเจ้ายังมีอะไรพูดอีก?

“ใต้เท้าให้พวกเจ้าไป ไม่พัวพันถึงครอบครัวของพวกเจ้า นี่ยังไม่เมตตาอีกหรือ?”

มองศพขององครักษ์เสื้อแพรสองคนถูกยกออกไป สีหน้าของคนในจวนไม่ได้เปลี่ยนอย่างไร

ทุกคนล้วนต้องแบกรับผลที่ตามมาจากเรื่องที่ตนเองทำผิด ไม่พัวพันไปถึงครอบครัวก็โชคดีล้นพ้นแล้ว

ลู่อวิ๋นฉีตอนนี้ต้องอารมณ์ไม่ดีมากแน่ หัวหน้ากองร้อยเจียงอยู่นอกประตูลังเลครู่หนึ่ง เสียดายข่าวที่ตนเองนำมาก็ไม่ใช่ข่าวดีที่ทำให้คนเบิกบานใจอะไร

เขายกเท้าก้าวเข้าไปกำลังจะเอ่ยวาจาก็มีคนตามเข้ามาด้วย

นี่เป็นคนอายุน้อยที่แต่งตัวเป็นหาบเร่แผงลอยคนหนึ่ง ในมือยังหิ้วตะกร้าไม้ไผ่ ด้านในไม่รู้วางอะไรไว้ ส่งกลิ่นหอม

กลิ่นหอมนี้ไม่ได้ก่อประโยชน์ทำให้ในห้องอึมครึมแห่งนี้บรรยากาศผ่อนคลายขึ้นเลย สีหน้าลู่อวิ๋นฉีนิ่งเฉยมองสองคนที่เข้ามา

“ใต้เท้ารอบด้านไม่มีการเคลื่อนไหวผิดปกติ และไม่มีคนผิดปกติเข้าใกล้” หาบเร่แผงลอยเอ่ย

ลู่อวิ๋นฉีขานรับ ไม่ได้เอ่ยถามหรือพูดจา

หาบเร่ตัวน้อยขานรับกำลังจะถอยออกไป กลับคิดอะไรได้หยุดลง

“แต่” เขาอยากพูดกลับหยุดไป

ลู่อวิ๋นฉีมองเขา

“พูด” เขาเอ่ย

“แต่วันนี้มีหมอเร่คนหนึ่งมาที่ตรอกหลังศาลเทพเจ้ากวนอู” หาบเร่เอ่ยขึ้น “ตรวจโรคให้เพื่อนบ้านของบ้านนั้น”

หมอเร่?

“เป็นคุณหนูจวินของโรงหมอจิ่วหลิงแห่งนั้นใช่ไหม?” หัวหน้ากองร้อยเจียงเอ่ยแทรกถาม

พ่อค้าหาบเร่พยักหน้า

“นางนั่นแหละ” เขาเอ่ย “พูดว่าผู้หญิงคนนั้นมีลางร้ายอะไร”

นี่ไม่แปลก คุณหนูจวินคนนี้ก็มุกนี้ตลอด

“ดูท่าพักนี้ไม่มีคนไข้ เป็นอาจารย์หมอจนเบื่อเสียแล้ว” หัวหน้ากองร้อยเจียงเอ่ย พลางอาศัยโอกาสกล่าวเรื่องโรงหมอจิ่วหลิงช่วงนี้กับลู่อวิ๋นฉี “ดังนั้นตอนนี้ดูแล้วท่านหมอเหล่านั้นไม่มีทางโกรธแค้นเป็นอริกับโรงหมอจิ่วหลิงอีกแล้ว”

ลู่อวิ๋นฉีร้องอ้อ มองไปทางหัวหน้ากองร้อยเจียง

“โรงหมอจิ่วหลิง” เขาเอ่ย “นางยังใช้ชื่อนี้หรือ?”

หัวหน้ากองร้อยเจียงอึ้งพยักหน้า

“แน่นอนขอรับ” เขาเอ่ย

ชื่อนี่ปั้นขึ้นมาแล้ว จะเปลี่ยนได้อย่างไร

แต่สร้างชื่อเสียงขึ้นมาแล้ว นี่ย่อมไม่ใช่สิ่งที่ลู่อวิ๋นฉีหวังจะเห็น

“ใต้เท้า แม้ท่านหมอจำนวนหนึ่งจะเปลี่ยนความคิดต่อนางแล้ว แต่ท่านหมอจำนวนหนึ่งไม่ ข้าจะไปตามหาพวก…” หัวหน้ากองร้อยเจียงเอ่ยต่อ

ลู่อวิ๋นฉีลุกขึ้นยืน ขยับคอเล็กน้อย เหมือนจะคลายความแข็งตึงที่อยู่ท่าเดียวมานาน

“อ้อ” เขาเอ่ย “ไม่ต้องลำบากขนาดนั้น”

คุณหนูจวินเดินเชื่องช้าไปบนถนน กระดิ่งในมือยังคงส่ายอยู่ รอบด้านยังคงเป็นฝูงชนทักทายอย่างเป็นมิตร สีหน้าของนางแม้ยิ้ม แต่ในแววตาปิดบังความร้อนรนบางส่วนไว้

ไม่อยู่แล้วได้อย่างไ?

พี่สาวของปิงเอ๋อร์ไม่อยู่แล้วได้อย่างไร?

ครั้งก่อนตนไม่ได้เดินเข้าใกล้ไม่กล้าไปสอบถาม ตอนนี้ในที่สุดเวลาเหมาะสถานที่เหมาะคนพร้อม อาศัยชื่อของโรงหมอจิ่วหลิงกับหมอเร่เข้าใกล้ที่นี่ เข้าใกล้พี่สาวของปิงเอ๋อร์โดยไม่ชักนำให้เกิดความสงสัย

แต่คิดไม่ถึงคนกลับไม่อยู่แล้ว

หากบอกตั้งแต่แรกว่าไม่อยู่แล้วก็ยังพอเข้าใจอยู่บ้าง หนึ่งปีก่อนตนเองเข้าวังลอบสังหารฮ่องเต้กะทันหัน การเคลื่อนไหวประหลาดเช่นนี้ย่อมต้องถูกตรวจสอบ ไม่แน่ว่าปิงเอ๋อร์อาจถูกพบตัวแล้ว ถ้าอย่างนั้นพี่สาวของปิงเอ๋อร์ก็ย่อมถูกหาพบแล้วด้วย เช่นนั้นไม่มีทางเหลือพวกนางทิ้งไว้เด็ดขาด

แต่สอบถามดูจากปากของผู้หญิงคนนั้นเมื่อครู่ ครอบครัวพี่สาวของปิงเอ๋อร์อยู่ที่นี่มาตลอด เพิ่งย้ายไปไม่กี่วันนี้

นี่ย่อมบอกชัดว่าเรื่องนั้นน่าจะยังไม่แดงออกมา

แต่ทำไมเร็วไม่เกิดเรื่อง ช้าไม่เกิดเรื่อง ดันมาเกิดเรื่องหลังตนเองมาถึงเมืองหลวง? บอกชัดว่าต้องมีคนรู้เรื่องนี้เหมือนกัน

หรือตนเองชักนำให้เกิดความสงสัยแล้ว?

นี่เป็นไปไม่ได้

เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด ตนเองกระทำการระวังพอแล้ว

ที่แท้เกิดเรื่องอะไรขึ้น?

“คุณหนู คุณหนู” หลิ่วเอ๋อร์ร้องเรียก

คุณหนูจวินหยุดเท้า สงบจิตใจลงนิดหน่อย มองไปทางหลิ่วเอ๋อร์

“คุณหนู ท่านยังจะเดินอีกหรือเจ้าคะ?” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยถามสีหน้าไม่เข้าใจอยู่บ้าง

คุณหนูจวินตอนนี้ถึงเห็นว่าตนเองเดินมาถึงตรงหน้าโรงหมอจิ่วหลิงแล้ว

เสียอาการแล้วจริงๆ

สถานการณ์ตอนนี้กลายเป็นยุ่งยากอยู่บ้างแล้ว จำต้องเพิ่มความระมัดระวัง

“พอเถอะ เหนื่อยเหลือเกินแล้ว วันนี้ไม่เดินแล้ว” นางยิ้มเอ่ย

หลิ่วเอ๋อร์ดีใจรับหีบยาของนางมา เดินเข้าไปก่อน คุณหนูจวินถอนหายใจก้มหน้าเข้าไปด้วย

“พวกเจ้ากลับมาแล้ว กำลังจะกินข้าวพอดี” เฉินชีอยู่ในเรือน สะบัดแขนหัวเราะเอ่ย

คำพูดนี้ของเขาติดจะอิจฉาอยู่บ้าง แต่น่าเสียดายคุณหนูจวินใจไม่อยู่กับตัวไม่สนใจ หลิ่วเอ๋อร์ก็ฟังไม่เข้าใจสักนิด

“งานเจ้าทำเสร็จแล้วหรือ?” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยถาม “อย่ามัวแต่คิดถึงเรื่องกินข้าวสิ”

เฉินชีถูกถลึงตาใส่ก็กลอกตา

กำลังจะเอ่ยวาจา ด้านนอกประตูเสียงเอะอะพักหนึ่งพลันดังขึ้นพร้อมกับเสียงกีบเท้าม้าและเสียงฝีเท้า เหมือนคนมากมายมาถึงหน้าประตู

“คุณหนูจวิน คุณหนูจวิน” พนักงานที่เฝ้าหน้าร้านสีหน้าซีดขาววิ่งเข้ามา ยื่นมือชี้ด้านนอก “ไม่ดีแล้ว องครักษ์เสื้อแพรมาแล้ว”

องครักษ์เสื้อแพร?

คนในเรือนสีหน้าแข็งทื่อไปนิดนึ่ง

“ประหลาดอะไรเล่า ก็ไม่ใช่มาครั้งแรกเสียหน่อย” เฉินชีเอ่ยอย่างสุขุม “ต้องเป็นมารักษาโรคอีกแน่”

เขาพูดพลางส่ายศีรษะ ท่าทางจนปัญญาอยู่บ้าง

“กฎของพวกเราไม่มีประโยชน์กับพวกเขา ได้แต่ลำบากคุณหนูจวินแล้ว อย่างไรต่อให้ฝ่าฝืนกฎ คนอื่นก็ไม่มีทางพูดอะไรได้ ยังไงก็เป็นองครักษ์เสื้อแพรไหม ทุกคนล้วนเข้าใจ ข้าไปดูเสียหน่อย”

เขาพูดพลางเดินออกไปข้างนอก ฟางจิ่นซิ่วรีรอนิดหนึ่งก็นำสมุนไพรเทลงบนกระบุงต่อ ปลายหางตามองคุณหนูจวินทีหนึ่ง มือนางชะงักอีกครั้ง

สีหน้าของคุณหนูจวินแข็งทื่ออยู่บ้างเหมือนยังไม่ได้สติกลับมา

นางไม่เคยมีสีหน้าเช่นนี้มาก่อน

ไม่ว่าเผชิญหน้ากับความคลางแคลงของคนในบ้านหรือเผชิญหน้ากับการหาเรื่องของบรรดาคุณหนูเหล่านั้นที่หยางเฉิง แม้กระทั่งเผชิญหน้ากับอาลักษณ์หลินและองครักษ์เสื้อแพร สีหน้าล้วนสบายๆ เหมือนปกติ

แต่เวลานี้นางถึงกับตระหนกอยู่บ้าง

เรื่องนี้ต้องหนักหนามากแน่

หรือว่าเรื่องครั้งก่อน…

ฟางจิ่นซิ่ววางสมุนไพรในมือลง สะบัดแขนเสื้อก้าวไวๆ ออกไปข้างนอก

คุณหนูจวินก็สูดหายใจลึกทีหนึ่ง ไม่ว่าเป็นอะไร ในเมื่อมาแล้วก็เผชิญหน้าเถอะ

นางยกเท้าเดินออกไปข้างนอกตามฟางจิ่นซิ่วไป แซงหน้านาง

ฟางจิ่นซิ่วถลึงตามองนางทีหนึ่ง ดูสิเจ้าทำได้

คุณหนูจวินเดินมาถึงด้านในโถง ด้านในโถงไม่มีคน เฉินชียืนอยู่ปากประตูมองไปด้านนอก สีหน้าซีดขาวอยู่บ้าง

คุณหนูจวินเดินเข้ามา ด้านนอกประตูองครักษ์เสื้อแพรกลุ่มหนึ่งยืนเคร่งขรึมอยู่ ชาวบ้านที่ล้อมดูบนถนนไม่น้อย แต่เสียงเอะอะไม่มีสักนิด สายตาของคนทั้งหมดล้วนติดจะหวาดกลัวและหลบเลี่ยงจับอยู่ที่ผู้ชายซึ่งยังคงขี่อยู่บนม้าด้านหน้าโรงหมอจิ่วหลิง

ผู้ชายบนม้ายังคงสวมชุดปลาบินห้อยดาบปักวสันต์ ใต้แสงตะวันปลายฤดูใบไม้ร่วงดวงหน้ายิ่งดูขาวดุจกระเบื้อง ดวงตาเต็มไปด้วยความเย็นชา

ลู่อวิ๋นฉี

เขาถึงกับมาด้วยตนเอง

เกี่ยวข้องกับเรื่องพี่สาวปิงเอ๋อร์วันนี้หรือ?

คุณหนูจวินมองเขา

ลู่อวิ๋นฉีไม่ได้มองนาง สายตาที่ราวกับไม่มีจุดสนใจอยู่เป็นนิจกวาดผ่านป้ายชื่อโรงหมอจิ่วหลิง

“ปลดซะ” เขาเอ่ย

พร้อมกับที่เสียงของเขาสิ้นลง องครักษ์เสื้อแพรสองคนของเขาก็ก้าวเข้าไปทันที ชักดาบปักวสันต์ในมือออกมา กระโดดใช้สันดาบตีบนป้ายโรงหมอ

เสียงเปรี๊ยะดังขึ้น ป้ายโรงหมอของโรงหมอจิ่วหลิงร่วงหล่นลงมาทันที

ชาวบ้านบนถนนรวมถึงเฉินชี หลิ่นเอ๋อร์ ฟางจิ่นซิ่นส่งเสียงร้องตกใจ

ป้ายโรงหมอของโรงหมอจิ่วหลิงร่วงหล่นบนพื้น ส่งเสียงทึบตันเสียงดัง ฝุ่นฟุ้งปลิวกระจาย

……………………………………….