ผู้คนในโถงนั่งเล่นต่างมองหน้ากันและกัน
ตามคำบอกเล่าของชุนหว่าน เรื่องที่เกิดขึ้นในโพรงหินนั้นมิใช่ว่าไม่เกี่ยวข้องกับโจวเสาจิ่นแต่อย่างใดเลยหรอกหรือ
จู่ๆ เฉิงอี๋ก็รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจขึ้นมา
ไม่ง่ายเลยกว่าที่พวกเขาจะคว้าโอกาสนี้มาได้ จะให้เฉิงสวี่หลุดรอดไปต่อหน้าต่อตาพวกเขาได้อย่างไร
เฉิงอี๋ทนไม่ได้ เอ่ยถามชุนหว่านด้วยน้ำเสียงร้อนรนว่า “เหตุใดจี๋อิ๋งต้องชกต่อยกับเฉิงสวี่ด้วย”
ชุนหว่านเล่าไปตามที่ซางมามาบอกนางมา “คุณหนูเจียนัดคุณหนูรองของพวกข้าไปเยี่ยมสะใภ้ใหญ่เก้าที่เพิ่งแต่งเข้ามาด้วยกัน คุณหนูรองกลัวว่าคุณหนูเจียจะรอนานแล้วเป็นกังวล จึงคิดจะเดินลัดจากทางนี้ไป ผู้ใดจะรู้ว่าตอนที่พวกข้าเดินเข้าโพรงหินไปก็พบแม่นางจี๋อิ๋งกำลังทุบตีคุณชายใหญ่สวี่อยู่… คุณหนูรองพยายามห้ามปรามไปหลายประโยคแต่ก็ห้ามไม่อยู่ ซ้ำยังเกือบจะโดนหมัดของคุณชายใหญ่สวี่ชกเข้าใส่อีกด้วย ข้าจึงได้แต่กันคุณหนูรองเอาไว้ข้างหลัง… คุณหนูรองกำลังจะบอกให้ข้าไปเรียกคนมา สะใภ้ใหญ่นั่วก็โผล่มาพอดี จากนั้นก็กรีดร้องเสียงดัง ทำให้นายท่านกับคุณชายใหญ่ทั้งหลายตื่นตระหนกกันหมดเจ้าค่ะ…”
หากเป็นเช่นนี้ ก็จะไม่เกี่ยวอะไรกับโจวเสาจิ่นแล้ว!
คนของจวนสี่รู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง
ทว่าเฉิงอี้กลับดูอึดอัดใจเล็กน้อย
เขาเคยถูกจี๋อิ๋งทุบตี
เพราะตนไปหลงใหลในความงดงามของนาง
หรือว่าเฉิงสวี่ก็…
เฉิงอี้มุมปากกระตุกอย่างห้ามไม่อยู่
ทว่านัยน์ตาของเฉิงสือกลับฉายแววตะลึงสายหนึ่ง
จนถึงตอนนี้ เขายังไม่เข้าใจว่าเรื่องราวกลายเป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร
แต่เขากระจ่างแจ้งอยู่แก่ใจดีว่า เกรงว่าครั้งนี้เฉิงสวี่คงจะพลิกสถานการณ์ได้อย่างสิ้นเชิงเป็นแน่แล้ว กล่าวคือ กินของบางอย่างที่คล้ายผงห้าศิลาเข้าไปแล้วล่วงเกินสาวใช้ที่เดินผ่านทางมาคนหนึ่งกับล่วงเกินญาติที่มาอาศัยอยู่ในตระกูลของพวกเขานั้นถือเป็นคนละเรื่องกันอย่างสิ้นเชิง!
อย่างแรกเพียงแค่ไม่ได้สติแล้วไปล่วงเกินโดยไม่รู้ตัว ทว่าอย่างหลังกลับเป็นการทำตัวหยาบโลน มีพฤติกรรมต่ำช้าเป็นที่น่าผิดหวัง
แต่ก่อนรู้เพียงว่าท่านอาสี่ท่านนี้ทำมาค้าขายเก่งกาจยิ่งนัก นึกไม่ถึงเลยว่าการจัดการเรื่องต่างๆ ก็จะทำได้อย่างแยบยลถึงเพียงนี้
เมื่อก่อนตนดูถูกเขามากเกินไปเสียแล้ว!
เขาตวัดสายตามองเฉิงฉือครั้งหนึ่ง แล้วก้มหน้าลง ยืนอย่างนอบน้อมอยู่ตรงนั้น บอกให้เชื่อฟังมากเท่าไรก็เชื่อฟังมากเท่านั้น บอกให้สำรวมมากขนาดไหนก็ทำตัวสำรวมมากเท่านั้น
ทว่านานครู่ใหญ่กว่าเฉิงเจิ้งจะได้สติคืนกลับ
ไม่แปลกเลยที่ก่อนหน้านี้เขาเสนอเงื่อนไขดีๆ ถึงเพียงนั้น แต่เนื่องจากไม่ได้รับความเห็นชอบจากท่านอาฉือ หลงจู๊รองของสิบสามห้างก่วงตงจึงไม่กล้าทำมาค้าขายกับเขา
ด้วยความสามารถในการปั้นน้ำเป็นตัวของเขานี้ ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็เป็นคนที่ทำให้ผู้อื่นไม่กล้าสร้างความขุ่นเคืองให้ผู้หนึ่ง
หากรู้อย่างนี้แต่แรก เขาควรวางแผนให้รอบคอบกว่านี้ถึงจะถูก
อย่างไรก็ตาม เขาจัดเตรียมคนเอาไว้บนหอซื่ออี้ หากมีอะไรเปลี่ยนแปลงเขาก็ควรจะทราบทันทีถึงจะถูก ทว่าจี๋อิ๋งผู้นั้นไปโผล่ที่โพรงหินตั้งแต่เมื่อใด เขากลับไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่น้อย
เฉิงเจิ้งนึกถึงเรื่องที่ท่านปู่ผู้ล่วงลับไปแล้วเคยลอบบอกเขา แววตาของเขาดำดิ่งลงมาอย่างอดไม่ได้
แต่ก่อน เขาเคยดูถูกท่านอาฉือท่านนี้จริงๆ
ต้องรู้ว่า จี๋อิ๋งยังเคยทุบตีเฉิงอี้มาแล้ว
ก็แค่คนรับใช้ผู้อื่นคนหนึ่งเท่านั้น เหตุใดถึงกล้าทำตัวอาจหาญได้ขนาดนี้ ก็เพราะมั่นใจว่าท่านอาฉือจะต้องปกป้องนางอย่างแน่นอนนั่นเอง
เห็นได้ชัดว่าเรื่องที่ท่านปู่กังวลใจเรื่องนั้นเป็นจริงขึ้นเสียแล้ว!
ดูแล้วเฉิงฉือคงจะควบคุมกิจการที่อยู่ในเงามืดของตระกูลส่วนนั้นไปเรียบร้อยแล้ว
จู่ๆ เขาก็รู้สึกเสียใจขึ้นมาเล็กน้อย
หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้แต่เนิ่นๆ เขาก็คงเลือกที่จะเล่นงานเฉิงสวี่ตอนที่เฉิงฉือไม่อยู่บ้าน
แต่เรื่องดำเนินมาถึงจุดนี้แล้ว ตอนนี้คงได้แต่ต้องหาทางแก้ไขเท่านั้น
ไม่รู้ว่าหลักฐานที่เขา ‘ค้นพบ’ อย่างง่ายดายว่าเฉิงสือลอบวางยาเฉิงสวี่นั้น จะช่วยเฉิงฉือได้บ้างหรือไม่
เฉิงเจิ้งก้มหน้าหลุบตายืนอยู่ตรงนั้น ท่าทางดูสงบเสงี่ยมและระมัดระวังกว่าเฉิงสือมาก ทว่าในใจกลับขบคิดอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้มิใช่เวลามาพูด เรื่องที่เร่งด่วนที่สุดในตอนนี้คือค้นหาว่าเฉิงฉือต้องการทำอะไรกันแน่
เพียงต้องการกอบกู้ชื่อเสียงให้เฉิงสวี่ หรือว่าต้องการยิงธนูดอกเดียวได้นกสองตัวลากเฉิงสือของจวนรองลงน้ำไปด้วยกันนะ
ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ เขาห้ามทำผิดพลาด โดยการไปประจบประแจงไม่ถูกที่เป็นอันขาด
ชั่วขณะนั้นแต่ละคนต่างมีความคิดที่แตกต่างกันไป ภายในโถงนั่งเล่นเงียบงัน ไม่มีเสียงเอื้อนเอ่ยใดๆ
จี๋อิ๋งที่ยืนรออยู่นอกประตูตะลึงงัน
เหตุใดสุดท้ายเรื่องถึงกลับกลายเป็นเฉิงสวี่ล่วงเกินนางไปได้!
นางรู้อยู่แล้ว ขอเพียงเรื่องมาสยบลงที่เฉิงฉือก็ไม่มีอะไรดีทั้งนั้น แต่มากลับดำเป็นขาวอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้… นี่ก็ชักจะหน้าไม่อายเกินไปหน่อยกระมัง
จี๋อิ๋งโมโหจนเส้นเลือดที่ขมับปูดโปน สาวเท้าก้าวเข้าไปในโถงนั่งเล่น
ใครจะรู้ว่าเพียงนางยกเท้าขึ้น ร่างกายกลับแข็งทื่อ ถูกไหวซานสกัดจุดเอาไว้
“จี๋อิ๋ง” ไหวซานเอ่ยขึ้นอย่างลุแก่โทษ “ขออภัย นี่เป็นคำสั่งของนายท่านสี่ พวกเราเป็นบุตรธิดาในยุทธจักร ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ แต่คุณหนูรองตระกูลโจวเป็นหญิงสาวในห้องหอที่บอบบาง หากแปดเปื้อนด้วยเรื่องเช่นนี้อาจจะถูกผู้คนประณามไปตลอดชีวิต จึงจำต้องทำผิดต่อเจ้าแล้ว อย่างไรก็ตาม นายท่านสี่เองก็เอ่ยปากแล้วว่า หลังจากเรื่องนี้จบลงแล้ว เขาจะปล่อยตัวเจ้ากลับตระกูลจี้ ข้าคิดดูแล้ว รู้สึกว่าไม่ถือว่าเจ้าขาดทุนสักเท่าไร คราวก่อนทวดของเจ้าบอกเอาไว้มิใช่หรือว่า เขาอายุมากแล้ว บรรดาบุตรหลานแม้จะมีความสามารถและกตัญญูรู้คุณ ทว่าสิ่งเดียวที่ยังคงวางใจลงไม่ได้ก็คือเจ้า หากเจ้าไม่แต่งงานสักที เขาก็ไม่อาจหลับตาลงได้ ข้าคิดว่าหากเจ้ากลับได้ไปเร็วขึ้นสักหน่อย เขาจะต้องดีใจมากเป็นแน่”
ถุย!
จี๋อิ๋งพูดไม่ได้ จึงได้แต่จ้องไหวซานเขม็ง
ถึงกระนั้น ก็ไม่ควรให้นางเป็นแพะรับบาปนี่นา!
โจวเสาจิ่นเป็นเด็กสาว แล้วนางมิใช่เด็กสาวหรืออย่างไร โจวเสาจิ่นแปดเปื้อนด้วยเรื่องเช่นนี้แล้วจะถูกผู้อื่นประณาม แล้วนางไม่ต้องกลัวถูกผู้อื่นประณามหรืออย่างไร
เฉิงจื่อชวนไอ้สารเลว จิตใจจะเอนเอียงเกินไปหน่อยแล้วกระมัง!
รอให้นางเป็นอิสระเสียก่อน จักต้องแทงเฉิงจื่อชวนให้ตายในดาบเดียวให้ได้!
จี๋อิ๋งโกรธเกรี้ยวจนขนลุกชัน
ไหวซานได้แต่ยิ้มเจื่อนอยู่ข้างๆ
จึงได้ยินเฉิงหลูกระแอมไอเบาๆ ครั้งหนึ่งมาจากในโถงนั่งเล่นที่ประตูเปิดอ้าเอาไว้ทั้งสี่บาน กล่าวขึ้นว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ น้องชายฉือ มิใช่ว่าข้าจะต่อว่าเจ้าด้วยฐานะของญาติผู้พี่ แต่คนในเรือนของเจ้า ก็ควรจะควบคุมให้ดี คราวก่อนเป็นอี้เกอเอ๋อร์ คราวนี้เป็นสวี่เกอเอ๋อร์ ใครจะรู้ว่าคราวหน้าจะถึงคราวของผู้ใดอีก บ่าวที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ดี หากว่าบ่าวไพร่คนอื่นๆ เอาเป็นเยี่ยงอย่างขึ้นมา มิใช่ว่ากฎระเบียบในจวนนี้จะหย่อนยานไปหมดแล้วหรอกหรือ…”
ดวงหน้าของเฉิงอี้ร้อนผะผ่าว ชำเลืองมองเฉิงหลูอย่างโกรธขึ้งครั้งหนึ่ง
จะพูดถึงเฉิงสวี่ก็พูดถึงแต่เฉิงสวี่ก็พอ เหตุใดต้องโยงมาถึงตัวเขาด้วย
จี๋อิ๋งผู้นั้นก็เหมือนกัน เหตุใดถึงไม่มีแววเอาเสียเลย แม้แต่เฉิงสวี่ก็ยังกล้าไปทุบตี…ไม่รู้ว่าท่านอาฉือจะขายนางออกไปหรือไม่
นางเป็นคนจองหองถึงเพียงนั้น หากถูกคนขายออกไป ไม่รู้ว่าจะไปก่อเรื่องไม่ดีอะไรอีกหรือไม่
เขาแอบรู้สึกเป็นห่วงอย่างอดไม่ได้ สายตาเหลือบมองไปข้างนอกโถงนั่งเล่นอย่างห้ามไม่อยู่
เฉิงเก้าที่ได้ยินเฉิงหลูเอ่ยถึงจี๋อิ๋งก็ใช้หางตามองเฉิงอี้มาโดยตลอดนั้น เมื่อเห็นท่าทางของเขาก็อดย่นหัวคิ้วขึ้นไม่ได้ กระซิบบอกน้องชายว่า “เจ้ามีคู่หมั้นแล้ว ถ้าหากทำเรื่องที่ผิดต่อน้องสะใภ้ ข้าจะตัดขาของเจ้าทันที พวกเรามิใช่จวนห้า”
ดวงหน้าของเฉิงอี้ยิ่งร้อนผ่าวมากขึ้น รีบกล่าวว่า “ท่านพูดเลอะเทอะอะไร ข้าจะเป็นคนเช่นนั้นได้อย่างไร”
มีพวกผู้ใหญ่อยู่ตรงนี้หลายคน เฉิงเก้าจึงไม่พูดอะไรมาก ได้แต่สาดตามองเฉิงอี้อย่างข่มขู่สิบส่วน
เฉิงเหมี่ยนหน้าแดงเถือก
ไอ้ลูกสารเลวคนนี้ คราวก่อนคงจะโบยเบาไปกระมัง! เห็นทีว่ากลับไปแล้วยังต้องสั่งสอนเขาให้หลาบจำอีกสักรอบ
เฉิงอี้ที่ยังไม่ทันได้ทำอะไรก็ถูกบิดาคาดโทษนั้นจู่ๆ ก็รู้สึกเย็นวาบไปทั้งร่างอย่างอธิบายไม่ได้
เฉิงอี๋เดือดดาลยิ่งนัก
พูดไม่เป็นก็ไม่ต้องพูด ไม่มีใครคิดว่าเจ้าเป็นใบ้หรอกเฉิงหลู!
เรื่องนี้ เฉิงเจิ้งบุตรชายของเจ้าก็มีส่วนด้วยเหมือนกัน!
ดูทีว่าหากตนมิได้ย้ำเตือนเฉิงหลูสักหน่อย เขาคงยังคิดว่าจวนสามขาวสะอาดมากกระมัง!
เฉิงอี๋ดูแคลนอยุ่ในใจ
เฉิงฉือเอ่ยขึ้นว่า “ตอนนี้คุยเรื่องของเจียซ่านให้กระจ่างก่อนเถิด เรื่องของจี๋อิ๋งค่อยๆ จัดการไปทีละก้าวก็ได้!”
จี๋อิ๋งโมโหจนทั้งตัวสั่นไปทั้งร่าง
ยังจะมาทีละก้าวทีละก้าวอีก!
ถ้าหากเฉิงจื่อชวนกล้าเรียกนางไปไต่สวนในโถงนั่งเล่น นางก็จะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ให้เฉิงจื่อชวนไม่เหลือทางลงสักทาง
ถึงเวลานั้นก็ดูว่าเฉิงจื่อชวนจะทำอย่างไร
นึกถึงตรงนี้ ในใจของจี๋อิ๋งก็รู้สึกดีขึ้นมาก
แต่หากทำเช่นนั้น เกรงว่าโจวเสาจิ่นจะถูกเรียกตัวมาสอบสวนกระมัง
ด้วยรูปร่างบอบบางที่แค่ลมพัดก็ปลิวได้ของโจวเสาจิ่นนั้น คงจะไม่หวาดผวาจนเกือบสิ้นใจหรอกกระมัง
จี๋อิ๋งลังเลขึ้นมา
จู่ๆ เฉิงอี๋ก็ลุกพรวดขึ้นมา
คนในโถงนั่งเล่นต่างหันไปมองเขาเป็นตาเดียว
นี่เฉิงจื่อชวนหมายความว่าอะไร คิดจะยกขึ้นให้สูงจนบรรลุเป้าหมายแล้ววางลงเบาๆ หมายจะโยนเรื่องนี้ไปให้สาวใช้ผู้หนึ่งอย่างนั้นหรือ
ไม่มีทางหรอก
เขากล่าวอย่างฉุนเฉียวว่า “จื่อชวน เรื่องนี้มิอาจพูดเช่นนี้ได้…”
“ท่านพ่อ!” ทันใดนั้นเฉิงสือก็ก้าวออกมาสองสามก้าว เอ่ยตัดบทคำพูดเฉิงหลูว่า “ในเมื่อเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับจวนหลัก ท่านก็ปล่อยให้ท่านอาฉือจัดการเองเถิดขอรับ ข้าเชื่อว่าท่านอาฉือมีความคิดเห็นของตนเองอยู่ในใจ ท่านพ่อท่านทำเช่นนี้ จะให้ท่านอาฉือว่ากล่าวอะไรได้ แม้นสาวใช้จะเป็นคนของท่านอาฉือ แต่ทางด้านของเจียซ่านยังต้องคุยกับฮูหยินหยวนสักคำก่อน…ท่านพ่อ ท่านอย่าทำให้ท่านอาฉือต้องลำบากใจไปเลยขอรับ เรื่องนี้ปล่อยให้ท่านอาฉือจัดเองจะดีกว่า”
หากเป็นเช่นนี้เฉิงสวี่ก็จะรอดพ้นจากหายนะนี้ไปได้อย่างไร้บาดแผลน่ะสิ!
ทว่าบุตรชายจะต้องไม่ห้ามปรามเขาโดยไร้เหตุผลเป็นแน่
เฉิงหลูอ้าปาก สุดท้ายก็เอ่ยปากกล่าวอย่างอึดอัดใจเล็กน้อยว่า “เช่นนั้นข้าจะไม่สอบถามแล้วก็แล้วกัน หลีกเลี่ยงไม่ให้จื่อชวนต้องเสียหน้า”
เฉิงเวิ่นรีบลุกขึ้นมากล่าวแก้สถานการณ์ยิ้มๆ ว่า “ตกลงกันได้ก็ดีแล้วๆ” ด้วยกลัวว่าเรื่องยานั้นจะโยงมาถึงตนเองอีก จึงกล่าวอย่างกระตือรือร้นว่า “ไม่รู้ว่าเจียซ่านตื่นขึ้นมาแล้วหรือยัง พวกเราไปดูเจียซ่านสักหน่อยดีหรือไม่ เด็กคนนี้ก็เหมือนกัน ยังเด็กเกินไป กำลังอยู่ในวัยคึกคะนอง จึงควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้” เขาหัวเราะฮ่าๆ “อย่างไรก็ตาม มีใครในพวกเราที่ไม่เคยมีประสบการณ์เช่นนั้นมาก่อนบ้าง ขอเพียงแค่แก้ไขปรับปรุงตัวได้ก็พอ…”
เขาพูดพล่ามอยู่คนเดียวตั้งนาน แต่ไม่มีใครตอบเขาเลยสักคน
อู๋เป่าจางที่รออยู่ในห้องข้างถัดไปกัดฟันกรอดจนเกือบจะหักหมดแล้ว
โจวเสาจิ่นรอดไปได้อย่างง่ายดายเช่นนี้น่ะหรือ
นายท่านสี่ฉือปกป้องนางเสียจริงๆ ด้วย
มิน่าทุกคนในตระกูลเฉิงต่างก็อยากจะวิ่งเข้าหาจวนหลัก ได้เป็นคนของจวนหลัก ก็แตกต่างแล้ว
ต่อจากนี้ไป ตนควรจะทำอย่างไรดี
นึกถึงท่าทางของเฉิงนั่วที่นอนกรนเสียงดังไปทั่วห้องอยู่บนเตียงแล้ว ในใจของนางก็รู้สึกสะอิดสะเอียนยิ่งนัก
ระหว่างนี้โจวเสาจิ่นกลับยืนอยู่ที่ประตูห้องโถงหลักของเรือนหานปี้ซานอย่างเงียบๆ รอเจินจูเข้าไปรายงานให้นาง
ท่านน้าฉือเรียกจี๋อิ๋งกับชุนหว่านไปสอบถาม เพื่อแก้ปัญหาของนางอย่างแน่นอน
นางไม่ได้รู้สึกเป็นกังวลแต่อย่างใด
ทว่าทางด้านฮูหยินผู้เฒ่ากัว กลับมิอาจไม่อธิบายให้ฟังได้
พอได้ยินสาวใช้เด็กบอกว่าหยวนซื่อออกไปแล้ว นางจึงมาขอพบ
ไม่นานผ้าม่านก็ถูกเลิกขึ้นมา ปี้อวี้ต้อนรับนางเข้าไป
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกำลังนั่งดื่มชาอยู่บนตั่งหลัวฮั่น แม้นดวงหน้าจะไม่เผยสีหน้าใดๆ แต่โจวเสาจิ่นยังคงสัมผัสได้ว่าอารมณ์ของนางห่อเหี่ยวยิ่งนัก
“มาแล้วก็เข้ามาเถิด ยังให้สาวใช้เด็กเข้ามารายงานก่อนทำไม” ฮูหยินผู้เฒ่ากัววางจอกชาลง คลี่ยิ้มให้นางพลางกล่าวว่า “เฉิงสวี่ทำเรื่องเสียมารยาท เจ้าคงรู้สึกหวาดกลัวมากกระมัง ไฉนถึงไม่พักผ่อนอยู่ในเรือนสักหน่อยเล่า รีบมาหาเช่นนี้คงจะมีเรื่องอะไรกระมัง”
โจวเสาจิ่นจึงคุกเข่าลงตรงหน้าฮูหยินผู้เฒ่ากัวเบาๆ กล่าวเสียงเบาว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า ขอบพระคุณท่านกับท่านน้าฉือที่ช่วยอบรมสั่งสอนในช่วงที่ผ่านมา ใกล้ปีใหม่แล้ว ข้าอยากจะกลับเมืองเป่าติ้งไปเยี่ยมบิดากับน้องสาวคนเล็กที่เพิ่งเกิดของข้าเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่เอ่ยตอบคำใดนานพักหนึ่ง
แม้จะรู้ผลลัพธ์อยู่แล้ว แต่พอเห็นโจวเสาจิ่นเฉลียวฉลาดและรู้ความเช่นนี้แล้ว ในใจของนางยังคงรู้สึกเสียใจเล็กน้อย
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวลูบศีรษะของโจวเสาจิ่น พรูลมหายใจยาวเหยียด กล่าวขึ้นว่า “กลับไปก็ดีเหมือนกัน พ่อของเจ้าคิดถึงเจ้าอยู่ตลอด กลับไปอยู่ที่นั่นสักระยะหนึ่ง หากรู้สึกเบื่อแล้ว ค่อยมาเยี่ยมพวกข้าใหม่”
เกรงว่ากลับไปครั้งนี้ คงยากที่จะได้พบกันอีกแล้ว!
แต่นางจะมีหน้าไปรั้งให้โจวเสาจิ่นอยู่ต่อได้อย่างไร
แววตาของฮูหยินผู้เฒ่ากัวหม่นหมองลง
มีสาวใช้เด็กรายงานว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า หม่าฟู่ซานขอเข้าพบเจ้าค่ะ!”
………………………………………………………………….