ตอนที่ 204 บุตรชายคนที่สามแห่งตระกูลหยุนเป็นนกสองหัว
“ท่านพ่อ! ท่านพ่อ!”
ผู้เฒ่าหยุนลืมตาขึ้นก็พบว่าทุกคนในครอบครัวกำลังยืนล้อมรอบเตียงของตนอยู่
“ท่านพ่อ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง? ข้าเป็นห่วงแทบตาย” หยุนลี่จงนั่งอยู่ตรงหัวเตียงพูดพลางแสดงท่าทีสนิทสนมและกตัญญู
ผู้เฒ่าหยุนรู้สึกแน่นหน้าอกประกอบกับอ่อนเพลียจึงส่ายศีรษะ
“ท่านพ่อ ท่านรู้สึกดีขึ้นหรือไม่ขอรับ? ข้าจะไปเชิญหลีหลางจงมาเดี๋ยวนี้!” หยุนลี่เต๋อโน้มตัวลงพร้อมเอ่ยถาม
ผู้เฒ่าหยุนโบกมือปฏิเสธขณะที่ริมฝีปากแห้งแตกขยับเล็กน้อย
“ท่านพ่อรู้ว่าท่านพี่เห็นขี้ดีกว่าไส้อย่างไรล่ะ รักษาไปจะมีประโยชน์อันใด” หยุนลี่เซียวนั่งไขว่ห้างพลางใช้มือเคาะโต๊ะตรงหน้า “หากกตัญญูจริง ท่านต้องเอาเงินห้าสิบตำลึงมาวางไว้ที่นี่ แล้วท่านพ่อจะหายป่วยทันที!”
หยุนลี่เต๋อไม่สนใจคำพูดของน้องชาย เขารินชาและยกมันไปที่เตียงก่อนประคองชายชราให้ลุกขึ้นนั่ง ทว่าหยุนลี่จงยื่นแขนออกมาขวางไว้ก่อน
“ท่านพ่อ ให้ข้าช่วยประคองท่านลุกขึ้นนั่งเพื่อดื่มชาเถิด!” หยุนลี่จงรับถ้วยชามาจากหยุนลี่เต๋อ
ผู้เฒ่าหยุนพยักหน้าและมองไปที่ลูกชายคนโตด้วยแววตาที่อัดแน่นไปด้วยความโล่งใจ
หลังจากดื่มชาไปครึ่งถ้วย ใบหน้าซีดเผือดของผู้เฒ่าหยุนก็มีสีสันขึ้นเล็กน้อย ทว่าบนหน้าผากของเขายังคงมีเหงื่อผุดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
“ข้าเกรงว่าท่านปู่จะเป็นโรคลมแดดจึงใส่น้ำตาลและเกลือเล็กน้อยลงไปในชา” หยุนเชวี่ยกล่าวขณะเปิดประตูหน้าต่างของห้องชั้นบนเพื่อให้อากาศถ่ายเท
เห็นได้ชัดว่ามันคืออาการของผู้ที่ยืนอยู่ท่ามกลางอากาศร้อนเป็นเวลานานจนเป็นลมแดด ดังนั้นจึงต้องได้รับกลูโคสในปริมาณที่เหมาะสม
น่าเสียดายที่ผู้ใหญ่ในห้องไม่นำเอาคำพูดของเด็กสาวไปขบคิด มีเพียงแม่นางเหลียนเท่านั้นที่เอ่ยถามด้วยความงุนงง “เจ้าว่าอย่างไรนะ?”
“ข้าเรียนรู้มาจากในเมืองน่ะ หากดื่มน้ำที่ผสมเกลือและน้ำตาลลงไป อีกสักพักอาการก็จะดีขึ้นเองเจ้าค่ะ” หยุนเชวี่ยอธิบาย
“หากเป็นเช่นนั้นแม่จะไปจัดการเดี๋ยวนี้…”
“น้ำหนึ่งชามใหญ่ น้ำตาลสามช้อนชา และเกลือหนึ่งช้อนชา” หยุนเชวี่ยกำชับ
แม่นางเหลียนพยักหน้าก่อนรีบเดินเข้าไปในห้องครัวทันที เมื่อหยุนชิ่วเอ๋อเห็นว่าผู้เฒ่าหยุนฟื้นคืนสติ นางจึงเอ่ยถามทันที “ท่านพ่อ ท่านพูดว่าอะไรกันแน่?”
ผู้เฒ่าหยุนโบกมือปฏิเสธอย่างอ่อนแรง
หยุนชิ่วเอ๋อนิ่งเงียบ
ก่อนที่หยุนลี่เต๋อจะอ้าปากถาม หยุนลี่เซียวก็โพล่งขึ้นก่อน “ฮึ่ม หวังหลี่เจิ้งเป็นไอ้แก่ไร้ประโยชน์ เหตุใดท่านพ่อถึงตกปากรับคำเขาง่ายถึงเพียงนั้น? เงินเพียงไม่กี่สิบเหรียญยังน้อยไปด้วยซ้ำสำหรับเรื่องที่พวกมันทำกับเรา!”
“อะไรนะ? เพียงไม่กี่สิบเหรียญงั้นหรือ?” หยุนชิ่วเอ๋ออุทาน
“ยังเหลืออีกสี่ตระกูลที่ติดค้างเงินอยู่ด้วย!” หยุนลี่เซียวสะบัดเท้าอย่างโมโห “ครั้งนี้เราเสียเปรียบจึงต้องทนทุกข์! หากพี่รองไม่ห้ามไว้ ข้าไม่ปล่อยไอ้เด็กเวรพวกนั้นมีชีวิตอยู่แน่!”
หยุนลี่เซียวกล่าวพลางขบกรามแน่นพร้อมจ้องเขม็งไปที่หยุนลี่เต๋อ “ข้าไม่เคยเห็นท่านหวาดกลัวเช่นนี้มาก่อน ไม่กล้าแม้แต่พูดเขาข้างพวกเรา ในเมื่อพี่รองเห็นคนอื่นดีกว่าพี่น้อง ท่านก็ลองคิดทบทวนดูให้ดีว่าตนเองแซ่หยุนหรือไม่?”
“ไม่ว่าจะอยู่ตระกูลใดก็ต้องยึดในเหตุผลเสมอ” หยุนลี่เต๋อเผยสีหน้าเรียบเฉย
“เหตุผล? เหตุผลกินได้หรือไม่? เหตุผลสามารถทำให้ชีวิตสุขสบายขึ้นหรือไม่?” ฉับพลันหยุนลี่เซียวก็แผดเสียงด้วยความโมโหราวกับถูกเหยียบหาง “พี่รอง อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าท่านแอบยิ้มย่องในใจ ท่านกลัวว่าข้าจะไปแย่งลูกค้าของท่านใช่หรือไม่? พี่รองไม่เคยเห็นพวกเราอยู่ในสายตาเลย!”
หยุนลี่เต๋อขมวดคิ้วพร้อมมองน้องชายเช่นกัน กล้ามเนื้อแก้มทั้งสองข้างกระตุกด้วยความโกรธ ใบหน้าที่ดำคล้ำอยู่แล้วยิ่งดำขึ้นไปอีก
หากไม่ใช่เพราะผู้เฒ่าหยุนยังคงนอนอยู่กับเตียงอย่างอ่อนเพลีย หยุนลี่เต๋อก็ไม่อยากเสียเวลาต่อปากต่อคำกับหยุนลี่เซียวแม้แต่ครึ่งประโยค
“ท่านอาสาม ท่านพ่อของข้าไม่ต่อล้อต่อเถียงกับท่านหรอกเจ้าค่ะ ดังนั้นข้าจึงอยากพูดกับท่านสักสองสามคำ” หยุนเชวี่ยเกลียดใบหน้านี้ยิ่งนัก นางก้าวไปด้านหน้าสองก้าวและยืนประจันหน้าหยุนลี่เซียวอย่างไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย
“ในเมื่อท่านอาสามมีความสามารถมากมายเพียงนี้ ทว่าเหตุใดตอนที่ท่านปู่มอบหมายให้ไปไต่ถามความจริง ท่านกลับผลักไสความรับผิดชอบนั้นล่ะเจ้าคะ?”
“หากไม่ใช่เพราะท่านอาสามทำโอ่งน้ำของตระกูลเฝิงแตก ทั้งยังทำร้ายแม่ของโฉ่วเหือและโฉ่วช่วน พวกเราจะถูกกล่าวหาว่าเป็นคนไร้เหตุผลได้อย่างไร? ทั้งยังต้องจ่ายเงินชดใช้พวกเขาเป็นเงินสิบห้าเหรียญอีก?”
“นังเด็กเปรต แกกล้าขึ้นเสียงใส่ผู้ใหญ่รึ?!” ใบหน้าและลำคอของหยุนลี่เซียวแดงก่ำ ดวงตาแทบถลนออกมาจากเบ้า เขาลุกยืนขึ้นพลางก้าวไปข้างหน้าขณะเงื้อมือขึ้นจะตบหยุนเชวี่ย
หยุนเชวี่ยไม่เกรงกลัว นางเชิดหน้าขึ้นพร้อมก้าวไปด้านหน้าอีกหนึ่งก้าว “หากท่านอาสามไม่พอใจในคำตัดสินของหวังหลี่เจิ้ง ท่านก็ไปตำหนิเขาสิเจ้าคะ มีหนึ่งพูดหนึ่ง มีสองพูดสอง* เหตุใดถึงต้องผลักความผิดมาให้ท่านพ่อของข้าด้วย?”
*มีหนึ่งพูดหนึ่ง มีสองพูดสอง หมายความว่า สิ่งที่พูดจะอธิบายถึงความซื่อสัตย์
“เจ้า…”
“ท่านอาสาม แท้จริงแล้วท่านรู้ดีแก่ใจว่าพวกเราไม่มีทางได้เงินจากเขา ดังนั้นท่านจึงใส่ความท่านพ่อ… ถูกต้องหรือไม่เจ้าคะ?”
ทุกประโยคที่หยุนเชวี่ยพ่นออกมาแล้วแต่เป็นคำถามที่สื่อถึงความร้ายกาจและความอกตัญญูของหยุนลี่เซียว เมื่อเห็นเขากำลังจะฟาดฝ่ามือลงมา เปลือกตาของนางก็สั่นไหวเล็กน้อย ทว่ามุมปากกลับยกยิ้ม
หยุนเชวี่ยเพียงอยากยั่วโมโหหยุนลี่เซียวเท่านั้น หากเขาตบหน้านางจริง บิดาของนางคงไม่ยอมทนเป็นแน่
กระแสลมอ่อน ๆ ทำให้ปอยผมที่ตกลงข้างแก้มของนางปลิวไสว หยุนเชวี่ยกลั้นหายใจเตรียมรับแรงฟาด ทว่ากลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หยุนลี่เต๋อจับข้อมือของน้องชายเอาไว้ ขณะนี้ดวงตาที่มักฉายแววซื่อตรงและเป็นมิตรกลับอัดแน่นไปด้วยความโกรธเคือง
“พี่รอง! ท่านทำอะไร! ไม่มีประโยชน์ที่จะหาเรื่องใส่ตัว!” หยุนลี่เซียวขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
มือใหญ่ของหยุนลี่เต๋อกำข้อมือของหยุนลี่เซียวแน่นจนข้อต่อกระดูกของน้องชายส่งเสียงกรอบแกรบ จากนั้นเหวี่ยงเขาลงบนโต๊ะด้านข้าง
“เจ้ากล้าทำร้ายข้ารึ! พี่รองกับข้าได้เห็นดีกันแน่!” หยุนลี่เซียวไม่สามารถต่อกรกับพี่ชายได้จึงร้องโอดครวญ “ท่านพ่อ ดูสิ… ท่านก็นอนอยู่ตรงนี้ เขายังกล้าทำตัวป่าเถื่อน! ท่านพ่อ…”
“เจ้าสาม ข้าขอเตือนเจ้า” วันนี้น้ำเสียงของหยุนลี่เต๋อแข็งกร้าวกว่าเดิม “ต่อจากนี้หากเจ้ากล้าทำร้ายลูกสาวต่อหน้าข้าอีก เจ้าจะได้เห็นดีแน่!”
เมื่อพูดจบ หยุนลี่เซียวก็พาหยุนเชวี่ยเดินเท้าออกจากห้องโดยไม่สนใจสีหน้าประหลาดใจของคนอื่น ๆ
แม่นางเหลียนที่เพิ่งออกมาจากห้องครัวพร้อมกับชาผสมน้ำตาลและเกลือ นางตกใจกับเสียงคำรามจึงรีบวางถ้วยชาไว้ในห้องก่อนเดินออกไปโดยไม่พูดสักคำ
หยุนลี่เซียวยังคงจ้องมองพี่รองของตนอย่างไม่วางตาด้วยสายตาดุร้าย ดวงตาแดงก่ำ ขณะที่ใบหน้าดำคล้ำดั่งรากษส หลังจากเวลาผ่านไปครู่ใหญ่เขาจึงเอนตัวลงบนเก้าอี้พลางขยับปากสาปแช่ง ทว่าไม่กล้าพูดเสียงดังนัก
“เจ้าเดรัจฉานตัวน้อยกำลังต่อต้านเรา! รวยแล้วนี่ถึงปีกกล้าขาแข็งต่อหน้าพ่อแม่…” แม่เฒ่าจูที่นั่งอยู่ปลายเตียงสบถด่าทอ
แต่ไหนแต่ไรมาหยุนชิ่วเอ๋อไม่คิดต่อกรกับหยุนลี่เซียว เมื่อเห็นอีกฝ่ายมีความทุกข์ นางจึงกลอกตาพลางกล่าวเย้ยหยัน “หึหึ พี่สาม… ไม่ใช่ว่าท่านเก่งมากหรอกหรือ? พี่รองพูดขู่แค่ประโยคเดียวก็กลัวจนหัวหดแล้วรึ? กลัวถึงขนาดไม่กล้าแม้แต่จะด่าทอหรืออย่างไร?”
หยุนลี่เซียวแสยะยิ้ม “ข้ากลัวเขาหรือ? หึ ตลกเกินไปแล้ว! ข้าไม่อยากเห็นหน้านังเด็กนั่นต่างหาก! จะได้ไม่มีผู้ใดกล่าวหาว่าคนเป็นอาเช่นข้าถือสาคำพูดของหลานสาว!”
“ท่านไม่กลัวที่จะต่อสู้กับพี่รองจริงหรือ? ตอนนี้พวกเขาก็กลับไปหมดแล้ว พี่สามพูดลับหลังเช่นนี้ไม่กลัวชาวบ้านหัวเราะเยาะเอาหรือ” หยุนชิ่วเอ๋อดูถูกเหยียดหยาม
หยุนลี่เซียวทั้งโกรธทั้งโมโห เขากัดฟันกรอดด้วยความเคียดแค้นก่อนกระแทกหมัดลงบนโต๊ะและถีบเก้าอี้จนล้ม จากนั้นเดินออกจากห้องไปอย่างขุ่นเคือง