ตอนที่ 205 หยุนลี่เต๋อปกป้องลูกสาว

ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยชาวสวน

ตอนที่ 205 หยุนลี่เต๋อปกป้องลูกสาว

“จุ๊ ๆ ๆ น้องรองคนนี้ช่างร้ายกาจเสียจริง ตั้งแต่ที่ลูกสาวหาเงินได้เป็นกอบเป็นกำ เขาก็เปลี่ยนไปเหมือนเป็นคนละคน” แม่นางจ้าวที่ยืนอยู่ด้านข้างกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา

ไม่ใช่ว่านางไม่เกลียดชังน้องสาม ทว่าเมื่อเทียบกันแล้ว นางไม่อยากพบหน้าครอบครัวของน้องรองมากกว่า

หากพูดตามตรงก็คือแม่นางจ้าวอิจฉาริษยานั่นเอง เนื่องจากแม่นางเหลียนได้แต่งงานกับบุรุษรูปงามและน้องรองก็รักแม่นางเหลียนมาก ส่วนลูกสาวของพวกเขาก็หาเงินได้มากมาย

ยิ่งอิจฉามากเท่าใด แม่นางจ้าวก็ยิ่งเกลียดชังหยุนลี่จงมากขึ้นเท่านั้น นางจึงมีความทะเยอทะยานที่จะเป็นฮูหยินของขุนนางและมีชีวิตที่ดีให้เร็วที่สุด เพื่อที่แม่นางเหลียนและสตรีคนอื่น ๆ ในหมู่บ้านจะได้เป็นฝ่ายอิจฉาตนบ้าง

“หึ หาเงินได้ไม่กี่เหรียญก็ทำเป็นอวดดี!” หยุนชิ่วเอ๋อเลิกจิกกัดหยุนลี่เซียวและกล่าวเสียดสีหยุนลี่เต๋ออีกครั้ง “การค้าเล็ก ๆ ไม่สามารถสร้างชื่อเสียงได้ ไม่มีผู้ใดอยากแต่งงานกับเด็กสาวที่ตะลอนไปทั่วเมืองหรอก! ไม่มีใครต้องการนางสักคนยกเว้นพวกที่หูหนวกตาบอด!”

หลังจากพูดจบ หยุนชิ่วเอ๋อก็เบ้ปากอย่างภาคภูมิใจก่อนหยิบกระจกทองแดงอันเล็กออกมาจากใต้หมอนพร้อมจัดปอยผมให้เรียบร้อย

“ท่านพ่อ ท่านดื่มชาอีกสักหน่อยเถิด” หยุนลี่จงยกถ้วยชาให้ผู้เฒ่าหยุนพร้อมเผยท่าทีกตัญญู

“เมียพี่รองเป็นคนทำ ไม่กลัวว่าพวกเขาจะวางยาพิษหรือ” หยุนชิ่วเอ๋อเบ้ปากพลางกล่าวตามตรง

“ชิ่วเอ๋อ ท่านพ่อกำลังป่วยอยู่ เจ้าอย่าเพิ่งพูดอะไรเลย” หยุนลี่จงกล่าวเกลี้ยกล่อมน้องสาวก่อนเปลี่ยนโทนเสียง “เจ้าสามเป็นอันธพาล ส่วนเจ้าสองก็พึ่งพาไม่ได้ ดังนั้นในอนาคตท่านพ่อและท่านแม่จะต้องพึ่งพาเรา”

หยุนชิ่วเอ๋อเป็นลูกสาว ไม่ช้าก็เร็วนางต้องแต่งงานออกเรือนและกลายเป็นคนของตระกูลอื่น การที่พี่ใหญ่พูดคำว่า ‘พึ่งพาเรา’ ซึ่งมีความหมายที่แท้จริงว่าชายชราและหญิงชราต้องพึ่งพาอาศัยลูกชายคนโต เขาจึงต้องพูดให้ทั้งสองคนเข้าใจว่าหากเกิดเรื่องในอนาคตผู้เฒ่าทั้งสองคนควรพึ่งพาผู้ใดและไม่ควรเข้าหาใคร

สีหน้าของผู้เฒ่าหยุนอ่อนเพลียยิ่งนัก ไม่รู้ว่าเขาจะเข้าใจความหมายในคำพูดของลูกชายหรือไม่ หลังจากถูกหยุนลี่จงประคองให้นั่งพิงหัวเตียงและดื่มชาไปครึ่งถ้วยแล้ว ชายชราก็หลับตาลงพลางกล่าวคำเบา “ออกไปก่อนเถิด ข้าขอพักสักหน่อย…”

ปีกตะวันตก

“เกิดอะไรขึ้น เหตุใดท่านถึงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเพียงนี้” แม่นางเหลียนและหยุนลี่เต๋อร่วมเรียงเคียงหมอนกันมานับสิบกว่าปี นี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นสามีของตนโมโห

เรื่องนี้ทำให้นางรู้สึกฟุ้งซ่านอยู่ครู่ใหญ่ ซึ่งก่อนหน้านั้นนางเข้าใจมาตลอดว่าตนแต่งงานกับบุรุษพ่อพระผู้ไม่เคยโกรธเคืองใครเลย

หยุนลี่เต๋อนั่งนิ่งไม่ไหวติงอยู่ข้างเตียงนอน ความโกรธแค้นในแววตาของเขาเพิ่งจางหายไปเมื่อครู่

ปกติแล้วเขาเป็นคนซื่อบื้อ ปากหนัก หากมีอะไรในใจมักไม่พูดออกมาซึ่งหยุนลี่เต๋อแสดงออกเช่นนี้มาตลอด

สรุปได้ว่าหากมีผู้ใดปองร้ายกับลูกสาว หยุนลี่เต๋อก็จะรีบปกป้องนางทันที

หยุนเชวี่ยนั่งลงข้างบิดาอย่างว่าง่ายพลางกำผ้าเช็ดหน้าด้วยท่าทีน่าสงสารพร้อมกล่าวคำเบา “ท่านอาสามจะตบหน้าข้า ทว่าท่านพ่อห้ามไว้…”

“น่ากลัวยิ่งนัก ฝ่ามือของท่านอาสามเกือบฟาดเข้ากับใบหน้าของเชวี่ยเอ๋อแล้ว” หยุนเยี่ยนลูบแผ่นหลังของน้องสาวเบา ๆ

ในตอนนั้นนางยืนอยู่ข้าง ๆ น้องสาวพร้อมกับหัวใจที่สั่นไหว

เมื่อได้ยินดังนั้น แม่นางเหลียนก็รีบโผเข้าไปหาลูกสาวและมองสำรวจซ้ายขวาทันที “เขาไม่ได้ตีลูกใช่หรือไม่? เหตุใดน้องสามถึงชอบลงไม้ลงมือกับผู้อื่นนัก?”

“ไม่เจ้าค่ะ ข้าไม่ทันได้หลบ ทว่าเคราะห์ดีที่ท่านพ่ออยู่ตรงนั้นด้วย…” หยุนเชวี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงน้อยเนื้อต่ำใจพลางใช้ศีรษะถูกแขนแข็งแกร่งของหยุนลี่เต๋อสองครั้ง

กล้ามแขนอันแข็งแกร่งของบิดาทำให้หยุนเชวี่ยรู้สึกปลอดภัยอย่างบอกไม่ถูก นางพลันคิดในใจว่าน่าเสียดายไม่น้อยที่หยุนลี่เซียวไม่ได้ลิ้มรสกล้ามเนื้ออันแข็งแกร่งของบิดา

“ต่อไปนี้อย่าปะทะคารมกับอาสามอีกล่ะ นิสัยของเขา…” แม่นางเหลียนส่ายศีรษะด้วยความหวาดกลัว

“วางใจเถิดท่านแม่ ข้าฉลาดกว่าเขาเสียอีก!” หยุนเชวี่ยใช้แขนข้างหนึ่งคล้องแขนของแม่นางเหลียน ส่วนอีกข้างหนึ่งคล้องแขนของหยุนลี่เต๋อ “และยังมีท่านพ่ออยู่ด้วยทั้งคน!”

“สาวน้อย เจ้ามักเชื่อใจพ่อสุดที่รักของเจ้าเสมอ!” เมื่อแม่นางเหลียนเห็นท่าทีชาญฉลาดและเชื่อฟังของหยุนเชวี่ย นางก็รู้ว่าลูกสาวคนนี้ไม่เข็ดหลาบ

หยุนเชวี่ยกล่าวด้วยความภาคภูมิใจยิ่งกว่าเดิม “ข้าเป็นลูกสาวของท่านพ่อ หากท่านพ่อไม่ปกป้องข้าแล้วจะปกป้องผู้ใด? ใช่หรือไม่เจ้าคะท่านพ่อ?”

หยุนลี่เต๋อที่เพิ่งโกรธจัดหัวเราะออกมาหลังจากที่ลูกสาวพูดออกมาสองสามคำพลางลูบศีรษะของนางเบา ๆ “เจ้าไปพักก่อนเถิด!”

หลังจากพูดจบ หยุนลี่เต๋อก็ดื่มชาหนึ่งถ้วยก่อนเตรียมตัวออกไปล่าสัตว์ ขณะนี้ใกล้ถึงฤดูใบไม้ร่วงแล้ว หากฤดูใบไม้ร่วงผ่านพ้นวสันตฤดูจะเข้ามาแทนที่ ดังนั้นเขาต้องอาศัยช่วงที่หิมะยังไม่ตกหนักจนปิดทางขึ้นเขาหาเงินให้มากกว่าเดิม เพื่อให้ลูก ๆ และภรรยามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

คำพูดของหยุนเชวี่ยที่ว่านางอยากซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้แม่กับพี่สาวและต้องการซื้ออุปกรณ์การเรียนให้กับเสี่ยวอู่ยังคงดังก้องอยู่ภายในจิตใจของหยุนลี่เต๋อ

เขาผู้เป็นพ่อและเป็นกระดูกสันหลังของครอบครัวควรเป็นผู้ที่กังวลเรื่องนี้มากที่สุด ทว่าลูกสาวของเขากลับมีความคิดเช่นนั้นจึงทำให้หยุนลี่เต๋อทั้งปลื้มใจและเศร้าเสียใจในเวลาเดียวกัน

ไม่ใช่ว่าตนเป็นผู้นำครอบครัวที่อ่อนแอไร้ความสามารถหรอกหรือ หยุนเชวี่ยถึงได้มีนิสัยแข็งกร้าวกว่าลูกผู้ชาย? ความคิดเหล่านี้พลันหลั่งไหลเข้ามาในสมองของหยุนลี่เต๋อ

เขาเหลือบมองหยุนเชวี่ยและรู้สึกประหลาดใจ ขณะที่แววตาของเขาเจือความผิดหวังเล็กน้อยจึงยากที่จะสังเกตเห็น

“ท่านพ่อ?” หยุนเชวี่ยเอียงศีรษะ ดวงตากลมโตกะพริบปริบ ๆ

“หืม” หยุนลี่เต๋อหลุดออกจากห้วงความคิดก่อนหยิบหน้าไม้ที่แขวนอยู่บนผนัง “เหตุใดเจ้าถึงไม่ขึ้นไปนอนพักบนเตียงเล่า?”

“ข้าไม่เหนื่อยเจ้าค่ะ” หยุนเชวี่ยนั่งลงข้างเตียงและสวมรองเท้า “ได้เวลาพอดี ข้าต้องไปแล้ว”

“เจ้าจะไปที่ใดอีกแล้ว?” เมื่อแม่นางเหลียนได้ยินคำพูดของลูกสาว ความเจ็บปวดใจพลันแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธทันที “ตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้เจ้าไม่เหน็ดเหนื่อยแม้แต่น้อย ทว่าเหตุใดข้าถึงรู้สึกเหนื่อยแทนเจ้าเช่นนี้”

ครอบครัวของหยุนเชวี่ยแจกจ่ายภาระหน้าที่กันอย่างชัดเจน นางมีหน้าที่เข้าไปขายของในเมือง หยุนเยี่ยนมีนิสัยเก็บตัวจึงได้รับงานซักผ้า ทำกับข้าว เย็บซ่อมเสื้อผ้าส่วนที่เสียหายและเมื่องานทุกอย่างเสร็จสิ้น นางก็จะไปช่วยบิดามารดาทำงานที่ไร่นา หยุนลี่เต๋อและแม่นางเหลียนกำลังง่วนอยู่กับการปลูกพืชผัก ขึ้นเขาเพื่อล่าสัตว์ จากนั้นแม่นางเหลียนจะเป็นผู้ทำความสะอาดและหมักเนื้อสัตว์ป่าที่จับมาได้ ทุกคนในครอบครัวต่างทำหน้าที่ของตนอย่างขยันขันแข็งและมีประสิทธิภาพในทุก ๆ วันจนสามารถเห็นผลลัพธ์ได้ด้วยตาเปล่า

ขอเพียงลูกทั้งสามคนไม่ก่อเรื่องแย่ ๆ แม่นางเหลียนก็พอใจกับชีวิตความเป็นอยู่ตอนนี้แล้ว

ยามบ่าย

หยุนลี่เต๋อมุ่งหน้าไปยังภูเขาด้านหลังหมู่บ้าน หยุนเยี่ยนตามแม่นางเหลียนไปเก็บกวาดงานในไร่ที่ยังไม่เสร็จเรียบร้อย เสี่ยวอู่ไปเรียนหนังสือที่บ้านของเฟิงซิ่วไฉ่ ส่วนหยุนเชวี่ยไปหาเหอยาโถว

ประตูเรือนบานใหญ่ของตระกูลหยุนเปิดอ้า ด้านข้างของประตูมีหยุนเซียงนั่งอยู่เงียบ ๆ

หยุนเชวี่ยไม่รู้จะเอื้อนเอ่ยคำใด สิ่งที่ตนพูดเมื่อวานก่อนล้วนเปล่าประโยชน์ นางตะโกนเรียกเหอยาโถวอยู่ตรงลานบ้านสองสามครั้ง ในที่สุดเขาก็เดินออกมาจากบ้านด้วยท่าทีงัวเงีย

“เชวี่ยเอ๋อ” เหอยาโถวเห็นหยุนเซียงนั่งอยู่ข้างประตูเรือนจนชินตาแล้วจึงไม่มีท่าทีแปลกใจ “มีอะไรหรือ?”

“ข้ามีเรื่องจะปรึกษาเจ้า”

เหอยาโถวรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นเล็กน้อย เพราะปกติแล้วคำว่า ‘ข้ามีเรื่องจะปรึกษา’ ของหยุนเชวี่ยมักเป็นเรื่องที่ต้องคิดหาวิธีบางอย่างแน่นอน

“รอสักครู่ ข้าขอไปล้างหน้าก่อน เจ้าเข้ามารอข้างในบ้านสิ” เหอยาโถวเดินไปสองสามก้าวก่อนเปิดฝาโอ่งและตักน้ำขึ้นมาสองสามขันเพื่อล้างใบหน้า

หยุนเชวี่ยเหลือบมองหยุนเซียงที่นั่งอยู่ตรงธรณีประตู ส่วนหยุนเซียงก็เงยหน้ามองนางแวบหนึ่งก่อนหลุบตาลงอย่างรวดเร็ว