ตอนที่ 227 เรื่องจุกจิก

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 227 เรื่องจุกจิก

“คนที่อยู่ด้านในอารามอารามซุ่ยเยว่นั้นเก่งกาจหรือไม่ ? ”

ณ จวนฟู่ ศาลาเถาหราน

ฟู่เสี่ยวกวนและซูซูนั่งประชันหน้ากันเพื่อถามถึงข้อสงสัยที่ยังคงค้างคาอยู่ในใจ

“มีผู้ที่เก่งกาจอย่างมากอยู่ 1 คน”

“ในอารามซุ่ยเยว่นั้นมีกี่คนกัน ? ”

“3 คน ! ”

“เจ้าสามารถสู้กับพวกเขาได้หรือไม่ ?”

“ค่อนข้างตึงมือ”

“เวลานั้นหากข้าต้องการที่จะเข้าไป เจ้าจะห้ามข้าหรือไม่ ? ”

สองขาของซูซูแกว่งไปมา แล้วตอบว่า “ไม่”

ดวงตาของฟู่เสี่ยวกวนเบิกกว้าง “จะส่งข้าไปตายเยี่ยงนั้นรึ ? ”

ซูซูตกใจเล็กน้อย “ก็ไม่เป็นเยี่ยงนั้นเสมอไป ยังมิทันปะทะจะรู้แพ้รู้ชนะได้เยี่ยงไร ? กล่าวไปแล้ว…หากสู้มิได้จริง ๆ ข้าย่อมหนีไปได้อยู่แล้ว”

“…..”

เอาเถอะ เด็กสาวผู้นี้พึ่งพามิได้อย่างแท้จริง ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้นยืน และโบกมือ “ราตรีสวัสดิ์ ! ”

“ราตรีสวัสดิ์ ! ”

ข้าได้เอ่ยอะไรผิดไปเยี่ยงนั้นรึ ?

สองคิ้วดั่งใบหลิวของซูซูขมวดมุ่นอยู่เนิ่นนาน หลังจากนั้นก็กระตุกเลิกขึ้น รู้สึกว่าตนเองมิได้พูดอะไรผิดไป นางจึงเดินกลับห้องของตนเองไปอย่างสดชื่น

ฟู่เสี่ยวกวนกลับไปถึงห้องก็มิได้นอนแต่อย่างใด กลับเขียนจดหมายถึงไป๋ยู่เหลียน

เนื้อความในจดหมายกล่าวถึงเรื่องการฝึกของซีซานได้รับการยินยอมจากฮ่องเต้แล้ว สามารถวางใจและฝึกฝนทหารชุดนั้นต่อไปได้อย่างเต็มที่

“ข้าคาดว่าเจ้าคงได้พาทหารกองนั้นฝึกที่ภูเขาเฟิ่งหลินแล้ว จึงอยากจะเอ่ยเตือนอยู่สองเรื่อง

ประการแรก หมอทหารก็สามารถเข้าร่วมการฝึกได้ และทหารทั้งหมดที่มีอยู่ในตอนนี้ อย่างน้อยก็ต้องเตรียมหมอทหารไว้ 20 นาย และต้องเป็นจำพวกที่เข้าใจการรักษาบาดแผลภายนอกเป็นหลัก

ประการที่สอง นอกจากการฝึกฝนทางกายภาพ ศิลปะการยิงปืนก็ต้องมาเป็นอันดับแรก เจ้าต้องเชื่อว่าคนของซีซานเหล่านั้นจะสามารถปรับปรุงการใช้ดินปืนและปืนให้ดีได้ เพราะนั่นคืออาวุธหลักของพวกเขาในภายภาคหน้า

นอกจากนี้เจ้าเองก็อายุไม่น้อยแล้ว อยู่แต่ในป่าในเขาเกรงว่าจะมิเจอกับนางในดวงใจ ข้ากำลังครุ่นคิดว่าควรหาจากที่เมืองหลวงนี้ให้เจ้าสักหนึ่งคนหรือไม่ แต่มิรู้ว่าเจ้าชอบหญิงสาวลักษณะแบบไหน หากเจ้ามีเวลาว่างก็บอกข้าสักหน่อยแล้วกัน

นอกจากนี้ยามอยู่ในเมืองหลวงข้านั้นมีอิสระยิ่ง ฮ่องเต้ทรงเลื่อนขั้นให้ข้าอีกแล้ว และข้ากับต่งชูหลานรวมถึงหยูเวิ่นหวินก็ใกล้จะหมั้นหมายกันแล้ว ที่บอกเล่าเรื่องเหล่านี้ให้เจ้าฟังก็เพราะข้ารู้สึกว่าข้ายอดเยี่ยมอย่างมาก แต่เหมือนว่าเจ้าพวกสำนักเต๋าที่อยู่ที่นี่จะมองกันไม่ออก ข้าจึงรู้สึกไม่ดีที่จะพูดกับพวกเขาตรง ๆ จึงเป็นเรื่องที่กลัดกลุ้มยิ่งนักที่มิมีผู้ใดที่จะสามารถแบ่งปันเรื่องที่น่าหดหู่ในใจนี้ได้ ดังนั้นจึงมากล่าวให้เจ้าฟัง ให้เจ้าได้กลัดกลุ้มเสียหน่อย เยี่ยงนั้นข้าคงรู้สึกดีขึ้น

เอาล่ะ พรุ่งนี้ก็เทศกาลโคมไฟแล้ว ข้าคงจะต้องประพันธ์บทกวีขึ้นมาเพื่อเขย่าขวัญพวกเขาหน่อยแล้ว ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนวางพู่กันลงและครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน เขารู้สึกว่าควรจะเขียนจดหมายถึงฉินเฉิงเย่สักหนึ่งฉบับ ถามเขาเกี่ยวกับเรื่องการพัฒนาของดินปืนและปืนไฟ อีกทั้งได้กล่าวถึงข้อขัดแย้งและข้อเสนอแนะของตนอีกมากมายที่มีต่อปืนคาบศิลาอีกครั้ง ท้ายที่สุดก็กล่าวว่าหากปืนใหญ่ทำเสร็จแล้ว ก็ส่งมาให้เขาอย่างเงียบ ๆ เขาอยากจะทดลองอานุภาพของปืนใหญ่ด้วยตนเอง

ใช้ยิงถล่มจวนฮุ่ยชินอ๋อง เรื่องนี้น่าสนใจยิ่ง เพียงแต่ยามฤดูใบไม้ผลิคนผู้นั้นก็จะจากเมืองหลวงไปแล้ว มิรู้ว่าจะทันการหรือไม่

…..

…..

รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 9 เดือนหนึ่งวันที่สิบห้า เทศกาลหยวนเซียวหรือที่เรียกว่าเทศกาลโคมไฟ

ช่วงเช้าฟู่เสี่ยวกวนเก็บตัวเขียนหนังสือ แน่นอนว่าย่อมเป็น ‘หนังสือกั๋วฟู่ลุ่น’ วันนี้เขียนไปจวนจะเสร็จแล้ว แต่แน่นอนว่าเขาจะมิมีทางมอบให้เยี่ยนเป่ยซีแต่โดยเร็ว การทำงานนอกเวลาเช่นนี้เป็นเรื่องที่สบายที่สุดอย่างหาที่เปรียบมิได้

ระยะเวลาในการส่งมอบให้เยี่ยนเป่ยซียังเหลืออีก 3 วัน เขาต้องการใช้วันหยุดสามวันนี้อย่างมีความสุข เพราะคำนวณตามเวลาแล้ว พรุ่งนี้ก็เป็นวันที่สิบหกเดือนหนึ่ง บิดาของเขาก็จะมาถึงเมืองหลวงแล้ว

ยามใกล้เที่ยง เขาก็ได้เขียนหนังสือกั๋วฟู่ลุ่นจนแล้วเสร็จ จากนั้นไม่นานต่งชูหลานก็มาถึง

“ท่านแม่เรียกให้เจ้าไปทานข้าวด้วยกัน” ใบหน้าของต่งชูหลาน ตกกระทบกับแสงอาทิตย์เต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ที่ส่องสว่าง ฟู่เสี่ยวกวนเกิดความมัวเมาฉับพลัน กำลังจะยื่นมือออกไปเพื่อลูบใบหน้าของนาง ต่งชูหลานกลับกระโดดออกไปอีกทาง สองมือไขว้หลังและมองเขาอย่างขบขัน “เจ้าอย่าได้คิด ! ”

“แค่กแค่ก…” ยังไม่ทันสำเร็จ ฟู่เสี่ยวกวนจึงรู้สึกเสียใจเล็กน้อย และกล่าวยิ้ม ๆ “ยังคงเป็นท่านแม่ยายที่เอ็นดูข้า เยี่ยงนั้น ออกเดินทางกันตอนนี้เลยดีหรือไม่ ? ”

“อื้อ ! ”

ทั้งสองขึ้นรถม้า ทันทีที่ประตูถูกปิดลง ฟู่เสี่ยวกวนก็อุ้มต่งชูหลานขึ้นมาวางไว้บนตัก

“เจ้า…อย่า… !”

ต่งชูหลานราวกับแมวที่ขดตัวด้วยอารามตกใจ ใบหน้าของนางแดงขึ้นมาทันพลัน

“หึหึ เจ้ายังคิดว่าจะหนีเงื้อมมือของข้าคนนี้พ้นอีกรึ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนสามารถทำตัวรุ่มร่ามกับต่งชูหลานได้ในที่ลับตาคนเท่านั้น ดังเช่นตอนนี้ที่พวกเขากำลังนั่งอยู่ในรถม้า

บนถนนเต็มไปด้วยการจราจร เสียงผู้คนดังเซ็งแซ่ อย่างไรแล้วก็เป็นช่วงเทศกาลใหญ่ เมื่อรวมแสงแดดที่กำลังดีในวันนี้ จึงมีคนสัญจรไปมาอย่างหนาตา แต่มิมีใครรู้ว่าในรถม้าคันหนึ่งกำลังเกิดเรื่องราวที่สวยงามขึ้น

ดวงตาของต่งชูหลานเริ่มพร่ามัว นางรู้สึกกระหาย รู้สึกร้อนรุ่ม รู้สึก…ก้นบึ้งภายในใจมีปีศาจตัวน้อยโผล่ขึ้นมา

นางกัดริมฝีปากเบา ๆ ราวกับยากที่จะควบคุม นางอยากจะจับมือของฟู่เสี่ยวกวนออกไป แต่ก็รู้สึกไร้เรี่ยวแรง

นั่นมิใช่เพราะไม่มีแรง แต่เป็นเพราะนางรู้สึกชอบอย่างแท้จริง

นี่…ก็คือ…เหตุผล…ที่สวรรค์…ต้องสร้าง…ชายและหญิง

ราวกับโลกภายนอกได้ขาดหายไป ราวกับนางอยู่ในแดนแห่งสรวงสวรรค์ เหลือเพียงก้าวสุดท้ายก็จะได้แตะมัน

ฟู่เสี่ยวกวนหยุดมือ ผ่านไปหลายอึดใจ ต่งชูหลานจึงได้กลับมายังโลกมนุษย์ เสียงรบกวนจากด้านนอกดังเข้ามา นางถึงได้สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และขยับลงมานั่งข้าง ๆ ฟู่เสี่ยวกวน

“คนนิสัยไม่ดี !” ดวงตาฉ่ำน้ำของนางเหลือบจ้องฟู่เสี่ยวกวนเขม็ง กลืนน้ำลายหนึ่งอึก เลียริมฝีปากที่แดงสด ถอนหายใจออกมายาว ๆ ไม่กล้าที่จะหันไปมองฟู่เสี่ยวกวนอีก และกลับมาจัดการเสื้อผ้าของตนเองให้เรียบร้อย

“ชูหลาน”

“อือ”

“ข้ารักเจ้า ! ”

“…..”

มือของต่งชูหลานชะงักฉับพลัน เด็กสาวอายุใกล้จะสิบหกปีไหนเลยจะเคยได้ยินคำพูดที่โจ่งแจ้งเยี่ยงนี้ !

แม้จะเป็นเพียงประโยคที่มีเพียงสามคำ แต่ราวกับเป็นค้อนหนักที่ทุบหน้าอกของนาง จนบัดนี้ใจของนางดิ้นพล่านจนไม่สามารถจะควบคุมได้

ใจของนางเต้นแรงระรัว ผ่านไปเนิ่นนานจึงได้เม้มริมฝีปาก พยักหน้าเล็กน้อยจนแทบจะไม่สามารถสังเกตเห็นได้

คนผู้นี้เป็นคนช่างยั่วแหย่ นางคงจะถูกเขารังแกเยี่ยงนี้ไปทั้งชีวิต !

…..

…..

การทานข้าวมื้อนี้ของจวนต่งอิ่มหนำสำราญเป็นอย่างมาก

ฟู่เสี่ยวกวนกำลังประจบสอพลอแม่ยายและทานกันอย่างเอร็ดอร่อย ในใจของต่งซิวเต๋อรู้สึกแปลก ๆ ขึ้นมา

เขายังมิทันได้ถามว่าแท้จริงแล้วตนเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขที่แท้จริงหรือไม่ ต่งคังผิงกลับกล่าวขึ้นมาก่อน

“เรื่องของซิวจิ่นและฉินชูหยา รีบหาเวลาจัดการเสีย แม่นางชูหยารอซิวจิ่นจนเสียเวลาไปไม่น้อยแล้ว หากมิรีบไปสู่ขอ ข้ากังวลว่าฉินฮุ่ยจือจะคัดค้านเอาได้”

ฟู่เสี่ยวกวนถึงได้ทราบว่าพี่เขยใหญ่ของตนยังมิได้แต่งงาน และคาดไม่ถึงว่าคู่หมั้นหมายของเขาจะเป็นถึงบุตรีของฉินฮุ่ยจือฝ่ายการเมืองของราชสำนัก และเป็นน้องสาวของฉินโม่เหวิน

พี่เขยใหญ่ผู้นี้มิเลวเลย !

ในเวลานั้นเขาเป็นเพียงขุนนางตัวเล็ก ๆ ในกั๋วจื่อเจี้ยน คาดมิถึงว่าจะคบหากับบุตรสาวของฉินฮุ่ยจือ แต่ได้ยินชายชรากล่าวว่าบุตรีนามฉินชูหยายังคงรอเขา

แน่นอน ว่าเขามิมีสิทธิ์ในการกล่าวถึงเรื่องนี้

ฮูหยินต่งกล่าวขึ้นมาว่า “ข้าได้เตรียมไว้พร้อมแล้ว เจ้าลองดูแล้วกันว่าจะไปสู่ขอเมื่อใด ? ”

“ไปตอนบ่ายเถิด พรุ่งนี้คงวุ่นวายกันอีก เกรงว่าจะมิมีเวลาและล่าช้าออกไป”

นี่เป็นเพียงการพูดคุยระหว่างมื้ออาหารกลางวันเท่านั้น หลังจากทานอาหารกลางวันเสร็จแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนและต่งชูหลานก็ออกมาจากจวนต่ง พวกเขามิได้ไปหลานถิงจี๋ แต่กลับไปยังจวนฟู่

“นี่คือโฉนดที่ดินของตรอกชิงหลวนสองผืนนั่น”

ฟู่เสี่ยวกวนนำโฉนดที่ดินสองผืนที่ได้รับมาจากมือของนายท่านผู้เฒ่าชือออกมาจากห้อง และวางที่เบื้องหน้าของต่งชูหลาน

“ใช้เงินไปเท่าใดกัน ? ” ต่งชูหลานค่อนข้างประหลาดใจ ผืนที่สองแปลงตรงนั้นเป็นที่ที่ดียิ่ง นางคาดมิถึงเลยว่าตระกูลชือจะขายให้แก่ฟู่เสี่ยวกวน

“มิได้เสียเงิน”

“…จริงหรือ ? ” ดวงตาของต่งชูหลานเบิกกว้าง

“ข้ามิหลอกเจ้าอยู่แล้ว นายท่านผู้เฒ่าชือเป็นคนฉลาด เมื่อเทียบกับชือเฉาหยวน เขามองขาดกว่ามาก”

“เขาเห็นอะไรจากเจ้ากัน ? ตระกูลชือก็มีบุตรสาวเพียงผู้เดียว แต่คนผู้นั้นก็แต่งออกไปนานแล้ว เขาคิดอะไรกับเจ้ากัน ? ” ต่งชูหลานรู้สึกไม่เข้าใจอย่างยิ่ง

“นายท่านผู้เฒ่าชือเป็นคนที่ทำธุรกิจอย่างแท้จริง เขายอมลงทุนที่ดินสองผืนนี้กับข้า ลงเดิมพันกับอนาคตของข้า”

ต่งชูหลานครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน และเข้าใจความหมายประโยคนั้นของฟู่เสี่ยวกวนโดยคร่าว ๆ แล้ว

ฟู่เสี่ยวกวนเป็นขุนนางกูเฉินในมือของฮ่องเต้ ฮ่องเต้ตัดสินใจที่จะแก้ไขการปกครองส่วนท้องถิ่นทั้งหมด อำนาจของตระกูลชือย่อมถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้อง นายท่านผู้เฒ่าชือใช้ที่ดินสองผืนนี้ซื้อฟู่เสี่ยวกวน สิ่งที่ต้องการคือหากในยามที่ดาบของฮ่องเต้จะบั่นหัวของตระกูลชือ ฟู่เสี่ยวกวนสามารถทำให้ดาบใบนั้นแฉลบไปเล็กน้อย นั่นก็เพียงพอแล้ว

“จะเกิดปัญหาขึ้นหรือไม่ ? ”

“มิมีทางอย่างแน่นอน” ส่วนเหตุผลว่าทำไม ฟู่เสี่ยวกวนมิได้อธิบายออกไป

“เจ้าวางแผนใช้ที่ดินสองแปลงนั้นเยี่ยงไร ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนนำรูปภาพหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อและส่งให้กับต่งชูหลาน “ทำตามภาพนี้ นามของมันคือ…ศูนย์การค้าหยู๋ฝู ข้าคาดว่าคงมิมีเวลามาจัดการเรื่องนี้ ปูนซีเมนต์จากซีซานจะถูกส่งมาที่นี่ เรื่องนี้ข้าคงต้องมอบให้เจ้าจัดการแล้ว เจ้าจงจัดหาช่างจากในเมืองหลวงเตรียมไว้ด้วย”

นี่คืออาคารห้าชั้น ชั้นที่หนึ่งเปิดได้ทั้งสี่ทิศ ทั้งสี่ด้านต่างก็มีบันไดขึ้นไปบนอาคาร ทุกชั้นต่างกว้างขวางและสว่างโล่ง ส่วนตรงกลางนั้นเป็นช่องว่าง ราวกับช่องแสงบนหลังคา

เป็นรูปแบบพิเศษ ต่งชูหลานกลับเข้าใจความหมายของตึกนี้ เหมาะแก่การนำมาใช้ในการค้าขายยิ่ง เพราะสะดวก และมีขนาดที่ใหญ่เป็นอย่างมาก

“เงินชดใช้จากจวนฮุ่ยชินอ๋องเป็นทั้งหมด 200,000 ตำลึง ใช้ปรับปรุงบ้านหลังนี้ไปแล้ว 10,000 ตำลึง ส่วนที่เหลือก็เพียงพอที่จะนำมาปรับแต่งอาคารสองหลังนี้…” ต่งชูหลานมองฟู่เสี่ยวกวน และเอ่ยถาม “อาคารหลังใหญ่สองหลังนี้ ต่อให้นำสินค้าที่ซีซานของเจ้าและชุดชั้นในของที่นี่ไปวางขาย ก็ใช้พื้นที่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เจ้าเตรียมจะขายสิ่งใดเพิ่มอีกรึ ? ”

“พวกเราเลือกเพียงทำเลที่ดีที่สุดก็เพียงพอแล้ว นอกจากนั้นก็ปล่อยให้เหล่าพ่อค้าแม่ค้าเข้ามาเช่า เน้นเป็นสินค้าที่หลากหลาย ทุกชั้นจะมีกำหนดว่าให้ขายสิ่งใด อย่างเช่นชั้นหนึ่งขายเพียงเสื้อผ้า ชั้นที่สองขายเพียงเครื่องประดับสีน้ำ ความหมายก็คือเยี่ยงนี้ เจ้าทำตามก็พอแล้ว”

ต่งชูหลานจึงพินิจพิจารณาอย่างถี่ถ้วนอีกครา ครุ่นคิดว่าตึกบนที่ดินสองผืนนั้นอยู่ในทำเลที่ดี ปล่อยเช่าก็เป็นอีกวิธีที่ดีอย่างมาก ดังนั้นนางจึงนำโฉนดที่ดินสองผืนนั้นและกระดาษรูปภาพแผ่นนั้นมาเก็บไว้อย่างระมัดระวัง ใจยังจดจ่ออยู่ที่สถานที่สองแห่งนั้น คิดว่าต้องนำเรื่องนี้ไปปรึกษากับเวิ่นหวินเสียหน่อย กลับกัน ช่างของกรมอุตสาหกรรมก็มิได้มีงานอันใด หรือว่าจะให้พวกเขามาสร้างอาคารสองหลังนี้ดี

หลังจากนั้นทั้งสองก็พูดคุยกันเรื่องการค้าอีกเล็กน้อย ส่วนมากเป็นต่งชูหลานที่ถาม ฟู่เสี่ยวกวนตอบ ต่งชูหลานได้รับประโยชน์อย่างมาก รู้สึกว่าฟู่เสี่ยวกวน เหตุใดจึงได้เปลี่ยนแปลงไปเก่งกาจถึงเพียงนี้หลังจากที่ถูกคนของนางใช้ไม้ทุบตีเข้าไป

หรือว่าจะนางจะต้องเอาไม้ไปตีเขาอีกสักครา ?

ต่งชูหลานเอี่ยวตัวมองท้ายทอยของฟู่เสี่ยวกวน ทันใดนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็รู้สึกขนลุกขนพอง

ยามดวงอาทิตย์คล้อยต่ำ ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้พาต่งชูหลาน ซูโหรวและซูซูออกมาจากจวนฟู่ และตรงไปยังหอซื่อฟาง

ซูเจวี๋ยไม่ได้ไปด้วยกัน เขาต้องไปอารามซุ่ยเยว่ ความหมายของฟู่เสี่ยวกวนก็คือ เจ้าเพียงแค่ไปเมียงมองดูก็พอ