ตอนที่ 228 ค่ำคืนลมโชย (1)

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 228 ค่ำคืนลมโชย (1)

งานเทศกาลโคมไฟนี้เป็นอีกหนึ่งเทศกาลสำคัญที่บรรยากาศครึกครื้นยิ่ง

เมืองหลวงถูกประดับตกแต่งไปด้วยโคมไฟหลากสี บนถนนมีเสียงประทัดดังมามิขาดสาย อีกทั้งเสียงการแสดงของชาวบ้านที่นำมาจัดแสดง

เช่น เวทีใหญ่ที่ใช้ร้องงิ้ว

เช่น การละเล่นไม้หึ่ง

และเช่นการแสดงเชิดสิงโต

แน่นอนว่าไม่มีการเชิดมังกร เนื่องจากมังกรเป็นสัญลักษณ์ของฮ่องเต้ ในสมัยนี้หากนำสัญลักษณ์ของฮ่องเต้มากระทำเช่นนี้คาดว่าคงมิดีแน่

หากจะเอ่ยว่าในงานเทศกาลโคมไฟนี้ ที่แห่งใดครึกครื้นที่สุด คงมิใช่หอนางโลม และมิใช่หงซิ่วจาว แต่กลับเป็นหลานถิงจี๋

ในค่ำคืนนี้ ณ หลานถิงจี๋ไม่เพียงแต่มีงานกวี อีกทั้งยังมีงานเทศกาลโคมไฟอีกด้วย

ในใจของชาวเมืองหลวงทุกคนนั้นรู้สึกว่างานกวีนี้สำคัญยิ่ง แต่ทว่าการที่จะทำให้กวีของตนนั้นถูกส่งต่อไปยังชั้นสามของหอหลานถิงเกรงว่าจะยาก แต่เทศกาลโคมไฟนั้นทุก ๆ คนสามารถเข้าร่วมได้ อีกทั้งยังมีของรางวัลอีกด้วย

ฟู่เสี่ยวกวนเดินจากหอซื่อฟางมายังท่าเรือเว่ยยาง และได้พบกับฉินเหวินเจ๋อและเยาวชนคนอื่น ๆ ด้วย

หนึ่งในนั้นฟู่เสี่ยวกวนเคยพบกับเขามาก่อน เขาคือต่งซิวหวยนั่นเอง เป็นบุตรชายของท่านลุงรองของต่งชูหลาน

ฟู่เสี่ยวกวนโบกไม้โบกมือทักทายพวกเขา จากนั้นก็ได้แบ่งกลุ่มเพื่อขึ้นเรือไปยังหลานถิงจี๋

แม้ยังมีเวลาอีกมากโขกว่างานกวีหลานถิงจี๋จะเริ่มขึ้น แต่ผู้คนมากมายได้เดินทางมา ณ หลานถิงจี๋ก่อนแล้ว

เนื่องจากงานโคมไฟได้เริ่มขึ้นแล้ว

โคมไฟรูปแบบต่าง ๆ ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า บนโคมไฟเขียนตัวหนังสือไว้ช่างดูลึกลับยิ่ง

หลาย ๆ คนมองดูสิ่งนี้แล้วครุ่นคิด บางคนก็หัวเราะออกมา

ฟู่เสี่ยวกวนให้ความสนใจกับสิ่งนี้มากเช่นกัน เนื่องจากในชาติที่แล้วเขามิเคยเห็น

ซูซูก็ด้วย แน่นอนว่านางมิได้สนใจตัวอักษรบนโคมไฟ แต่นางหลงใหลในความงดงามที่หลากหลายของโคมไฟเสียมากกว่า

ต่งชูหลานดูตื่นเต้นมิน้อย นางเดินมาหยุดที่หน้าโคมไฟดวงหนึ่ง บนโคมไฟเขียนว่า “เพียงจุดและอักษรจื่อ แม่ทัพตัดรถทิ้ง”

คำใบ้นี้ช่างยากยิ่งนัก นี่คือสิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนคิดเมื่อเห็นคำใบ้ จากนั้นเขาเห็นต่งชูหลานขมวดคิ้วครุ่นคิด เนิ่นนานทีเดียว นางจึงได้ยิ้มออกมาแล้วเอ่ยว่า “ข้ารู้แล้วว่าคือตัวอะไร”

บอกตามตรงว่าฟู่เสี่ยวกวนไม่ถนัดเรื่องนี้นัก เขาจึงเอ่ยถามว่า “ตัวอักษรใดกัน ? ”

“ ‘字’ ตัวอักษรจื้อ ที่หมายถึงอักษรนั่นเอง !”

“เจ้าอธิบายให้ข้าฟังหน่อยได้หรือไม่ ? ”

“เขียนจุดลงไป จากนั้นตามด้วยตัวอักษรจื่อ ‘子’ คำว่าแม่ทัพ ‘军’ ตัดรถ ’车’ ทิ้งไป ก็รวมกันเป็น字พอดีมิใช่หรือ ?”

ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ บรรดาผู้คนรอบข้างต่างพากันชื่นชม ต่งชูหลานหยิบโคมไฟนี้ไปยังหอหลานถิง เมื่อนางเดินกลับมาพบว่าในมือมีของรางวัลมาด้วย

ผู้คนรอบข้างจึงเกิดความสนใจกันขึ้นมา พวกเขาพยายามมองหาคำใบ้ที่อาจจะเดาออก และมีหลาย ๆ คนได้รับของรางวัล

ฟู่เสี่ยวกวนไม่ได้ร่วมด้วย เขามองไปยังต่งซิวหวย จนทำให้ต่งซิวหวยรู้สึกประหม่า เนื่องจากเขาเป็นสมาชิกของสมาคมกวีหลานถิงด้วย

“ท่านพ่อหมายความว่า…ให้ข้าดูว่าข้าจะสามารถติดตามเจ้าไปยังราชวงศ์อู่เพื่อเข้าร่วมงานเทศกาลฤดูหนาวในครั้งนี้ได้หรือไม่ ดังนั้นท่านพ่อจึงตั้งใจเชิญเจ้าและพี่ชูหลานไปรับประทานอาหารที่จวน…”

ต่งซิวหวยค่อนข้างอ้อมค้อม เขามิรู้จะเอ่ยมันออกมาอย่างไร เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมองดูฟู่เสี่ยวกวนก็เอ่ยอีกประโยคที่ว่า “แน่นอนว่าหากเจ้ามีผู้อื่นคัดเลือกไว้แล้ว หรือไม่สะดวก ข้าไม่จำเป็นต้องเดินทางไปก็ได้”

ฟู่เสี่ยวกวนตบบ่าต่งซิวหวยเบา ๆ เขายิ้มแล้วเอ่ยว่า “คนตั้งหนึ่งร้อยคน จะเลือกคนในครอบครัวไปสักคนมิได้เชียวหรือ”

“เช่นนี้หมายความว่า เจ้าเห็นด้วยกับการให้ข้าเดินทางไปด้วยงั้นรึ ? ” ต่งชิวหวยเอ่ยถามด้วยความดีใจ

ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า “เจ้าอย่าได้ตะโกนเสียงดังไป เรื่องนี้ข้าจะจำใส่ใจไว้ เมื่อถึงเวลาข้าเพียงเขียนชื่อเจ้าก็เพียงพอแล้วมิใช่รึ”

ต่งซิวหวยจึงได้ถอนหายใจออกมา จากนั้นทำความคารวะฟู่เสี่ยวกวนด้วยใบหน้าอันยิ้มแย้ม

เขาเคยคิดมาก่อนว่าตนและฟู่เสี่ยวกวนนั้นมิได้คุ้นเคยกันเท่าใดนัก อีกทั้งความสามารถของตนก็มิได้โดดเด่น ฟู่เสี่ยวกวนจะเห็นเขาในสายตาได้เยี่ยงไร

แต่ในค่ำคืนนี้เมื่อเขารวบรวมความกล้าเอ่ยออกมา คาดมิถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะตอบตกลงโดยไม่แม้แต่จะครุ่นคิด

พี่เขยคนนี้ ช่างดีจริง !

“พวกเจ้าคุยสิ่งใดกันอยู่รึ ? ” ฉินเหวินเจ๋อเดินเข้ามา ในมือเขามีตุ๊กตารูปลิง

“กำลังคุยเรื่องคำใบ้พวกนี้นะสิ” ฟู่เสี่ยวกวนชี้ไปทางโคมไฟ “เหวินเจ๋อ เจ้าว่านี่คือคำใด ? ”

เมื่อเหวินเจ๋อได้ยินดังนั้น ก็คิดว่าฟู่เสี่ยวกวนตั้งใจจะทดสอบตนงั้นหรือ ?

เขารีบเก็บสีหน้าท่าทาง แล้วตั้งใจมองไปยังโคมไฟนี้พลางทำท่าครุ่นคิด

น่าสงสารยิ่งนัก ฟู่เสี่ยวกวนเพียงแค่เอ่ยออกไปเท่านั้นเอง คิดไม่ถึงว่าฉินเหวินเจ๋อจะจริงจังถึงเพียงนี้

ฟู่เสี่ยวกวนยักไหล่ จากนั้นมองหาซูซูกับต่งชูหลาน ทั้งสองหายไปเสียแล้ว ข้างกายเขามีเพียงซูโหรว

บัดนี้ซูโหรวมิได้กำลังปักผ้า แต่นางมองดูคำใบ้เหล่านี้อย่างสนใจ ดวงตาเรียวเล็กคู่นั้นคล้ายกับเบิกกว้างกว่าเดิม

ช่างกวนเหมี่ยวเดินมาข้าง ๆ ฟู่เสี่ยวกวนแล้วทักทายว่า “คุณชายฟู่ได้รางวัลมากเพียงใดแล้ว ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนโบกมือแล้วกล่าวว่า “เดามิออกแม้แต่ตัวเดียว”

“เหอะ ๆ ! ”

ช่างกวนเหมี่ยวรู้สึกว่าคำพูดของฟู่เสี่ยวกวนนี้ไม่ตลกเอาเสียจริง

หากเขายังเดาไม่ออก แล้วผู้ใดเล่าจะเดาออก ?

เขายังคงถ่อมตนเสมอ เขาเลือกที่จะไม่เข้าไปแย่งโคมไฟกับเยาวชนเหล่านี้ นี่คือการให้อย่างแท้จริง เขาช่างเป็นผู้นำไปเสียทุกด้านจริง ๆ !

“การที่เจ้าไม่เข้าร่วมก็เป็นการดี จะได้ให้โอกาสผู้อื่นด้วย อ้อ แต่ประเดี๋ยวงานกวีเจ้าอย่าได้ถ่อมตนไป…” ช่างกวนเหมี่ยวเดินเข้ามากระซิบใกล้หูฟู่เสี่ยวกวนว่า “ข้าจะบอกให้เจ้ารู้ล่วงหน้า ได้ยินท่านปู่เอ่ยว่าบทความเยาวชนราชวงศ์หยูกล่าวของเจ้านั้นน่าจะได้รับพิจารณาในค่ำคืนนี้ ท่านปู่คิดเห็นว่าผลงานของเจ้านั้นน่าจะผ่าน อีกทั้งได้จารึกบนหินเชียนเปยสือ ส่วนจะอยู่ในบรรทัดใดนั้น ท่านปู่คาดว่าจะได้จารึกในบรรทัดที่หนึ่ง สุดท้ายผลจะเป็นเช่นไร คงต้องรอดูอาจารย์อีก 4 ท่าน”

ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกประหลาดใจ เรื่องหินเชียนเปยสือนั้นไม่แปลก แต่ทว่าค่ำคืนนี้คือเทศกาลโคมไฟ เหตุใดจึงนำบทความนั้นมามีส่วนเกี่ยวข้องกัน ?

แต่เขาก็มิได้ซักถามให้มากความ เพียงยิ้มแล้วเอ่ยว่า “บทความนั้นหากได้เผยแพร่ไปสู่ลูกหลาน จะทำให้มันมีค่ายิ่ง”

ช่างกวนเหมี่ยวในฐานะผู้มีความรู้ทั้งด้านวรรณกรรมและการต่อสู้ก็เห็นด้วยเช่นกัน

บทความนั้นมีพลังยิ่ง หากสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้แก่เยาวชนราชวงศ์หยูให้ตระหนักในหน้าที่ตนเองได้ พวกเขาจะเป็นแรงขับเคลื่อนของประเทศ ความรุ่งโรจน์ของราชวงศ์หยูจะอยู่มิไกลเกินเอื้อม !

บัดนี้เอง ซูซูก็ได้กระโดดโลดเต้นมายังข้างกายฟู่เสี่ยวกวน ในมือของนางถือถังหูลู่ไว้ในมือ 2 ไม้

ซ้ายคำหนึ่ง ขวาคำหนึ่ง นางดูมีความสุขยิ่ง บนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มอันสดใส รู้สึกว่าสถานที่นี้ทำให้นางพบกับความสุขที่แท้จริงของชีวิต

……

ท้องฟ้ามืดลงเรื่อย ๆ เมืองจินหลิงถูกโคมไฟหลากสีประดับประดาเป็นแสงงดงามจนสว่างคล้ายกับกลางวัน

ณ ศาลจินหลิง หนิงหยู่ชุนนำมือกุมขมับ นี่เป็นเรื่องที่สิบสองแล้วสินะ !

“จงให้ทหารส่งกำลังคนไปให้ทั่ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลานถิงจี๋ หยี่ฮวาถาย ตรอกชิงหลวนและท่าเรือฉินหวาย ที่ใดมีผู้คนมากจงระวังเป็นพิเศษ เมื่อพบผู้ใดกระทำผิดให้รีบกุมตัวทันที ดื่มสุราทะเลาะวิวาทก็กุมตัวทันที นอกจากนี้จงระมัดระวังไฟไหม้ โคมไฟมากมายเพียงนี้ หากเกิดเหตุการณ์มิคาดฝันขึ้นคงจะไม่ดีเป็นแน่… !”

และในเวลาเดียวกัน ท่ามกลางเมืองจินหลิที่ครึกครื้นที่สุดได้ปรากฏขอทานขึ้นกลุ่มหนึ่ง

พวกเขามิได้เป็นที่สังเกตของผู้คน เนื่องจากเดิมทีที่เมืองจินหลิงก็มีขอทานอยู่ไม่น้อย

ขอทานเหล่านี้มิได้แตกต่างจากขอทานคนอื่น ๆ พวกเขานั่งคุดคู้อยู่ในมุมตรงกำแพง สีหน้าเย็นเยือกมองไปยังความสว่างไสวและรื่นเริง แต่ทว่าทันใดนั้นพวกเขาก็ลุกขึ้นยืน บ้างปีนขึ้นไปบนกำแพง บางคนปีนขึ้นต้นไม้

จากนั้น…

มีกระดาษมากมายร่วงลงมาจากท้องฟ้า คล้ายกับใบไม้ร่วงหล่นในฤดูใบไม้ร่วง

กระดาษเหล่านั้นตกลงบนศีรษะของผู้คนมากมาย เมื่อพวกเขาหยิบขึ้นมาดู จากนั้นมองไปพบว่าขอทานเหล่านั้นได้หายตัวไปแล้ว

พวกเขาอ่านมันออกมา จากนั้นพากันส่งเสียงฮือฮาด้วยความไม่น่าเชื่อ แต่สุดท้ายพวกเขาก็แน่ใจว่าสิ่งที่เขียนอยู่บนกระดาษนั้นคือเรื่องจริง !

“นักโทษอันดับหนึ่งของประเทศ เฟ่ยอัน ! ”

หัวข้อง่ายดายชัดเจน แต่ทว่าดึงดูดความสนใจจากผู้คนไม่น้อย

“รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 2 ทหารใต้รบกับทหารราชวงศ์อู่ ณ ภูเขาฉีซาน แพ้ราบคาบ ! ”

นายพลเฟ่ยอัน แม่ทัพทหารใต้ในเวลานั้น บังคับให้รองนายพลหลินผิงเข้าฆ่าฟันชาวบ้านที่ภูเขาฉีซานกว่าแปดร้อยคน ! ตัดศีรษะของพวกเขาจากนั้นนำเข้าสู่เมืองหลวงเพื่อรับรางวัล !

การกระทำของเฟ่ยอันสื่อให้เห็นว่าเขามิได้เกรงกลัวกฎหมาย เลือดสีแดงสดของชาวบ้านทั้งแปดร้อยคนนั้นแปดเปื้อนไปบนชุดของเขา !

จากนั้น ข้าได้รอดชีวิตจากการฆ่าฟันในครานั้นมาได้โดยมิมีผู้ใดรู้ ข้าเดินทางมายังเมืองหลวงเพื่อป่าวประกาศการกระทำชั่วของนักโทษผู้นี้ !

เลือดของพี่น้องทั้งแปดร้อยคนได้แห้งเหือดไป พวกเขาถูกฝังไว้ที่ใดมิมีใครรู้ แต่ทว่าฟ้ายังมีตา ! ความยุติธรรมมิมีวันจางหาย ! วิญญาณของทั้งแปดร้อยคนนั้นมิเคยจากที่แห่งนั้นไป

พวกเขาเคียดแค้น !

เนื่องจากนักโทษผู้นี้มิเพียงแต่รอดชีวิตได้ ทั้งยังอยู่ดีมีสุขปลูกข้าวทำนาอยู่ที่หนานหลิง !

ข้าขอเอ่ยถามขุนนางแห่งราชวงศ์หยูว่า กฎหมายคือสิ่งใด ?

ข้าอยากขอเอ่ยถามประชากรของราชวงศ์หยูว่า พวกเราควรคืนเลือดเนื้อแก่พวกเขาหรือไม่ !

ข้าอยากถามเฟ่ยอันว่า การกระทำอันโหดเหี้ยมของเจ้าเช่นนี้ เจ้ามิเกรงกลัวฟ้าดินงั้นหรือ !

เพื่อความยุติธรรมและสงบสุขแห่งราชวงศ์หยู เพื่อวิญญาณที่คร่ำครวญทั้งแปดร้อยนั้น เพื่อพี่น้องใต้หล้าจะมิถูกเจ้าคนชั่วนั่นรังแก เพื่อให้ราชวงศ์หยูได้รุ่งเรืองต่อไป ข้าขอเสนอว่า ให้ทุกคนที่ได้รับบทความนี้ จงไปร้องทุกข์ ณ ศาลจินหลิง เพื่อพี่น้องที่ตายไปโดยมิมีความผิดของเราทั้งหลาย ให้นักโทษเฟ่ยอันได้ชดใช้ด้วยศีรษะของเขา สังเวยแก่พี่น้องที่จากไปทั้งหลาย ! ”

“เป็นเช่นนี้ไปได้เยี่ยงไร ? ”

“มิเช่นนั้นนักโทษเฟ่ยอันจะออกจากตำแหน่งนายพลทหารใต้แล้วกลับสู่บ้านเกิดด้วยเหตุใด ? ”

“หนีกลับไปบ้านเกิดแล้วจะมีประโยชน์อันใด ? ”

“ใช่ๆๆ ไปเถอะพวกเรา ไปร้องทุกข์ที่ศาลจินหลิงกัน ! ”

“ประหารเฟ่ยอัน ! ”

“เพื่อความยุติธรรมและสันติสุข ! ”

“……”

ผู้คนมากมายพากันต่อแถวยาวราวหางมังกร เสียงดังสนั่นหวั่นไหวราวกับท้องฟ้าจะถล่ม !

จิงหยูเว่ย จินเชียนฮู่ตกตะลึงกับสิ่งที่เห็น เขาให้ลูกน้องนำกระดาษนี้ส่งไปยังศาลอย่างรวดเร็ว

จากนั้นพยายามเข้าไปยุติการกระทำของของฝูงชนในเขตเมือง แต่ทว่าผู้คนมากมายเหลือเกิน เขามิอาจเข้าถึงได้ เขามิกล้าคว้าดาบออกมาและไม่มีพื้นที่เพียงพอด้วยซ้ำ

เขากระโดดข้ามไปแล้วมองยังผู้คนมากมายนี้ พยายามมองหาผู้ต้องสงสัย และในที่สุดเขาก็มองเห็นขอทานคนหนึ่งกำลังจากไป

เขารีบกระโดดลอยตัวไป ดาบตกลงที่คอของขอทานผู้นั้น

“ยอมรับมาเสีย นี่คือแผนการของผู้ใด ? ”

ขอทานผู้นั้นหันมายิ้มแล้วมองไปยังเชียนจิฮู่ “ดูจากการแต่งกายของท่านแล้ว น่าจะเป็นตัวแทนแห่งความยุติธรรม เหตุใดมิไปจับกุมตัวผู้กระทำผิด กลับมาเสียเวลาจับกุมข้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าการเสียสละตนเพื่อความยุติธรรมคือสิ่งใด ?”

เมื่อเขากล่าวจบก็ยื่นมือไปจับมีดที่จ่ออยู่ตรงคอเขา จากนั้นปาดไปที่คอของตน เลือดสด ๆ ทะลักออกมามากมาย

เขายังคงยิ้ม สายตามองไปยังโคมไฟที่คล้ายกับดอกไม้เบ่งบาน ช่างงดงามพาให้ผู้คนหลงใหล

“ความยุติธรรม…มิมีวันสาย !”

เขาล้มลงสู้พื้น แต่ทว่าใบหน้ายังคงยิ้มรื่น !