บทที่ 335 ทัศนคติที่เปลี่ยนอย่างกะทันหัน

ท่านเทพกลับมาเป็นคุณพ่อ[神尊归来当奶爸]

บทที่ 335 ทัศนคติที่เปลี่ยนอย่างกะทันหัน
บทที่ 335 ทัศนคติที่เปลี่ยนอย่างกะทันหัน

“โอ้! อรุณสวัสดิ์ครับรองประธานหลี่! ไม่มีอะไรหรอกครับ แค่ทั้งสองนี้ต้องการพบท่านประธานอวี้จของเรา แต่พวกเขาไม่มีการนัดหมายล่วงหน้าหรือใบรับรองใด ๆ เลย”

เมื่อรปภ. เห็นว่าเป็นหลี่จิงเทียนที่เอ่ยทัก เขาก็แสดงความเคารพในทันที

หลี่จิงเทียนหรี่ตาเมื่อได้ยินคำพูดนี้ และพบว่าเขาไม่รู้จักสองคนนี้เลย

“อยากเจอพี่เขยของฉันงั้นเหรอ? ฮ่าฮ่า ล้อเล่นรึเปล่า คนธรรมดาจะเข้าพบพี่เขยของฉันง่าย ๆ ได้ยังไง?”

เขาแสดงสีหน้าดูหมิ่นและคิดว่าสองคนนี้น่าจะมาที่นี่เพื่อสร้างปัญหา

อันที่จริง เขาลืมไปเลยว่าเขาเคยเจอสวีรุ่ย และเคยพยายามจะรังแกเธอมาก่อน แต่เนื่องจากมันนานมากแล้วและหลังจากนั้นก็มีเรื่องแย่ ๆ เกิดขึ้นกับเขามากมายจนเขาลืมเหตุการณ์เล็ก ๆ นั้นไปซะสนิท

อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นฉากนี้สวีเซี่ยงจวินก็รีบเดินเข้ามาหา

“คุณ…คุณเป็นรองประธานหลี่งั้นเหรอครับ? คือว่าเมื่อวานท่านประธานอวี้บอกกับพวกเราว่าให้เรามาพบเขาที่นี่วันนี้ คุณช่วยแจ้งท่านประธานให้พวกเราหน่อยจะได้ไหม?”

เมื่อเผชิญหน้ากับหลี่จิงเทียนที่แสดงสีหน้าหยิ่งผยอง ท่าทางของสวีเซี่ยงจวินก็ยิ่งนอบน้อมมากขึ้น

แต่ใครคือหลี่จิงเทียน?

“ฮ่าฮ่า แกนี่ตลกจริง ๆ! แกต้องการพบกับพี่เขยของฉันงั้นเหรอ? นี่แกฝันอยู่รึไง?”

เขามองสวีเซี่ยงจวินตั้งแต่หัวจรดเท้า คำพูดของเขาเต็มไปด้วยความรังเกียจ

“แกโชคดีมากเลยนะที่เช้านี้ฉันอารมณ์ดีมาก ไม่งั้นล่ะก็ฉันคงออกจากรถไปตบหน้าของแกแล้ว แกนี่ไม่รู้จักเจียมตัวซะเลย!”

“แต่…แต่ประธานอวี้บอกให้ผมมาจริง ๆ…”

สวีเซี่ยงจวิน ตกใจกับคำพูดของอีกฝ่ายและลังเล

“พ่อคะ พ่อไม่ต้องพูดอะไรแล้วเดี๋ยวหนูขอโทรหาเขาก่อนดีกว่า เมื่อวานเขาบอกว่าให้เราโทรหาเมื่อเรามาถึงบริษัท!”

สวีรุ่ยก้าวออกมาขวางไว้และหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเตรียมโทรออก

“โอ้! ใช่! ใช่! เรายังไม่ได้โทรเลย!”

สวีเซี่ยงจวินพยักหน้ารัวและพูดขึ้นด้วยความดีใจราวกับว่าเขาเพิ่งหาทางออกจากเขาวงกตที่น่ากลัวได้

“โทรหางั้นเหรอ? เหอะ คนอย่างพวกแกไม่มีทางมีเบอร์โทรของพี่เขยฉันหรอก!”

หลี่จิงเทียนรู้สึกสับสนเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดนี้ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขาจึงบังเกิดความรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยในใจ

การโทรเชื่อมต่ออย่างรวดเร็ว

“ฮัลโหล คือ…คือว่าเรามาถึงแล้ว”

“หืม? มาแต่เช้าเลยงั้นเหรอ? ทำไมคุณถึงไม่โทรหาผมล่วงหน้าก่อน ตอนนี้ผมยังไปไม่ถึงบริษัทเลย”

“ค…คือฉันลืมไป แต่ตอนนี้เราเข้าไปไม่ได้ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกักตัวเราเอาไว้…”

สวีรุ่ยบอกอย่างช่วยไม่ได้ ถ้าไม่จำเป็น เธอก็ไม่อยากรบกวนอีกฝ่ายจริงๆ ทว่าในเดียวกันนี้ หลี่จิงเทียนกลับขนลุกไปทั่วทั้งตัวเมื่อได้ยินเสียงที่ลอดออกมาจากโทรศัพท์ของสวีรุ่ย

“น…นั่นมันเสียง…เสียงของพี่เขยของฉันจริง ๆ!”

เมื่ออวี้ฮ่าวหรานได้ยินเสียงของหลี่จิงเทียนลอดมาทางโทรศัพท์ ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมในทันที!

“คุณยื่นโทรศัพท์ของคุณให้ไอ้โง่ที่อยู่ไม่ไกลจากคุณที!”

หลี่จิงเทียนเป็นคนที่มีนิสัยชอบรังแกคนอื่นและมองคนธรรมดาทั่วไปต่ำกว่าตัวเองเสมอมา ดังนั้นอวี้ฮ่าวหรานจึงคาดเดาสถานการณ์ปัจจุบันที่กำลังเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดายจากน้ำเสียงที่ดูตื่นตระหนกของหลี่จิงเทียน

สวีรุ่ยตกตะลึงในทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของอวี้ฮ่าวหราน และเธอก็เดาได้ว่า ‘ไอ้โง่’ ที่อวี้ฮ่าวหรานหมายถึงนั้นคือใคร

“เอ่อ…รองประธานหลี่ พี่เขยของคุณขอให้คุณคุยกับเขา”

เธอยื่นโทรศัพท์ให้อีกฝ่ายด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน อันที่จริงเธอจำได้ว่าหลี่จิงเทียนเป็นคนที่เคยพยายามรังแกเธอมาก่อน

ทางด้านของหลี่จิงเทียน เมื่อเขามั่นใจแล้วว่าคู่พ่อลูกนี้รู้จักกับพี่เขยของเขา สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมืออย่างรวดเร็ว เขาจึงไม่หลงเหลือความหยิ่งผยองอีกต่อไป

“พ…พี่เขย…อรุณสวัสดิ์พี่เขย”

“หลี่จิงเทียน!”

เสียงตะคอกจากปลายสายดังขึ้นอย่างชัดเจนจนทำให้มือของหลี่จิงเทียนสั่นริก ๆ จนแทบจะจับโทรศัพท์ไม่อยู่…

“พ…พี่เขย…พี่อย่าเพิ่งโกรธผมสิ…”

เมื่อหลี่จิงเทียนได้ยินเสียงที่ดูไม่พอใจอย่างรุนแรงของอีกฝ่าย ใบหน้าของเขาก็ขมขื่น!

“แกยังมีหน้ามาบอกให้ฉันไม่โกรธอีกงั้นเหรอ! สองคนนั้นเป็นเพื่อนของฉัน เมื่อกี้แกทำตัวหยาบคายอีกแล้วใช่ไหม!”

แทบจะไม่ต้องเดาเลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง อวี้ฮ่าวหรานรู้ดีว่าสันดานของ หลี่จิงเทียนเป็นอย่างไร

เขาไม่ต้องการให้สวีรุ่ยไม่สบายใจด้วยเหตุนี้ แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะโทษตัวเองส่วนหนึ่งกับเหตุการณ์นี้ที่เกิดขึ้น

ระบบความปลอดภัยของเครือฮ่าวหรานถูกปรับปรุงให้เข้มงวดมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าหลังจากเหตุการณ์ลักพาตัวผู้บริหารที่ผ่านมา ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่คนนอกจะเข้าไปในบริษัทได้โดยไม่มีใบรับรองหรือการนัดหมายล่วงหน้า

เมื่อวานมันฉุกละหุกเกินไปหน่อยจนเขาลืมแจ้งเรื่องนี้กับฝ่ายรักษาความปลอดภัยของบริษัทตัวเอง

“ผม…ผมผิดไปแล้ว…พี่เขย…”

หลี่จิงเทียนมีสีหน้าขมขื่นเมื่อเขาโดนตะคอกด่า และเขาก็ไม่กล้าโต้เถียงเลย ดังนั้นเขาจึงรีบขอโทษ

รปภ. ที่ดูฉากนี้ถึงกับอึ้ง แน่นอนว่า ประธานอวี้คงเป็นคนเดียวที่สามารถทำให้รองประธานหลี่ที่แสนจะหยาบคายหงอถึงขนาดนี้ได้

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังคู่ของพ่อและลูกสาวที่แต่งตัวธรรมดาด้วยความตกใจ เขาลอบถอนหายใจอยู่หลายครั้ง โชคดีที่เขาระมัดระวังพอไม่ล่วงเกินอีกฝ่ายไปก่อนหน้านี้…

ไม่เช่นนั้น ตอนนี้เขาอาจจะถูกเลิกจ้างก็เป็นได้

“แกฟังฉันให้ดี ๆ นะ อีกเดี๋ยวฉันจะไปถึงบริษัท ดังนั้นในระหว่างนี้แกต้องต้อนรับเพื่อนของฉันทั้งสองให้ดี ๆ ดูแลพวกเขาให้ดีที่สุดเท่าที่แกจะทำได้เข้าใจไหม!”

“ครับ ครับพี่เขย! ผมสัญญาว่าจะดูแลพวกเขาเป็นอย่างดี!”

หลังจากได้รับคำสั่งจากปลายสายของโทรศัพท์แล้ว หลี่จิงเทียนก็ตอบตกลงอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งอีกฝ่ายวางสาย เขาจึงตระหนักได้ว่าหน้าผากของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อจำนวนมาก

พี่เขยของเขาน่ากลัวเกินไปแล้ว!

“เอ่อ…ตอนนี้เราเข้าไปได้แล้วใช่ไหม?”

เมื่อเห็นหลี่จิงเทียนกำลังหน้าซีด สวีรุ่ยก็ถามขึ้นอย่างไม่แน่ใจ

จากนั้นหลี่จิงเทียนก็ตอบสนองและเขาก็รีบเปิดประตูลงจากรถและรีบเดินเข้ามาประจบประแจงคู่พ่อลูกอย่างนอบน้อม

“น…แน่นอนเลย! อีกเดี๋ยวพี่เขยของผมจะมาถึง เพราะงั้นในระหว่างนี้เดี๋ยวผมจะดูแลพวกคุณเอง มาเถอะ ๆ ทำตัวตามตามสบายเหมือนที่นี่เป็นบ้านของพวกคุณเองได้เลย!”

ทัศนคติของเขาเปลี่ยนไปแบบ 180 องศาทันที ราวกับว่าเขาได้เห็นญาติที่เขาไม่ได้พบหน้ากันมานาน

“มาเถอะ! มาขึ้นรถของผมได้เลย! หน้าประตูนี้มันอยู่ห่างจากตึกสำนักงานพอสมควร เดินเข้าไปไม่ไหวหรอกเหนื่อยแย่เลย มา ๆ เดี๋ยวผมขับรถพาพวกคุณเข้าไปเอง!”

เมื่อพูดจบ เขาก็รีบเปิดประตูรถให้คนทั้งสองอย่างรวดเร็วและชักชวนให้ขึ้นรถ

รปภ. ที่เห็นเหตุการณ์รู้สึกละอายใจมาก ๆ

ดูจากความเร็วที่พวกคนชั้นสูงสามารถเปลี่ยนสีหน้าได้เร็วขนาดนี้ มันไม่แปลกเลยที่คนอย่างเขาจะเป็นได้แค่รปภ. ไปตลอดชีวิต

สวีเซี่ยงจวิน ยังคงมึนงงและกว่าที่เขาจะตอบสนองได้ก็คือตอนที่เขาถูกอีกฝ่ายลากเข้าไปนั่งในรถ BMW แล้ว

ทั้งสองขึ้นรถ และคราวนี้ไม่มีรปภ. คนไหนกล้าหยุดพวกเขาอีกต่อไป

“โธ่ เมื่อกี้พวกคุณก็ไม่ยอมบอกก่อนว่าพวกคุณเป็นเพื่อนของพี่เขยของผม เอาล่ะ เดี๋ยวในระหว่างตอนที่พี่เขยของผมยังไม่มา พวกคุณเข้าไปนั่งรอในออฟฟิศของผมก่อน ข้างในออฟฟิศของผมสะดวกสบายที่สุดในบริษัทแล้ว!”

หลี่จิงเทียนพยายามเอาอกเอาใจจนสวีรุ่ยและพ่อของเธอเริ่มรู้สึกอึดอัด

แน่นอนว่าสาเหตุที่หลี่จิงเทียนยอมลงทุนทำถึงขนาดนี้เป็นเพราะเขากลัวพี่เขยของเขา

“อืม…จริง ๆ แล้ว คุณไม่จำเป็นต้องสุภาพขนาดนี้ก็ได้”

สวีรุ่ยชักจะทนไม่ไหว เธอไม่คุ้นชินกับการได้รับการปฏิบัติแบบนี้

“โธ่ ๆ ไม่ต้องเกรงใจไปหรอก! ทั้งหมดนี้เป็นทรัพย์สินของพี่เขยผมทั้งหมด และคุณก็เป็นเพื่อนกับเขา ดังนั้นคุณสามารถทำตัวตามสบายเหมือนอยู่บ้านของตัวเองได้เลย!”

หลี่จิงเทียนยิ้มร่าและค่อย ๆ ขับรถเข้าไปในลานจอดรถ

จากนั้นเขาก็พาคู่พ่อลูกขึ้นไปที่ออฟฟิศของเขาเอง

สวีรุ่ยตกตะลึงเมื่อเห็นออฟฟิศส่วนตัวของอีกฝ่าย

“นี่…นี่มันห้องทำงานของคุณเหรอ รองประธานหลี่? นี่มันใช่ห้องทำงานจริง ๆ งั้นเหรอ…”

เธอไม่รู้จะอธิบายยังไง นี่มันออฟฟิศแบบไหนกัน?

โต๊ะพูล โปรเจคเตอร์ กอล์ฟในร่ม…

เธอเห็นเครื่องเล่นเกมอีกหลายเครื่องตรงมุมห้องด้วย!

ที่นี่มีวิธีความบันเทิงขั้นพื้นฐานทั้งหมด!

“เป็นไงล่ะ สุดยอดเลยใช่ม้า? กว่าที่ผมจะแต่งห้องได้ขนาดนี้เล่นเอาเหนื่อยแทบแย่แน่ะ! เอาล่ะ ไม่ต้องเกรงใจเลยนะ อยากเล่นอะไรพวกคุณเล่นได้เลย ทำตัวเหมือนอยู่บ้านของตัวเองได้เลย!”

หลี่จิงเทียนกล่าวอย่างภาคภูมิใจ เนื่องจากเขาไม่ได้มีหน้าที่ต้องทำอะไรในบริษัทอยู่แล้วและพี่เขยรวมไปถึงพ่อของเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร ดังนั้นเขาจึงไม่คิดว่าการที่เขาแต่งห้องแบบนี้มันผิดตรงไหน

แต่แน่นอนว่า สวีรุ่ยกับพ่อของเธอไม่กล้าทำตัวตามสบายเล่นเครื่องเล่นต่าง ๆ ในห้องนี้ตามที่หลี่จิงเทียนอนุญาต พวกเขาทั้งคู่จึงเอาแต่นั่งรอที่โซฟาอย่างเงียบ ๆ

พวกเขารู้สึกทึ่งกับขนาดของบริษัทนี้ และในทางกลับกัน พวกเขาก็พูดไม่ออกเกี่ยวกับลักษณะนิสัยของหลี่จิงเทียนที่ย่ำแย่เมื่อเจอคนที่ดูต่ำกว่า และสามารถเปลี่ยนบุคลิกได้อย่างทันควันเมื่อพบว่าพวกเขาเป็นคนรู้จักของอวี้ฮ่าวหราน