บทที่ 349: การเปิดตัวยุทโธปกรณ์ชิ้นแรก (1)
18.00 น.
ภายในห้องนั่งเล่นชั่วคราวที่ไม่ได้หรูหรามากนัก หลิวอวี้ได้เปลี่ยนไปใส่เสื้อคลุมที่ปักเป็นลายมังกรพุ่งทะยานอย่างยิ่งใหญ่สามตัว
เขาถือพัดด้ามจิ้วในมือและพัดให้ตัวเองเบาๆ ด้านหลังของเขามีวิญญาณสามตนที่ดูเหมือนกับขันทียืนอยู่ เขาใจเย็นลงแล้ว เพราะไม่ว่าอย่างไรเขาก็ได้เห็นส่วนแบ่งที่ยุติธรรมของตัวเองในการประชุมราชสำนักเมื่อช่วงบ่ายแล้ว และฉินเย่ก็เป็นคนพูดอีกว่าสิ่งที่จะตามมาหลังจากนี้เป็นเพียงการแสดงน้ำใจจากเจ้าภาพ
อีกความหมายหนึ่งก็คือหลังจากนี้จะเป็นค่ำคืนแห่งความบันเทิง และมันก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องเป็นกังวลเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้
ชากัน เองก็เปลี่ยนไปใส่เสื้อคลุมสีแดงเข้มซึ่งเป็นเครื่องแต่งกายของข้าราชการระดับสูงของมองโกลแล้วเช่นกัน ทันทีที่เห็นหลิวอวี้ เขาก็เอ่ยออกมาอย่างเย็นชา “ห้องนั่งเล่นพวกนี้แย่ยิ่งกว่าห้องที่ข้ามอบให้นางสนมหางแถวเสียอีก นี่เขากล้าดูถูกเราด้วยสิ่งที่ย่ำแย่เช่นนี้ได้อย่างไร?!”
หลิวอวี้ที่ได้ยินเช่นนั้นเพียงตอบกลับเสียเรียบ “เจ้ากำลังจะเปรียบเทียบโลกใต้พิภพที่เพิ่งถูกก่อตั้งขึ้นเพียงปีเดียวกับกระโจมทองคำของเจ้าจริงๆน่ะหรือ? เก็บแรงไว้สำหรับการเจรจาที่จะมาถึงดีกว่า”
เมื่อมองไปยังนาฬิกาขนาดใหญ่ที่แขวนอยู่ใกล้กับจุดสูงสุดของประตูนรก ตอนนี้เป็นเวลาหกโมงตรง ไม่รู้ว่าจ้าวนรกองค์ใหม่ได้เตรียมสิ่งใดไว้ให้ตนเนื่องจากไม่สามารถคาดเดาอะไรได้เลย แต่เขาก็เห็นว่ากำหนดการทั้งหมดนั้นเรียบง่ายมาก ดังนั้นมันจะสามารถเกิดการณ์พลิกผันอะไรขึ้นได้?
เต้ง เต้ง เต้ง… วินาทีนั้น เสียงนาฬิกาตีบอกเวลาหกโมงเย็น ราชทูตทั้ง 12 ยกเว้นจิวยี่ต่างมารวมตัวกันที่ด้านหน้าของหอประชุม และมันก็เป็นเวลาเดียวกันที่บนท้องฟ้าถูกประดับประดาด้วยการแสดงพลุที่สวยงาม
ภาพการแสดงที่ตื่นตาตื่นใจคือสิ่งที่หมิงชีหยินสร้างขึ้นจากพลังหยินของตน ในวินาทีนั้น ท้องฟ้าที่มืดสนิทที่ปกคลุมอยู่เหนือยมโลกก็ถูกแต่งแต้มด้วยประกายแสงสีแดงและม่วงจำนวนมาก ประชากรวิญญาณจำนวนมากต่างเงยหน้ามองดูภาพที่สวยงามนี้
ลูกบอลแสงสีแดงพุ่งขึ้นไปบนฟ้า ในเสี้ยววินาทีต่อมา มันก็ระเบิดออกเสียงดัง เกิดเป็นประกายแสงที่กระจายตัวออกไปในทุกทิศทาง ราวกับทางช้างเผือกในท้องฟ้ายามค่ำคืนอันไร้ที่สิ้นสุด แสงสว่างระยิบระยับด้านบนดึงความสนใจของข้าราชการศักดินาทั้งหมดที่อยู่โดยรอบ และพวกเขาก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าทันที
ทว่าก่อนที่ประกายแสงสีแดงแรกจะตกลงสู่พื้น พลุสีทองลูกที่สองและสามก็ถูกยิงขึ้นฟ้า ระเบิดออก และตกลงมาด้านล่างอีกครั้งราวกับน้ำพุ ในครู่ต่อมา ดอกไม้ไฟหลากสีก็ระเบิดออกในทั่วทุกมุมของยมโลก ปกคลุมดินแดนทั้งหมดด้วยสีสันมากมาย
“สวยจัง…” เหล่าวิญญาณพึมพำออกมาขณะที่จ้องมองภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจนี้ บางส่วนหลับตาลงและภาวนากับดอกไม้ไฟที่ตกลงมาเบาๆ “ขอให้ยมโลกคงอยู่ตลอดไปและเจริญขึ้นเรื่อยๆ…” “ข้าหวังว่าเราจะได้เห็นการติดตั้งระบบไฟฟ้าขึ้นภายในปีหน้า…” “ขอให้ยมโลกของเราก้าวทันสังคมสมัยใหม่เร็วๆ…” “พ่อ… ผมคิดถึงพ่อนะ…”
ภาพการสดงดอกไม้ไฟทำให้เกิดความเงียบสงบขึ้นในยมโลกที่มักจะมีแต่เสียงอึกทึก ท้องฟ้าที่มืดหม่นแต่งแต้มไปด้วยประกายแสงที่สร้างวินาทีแห่งการปลอบประโลมใจให้กับเหล่าวิญญาณที่อยู่โดยรอบ
มันเป็นแสงแห่งความหวังสำหรับยุคสมัยใหม่
ยมโลกได้เดินทางมาอย่างยาวไกลจากวันคืนแห่งความเสื่อมโทรม มันเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าสิ่งที่รอพวกเขาอยู่นั้นมีเพียงช่วงเวลาแห่งความรุ่งโรจน์เท่านั้น
มันเป็นภาพที่น่าอัศจรรย์ใจ
มันเสียงดังทว่าดูเงียบสงบ สดใสแต่เยือกเย็น
การแสดงดอกไม้ไฟที่ยิ่งใหญ่นี้ส่งผลให้ต้นไม้เงินที่อยู่ห่างออกไปถูกแต่งแต้มด้วยสีสันมากมายไปชั่งขณะ แต่น่าเสียดาย มันยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ราชทูตทั้ง 12 ตื่นตาตื่นใจได้
แต่มันก็สมเหตุสมผลเช่นกัน เพราะดอกไม้ไฟนั้นถูกคิดค้นขึ้นตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง และมันก็ถูกใช้อย่างแพร่หลายในราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง ทุกอย่างล้วนถูกบันทึกไว้ในพงศาวดารประวัติศาสตร์ ถึงแม้ว่าดอกไม้ไฟสมัยใหม่จะดูยิ่งใหญ่ แต่มันก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้หัวใจของข้าราชการศักดินาทั้งหมดหวั่นไหว
“ของเด็กเล่น” ชากันเอ่ยขึ้น “เอาเวลาและความพยายามเหล่านี้ไปพัฒนายมโลกให้ก้าวหน้ากว่านี้ไม่ดีกว่าหรือ? ไม่มีแม้กระทั่งที่พำนักที่เหมาะสมให้กับราชทูตทั้ง 12 แล้วการแสดงพวกนี้จะไปมีประโยชน์อะไร? นี่เรากำลังเล่นสนุกกันหรืออย่างไรกัน?”
แต่ทันทีที่เขาพูดจบ บริเวณรอบประตูนรกก็สว่างขึ้น
เปลวไฟที่วูบไหวและส่องแสงสลัว
และมันก็ไม่ได้ถูกจุดขึ้นพร้อมกันในคราวเดียว แต่เริ่มสว่างขึ้นทีละดวง ก่อนจะขยายวงไปรอบๆ จากนั้น ราวกับได้รับแรงบันดาลใจจากภาพดังกล่าว ทุกส่วนของยมโลก ไม่ว่าจะเป็นภาพใต้ต้นไม้ ในพื้นที่ก่อสร้าง หรือแม้แต่ในมุมอับของยมโลก ทุกสิ่งก็พลันสว่างขึ้น
ราวกับนกฟินิกซ์ที่ถูกปกคลุมด้วยเปลวไฟบางเบา หรือนกอินทรีที่แผ่สยายปีกของตัวเองออก จุดแสงจำนวนนับไม่ถ้วนถูกจุดขึ้นอย่างกระจัดกระจาย 5 พัน… 1 หมื่น… 3 หมื่น… 5 หมื่น… 7 หมื่น… 1 แสน…!
สุดท้าย แสงไฟดังกล่าวก็กลายเป็นภาพที่งดงามไม่ต่างจากท้องทะเลที่ส่องแสงระยิบระยับ สะท้อนแสงของดอกไม้ไฟบนท้องฟ้าด้วยความนิ่งสงบ
“นี่มัน…” เกาฉางกงเลิ่กคิ้วขึ้น แสงพวกนี้ไม่ใช่เปลวไฟนรก พวกเขาสามารถบอกได้ว่าจุดแสดงพวกนี้แผ่ความร้อนออกมา นี่มัน…แสงเทียนอย่างนั้นหรือ?
ถูกต้องแล้ว
อันที่จริง มันคือทะเลแสงเทียนที่ปกคลุมไปทั่วดินแดน ทั้งเนินเขาและหุบเขา! ทั้งหมดมีมากกว่าสิบดวง!
วิญญาณทุกตนต่างถือเทียนอยู่ในมือและรับไออุ่นจากมัน ความนิ่งสงบที่น่าอัศจรรย์ แม้แต่เหล่าราชทูตเองก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงกับภาพที่ขัดแย้งนี้
โจวกงจินมองภาพนี้จากห้องของตนเอง และเขาก็พลันนึกถึงบทกวีที่ตัวเองเคยอ่าน ชีวิตนั้นงดงามดั่งดอกไม้ที่เบ่งบานในฤดูร้อน และในไม่ช้าความตายก็มาถึง เงียบสงัดและนิ่งสงบราวกับใบไม้ที่ร่วงโรยราในฤดูใบไม้ร่วง
นี่คือพิธีการ…
ความรู้สึกที่ท้วมท้นของพิธีกรรมแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ส่งผลให้คำพูดทั้งหมดหายไปในทันที มันเป็นความรู้สึกที่ไม่สามารถบรรยายได้ – ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคำพูด แต่เข้าใจได้ในทันที ประกายแสงระยิบระยับที่ปกคลุมยมโลกด้วยคลื่นของความเปราะบางที่แปลกประหลาด มันแทบจะเหมือนกับว่าการสัมผัสเพียงเล็กน้อยสามารถทำลายบรรยากาศที่ศักดิ์สิทธิ์นี้ได้ในทันที
ไม่มีผู้ใดเอ่ยอะไรออกมาเลยสักคำ
ข้าราชการศักดินาทั้งหมดต่างมึนงงกับภาพที่นิ่งสงบนี้ พวกเขาไม่เคยประสบกับสิ่งเหล่านี้มาก่อน ไม่ใช่ว่ามันควรจะเป็นค่ำคืนแห่งความบันเทิงหรอกหรือ? มันคือการแสดงแสงสีเสียง แต่เหตุใดจึงให้ความรู็สึกที่…เป็นทางการขนาดนี้?
ภายในใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความสงบที่ไม่สามารถอธิบายได้ในทันที
โลกใต้พิภพของพวกเขาล้วนแข็งแกร่งกว่ายมโลกทั้งสิ้น แต่ในวินาทีนี้ พวกเขากลับรู้สึกราวกับว่า…พวกตนพ่ายแพ้
“ขจัดอารมณ์” จิวยี่หลับตาลงและละสายตาจากภาพที่ยิ่งใหญ่พร้อมกับถอนหายใจออกมา ดอกไม้ไฟบนฟ้าและเสียงเทียนบนพื้นดินนั้นไม่ต่างอะไรกับมีดแกะสลักในสายตาของเขา เขาเป็นเพียงคนเดียวที่รู้ว่าตอนนี้…จ้าวนรกองค์ใหม่แห่งยมโลกกำลังทำลายมัดแกะสลักของตนเพื่อการแสดงที่ยิ่งใหญ่ในคืนนี้!
ไม่มีกองกำลัง
ไม่มีการทูต
มีเพียงการแสดงที่ยิ่งใหญ่ของความแตกต่างในประสบการณ์ วิสัยทัศน์ และความรู้
นี่คือรูปแบบที่แท้จริงของการจู่โจมจากหลายมิติของฉินเย่!
“ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพวกเจ้า…จะไม่ถูกครอบงำโดยสิ่งที่จะเกิดขึ้นในคืนนี้…”
……………
กลับมาที่หอประชุม อาร์ทิสจ้องมองราชทูตทั้งหมด นางยืนอยู่ภายในหอประชุม ดังนั้นเจ้าตัวจึงไม่สามารถสัมผัสถึงคลื่นความตกตะลึงที่เหล่าราชทูตกำลังประสบอยู่ด้านนอก เมื่อเป็นเช่นนั้น นางจึงหันไปถามฉินเย่ด้วยความประหลาดใจ “นี่มัน…เกิดอะไรขึ้น?”
“มันคือปฏิกิริยาพื้นฐานที่ถูกฝังไว้ในส่วนลึกของอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์คนหนึ่งที่ไหลผ่านกระแสเลือดและสลักอยู่ในกระดูก ตั้งแต่เกิด การสักการะบูชาเทพเจ้าที่เราเคารพนับถือนั้นเป็นส่วนหนึ่งภายในใจของเรามาโดยตลอด และจนถึงทุกวันนี้ พวกเราเห็นสิ่งนี้ปรากฏขึ้นในประเพณีและขนบธรรมเนียมแทบจะทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นขบวนแห่อย่างยิ่งใหญ่หรือพิธีกรรมเกี่ยวกับศพ และมันก็จะเปลี่ยนไปตามวันเวลาและยุคสมัย แต่แก่นแท้ของมันก็คือความสามารถในการเข้าครอบงำจิตใจภายในของผู้คน…” ฉินเย่อธิบาย “มันเรียกว่าพิธีการ”
“ความรู้สึกทางพิธีการนั้นส่งผลทางจิตวิทยาในหลายๆประการ เหนือทั้งหมดทั้งมวล มันมีพลังในการแนะนำตัวตน การสร้างอัตลักษณ์โดยรวม ชักจูงจิตใจผู้คน และส่งผลต่อการกระทำของคนๆหนึ่ง หากผู้มีอำนาจรู้จักใช้สิ่งเหล่านี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด มันก็จะทำให้เกิด…ผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ ยกตัวอย่างเช่น หนึ่งในพิธีการในตำนานที่แพร่หลายในราชวงศ์ต่างๆก็คือการประชุมราชสำนัก สิ่งนี้จะเป็นการยกสถานะของจักรพรรดิให้สูงขึ้นจนกลายตัวตนศักดิ์สิทธิ์ พึงรู้ไว้ว่าชาวจีนอย่างพวกเรานั้นมีความรู้สึกที่เชื่อมต่อเกี่ยวกับพีธีการรุนแรงที่สุดในโลก พวกเราใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ระบบศักดินามาเป็นเวลานานเกินไป และมันก็ทำให้พิธีการเหล่านี้แผ่ซ่านไปทุกส่วนของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ ละครโทรทัศน์ หรือแม้กระทั่งสื่อรูปแบบต่างๆ มันเป็นสิ่งที่ส่งผลกระทบกับเราโดยที่เราไม่รู้ตัว”
เขาเลิ่กคิ้วขึ้นขณะเอ่ยต่อ “ท่านลองนึกถึงภาพพิธีชักธงประจำชาติที่จัดขึ้นในสถานที่สาธารณะ ลองนึกถึงความรู้สึกที่ท่านรู้สึกเมื่อเห็นมันค่อยๆถูกชักขึ้นสู่ยอดเสาด้วยตาของตัวเอง จากนั้น ลองนึกถึงพิธีการอื่นๆที่ถูกใช้ในสถานประกอบการต่างๆในจีน หากใช้มันให้ดี…ท่านจะพบว่าผู้ใดก็ตามที่เข้ามาในอาณาเขตของท่านจะทำทุกอย่างตามที่ท่านต้องการ และท่านยังสามารถยกสถานะของตัวเองได้อีกด้วย มันน่าสนใจมากนะ ท่านสามารถหาอ่านเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ได้ในหนังสือและบทความต่างๆ ถึงแม้ข้าจะจำไม่ได้ว่าว่ามันอยู่ในสาขาใดของวิชาจิตวิทยา แต่ประเด็นสำคัญก็คือพิธีกรรมเหล่านี้แพร่กระจายไปทั่วทุกส่วนของสังคม และมันก็ย้ำเตือนให้เราเห็นว่าชีวิตนั้นมีอะไรมากกว่าที่เห็น นอกจากนี้…”
เขากระแอมออกมาเบาๆ “มันยังทำให้เรารู้ด้วยว่าอนาคตนั้นไร้ความหมายและไร้สาระ”
… มันมีบางอย่างไม่ถูกต้องเกี่ยวกับข้อความนี้… อาร์ทิสกระพริบตาปริบ “เจ้ารู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไรกัน?”
ทั้งที่เจ้าเป็นเหมือนกับนักเรียนทั่วไปที่เอาแต่บ่นเรื่องหน่วยกิตในมหาวิทยาลัยและพยายามดิ้นรนเพื่อให้ผ่านมันไปได้… เพราะฉะนั้นเจ้าไปเรียนด้านจิตวิทยาเหล่านี้มาตั้งแต่ตอนไหนกัน?!
นี่เป็นจ้าวนรกตัวปลอมหรือเปล่า?
ฉินเย่หน้าแดงเล็กน้อย “พอดีข้าเคยถูกรับเลี้ยงโดยจิตแพทย์โรคจิตคนหนึ่งตอนที่พยายามจะเอาชีวิตรอดน่ะ…”
“แล้วเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น?” อาร์ทิสถามด้วยความสนใจทันที มันมีบางอย่างเกี่ยวกับเจ้าที่ข้าไม่รู้ด้วยอย่างนั้นหรือ? มันจะต้องเกี่ยวกับการปิดปาก กระบอง แส้ และโซ่ใช่หรือไม่? มันจะต้องใช่แน่ๆ!
“ข้าจบลงด้วยการเป็นบ้า… เดี๋ยวก่อนนะ! เราไม่จำเป็นต้องสนใจเกี่ยวกับรายละเอียดปลีกย่อยพวกนี้ไม่ใช่หรือ?! แขกของเรามาถึงแล้ว!”
ข้าราชการศักดินาทั้งหมดต่างก็มึนงง แต่ก็เพียงชั่วครู่เท่านั้น
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่แน่ใจว่าปัญหานั้นอยู่ที่ตรงหน้า แต่พวกเขาเชื่อสัญชาตญาณของตัวเอง และสัญชาตญาณของพวกเขาก็ส่งเสียงร้องเตือนและบอกพวกเขาว่ามีบางอย่างผิดปกติ และตอนนี้คนทั้งหมดก็เริ่มมองฉินเย่ในมุมมองที่แตกต่างไปจากเดิมโดยไม่รู้ตัว
ปั้ง… ทันใดนั้นเอง ประตูของหอประชุมก็ถูกเปิดออกเสียงดัง และแถวของวิญญาณที่แต่งกายราวกับหญิงชาววังสองแถวก็ลอยออกมา คุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้นขณะที่สร้างแสงสว่างให้กับทางเดินสู่หอประชุมด้วยตะเกียงไฟแกะสลักที่สวยงามในมือของตน ทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่การคุกเข่าไปจนถึงความสูงที่พวกนางยกตะเกียงล้วนเป็นไปอย่างพร้อมเพรียง ข้าราชการศักดินาทั้งหมด แต่ละคนได้รับการรับรองด้วยวิญญาณรับใช้สองถึงสามตน เดินเข้าสู่หอประชุมในเวลาถัดมา
ฉินเย่ยืนอยู่ที่หน้าเวทีหลัก มือของเขาไพล่หลังและแย้มยิ้มบางให้กับเหล่าผู้ที่เดินเข้ามายังหอประชุม
หลิวอวี้เป็นคนแรกที่เดินเข้ามา และทันใดนั้นดวงตาของเขาก็เบิกกว้าง
ทุกอย่างดูแตกต่างไปจากที่เขาเคยเห็น!
หากพูดกันตามความจริง มันแตกต่างจากโลกใต้พิภพทั้งหมด ภายในหอประชุมถูกสร้างขึ้นในลักษณะของขั้นบันได และแต่ละขั้นของมันก็มีที่นั่งอยู่แถวหนึ่ง เขาเข้าใจถึงประโยชน์ของการออกแบบดังกล่าวทันที เวทีหลังที่อยู่ตรงกลางคือจุดที่ต่ำที่สุดของหอประชุม และมันก็เป็นเป้าสายตาของคนทั้งหมดอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น สิ่งที่ทำให้เขาตกตะลึงมากที่สุดก็คือหอประชุมนี้มีลักษณะเป็นครึ่งวงกลม แทบจะเหมือนกับถ้วยชามใหญ่ครึ่งใบที่ถูกวางลงบนพื้น ผนังที่อยู่โดยรอบถูกสร้างขึ้นด้วยหิน แต่ทุกส่วนของมันกลับเต็มไปด้วยรูปสลักที่ดูเหมือนจะบรรยายถึงนิทานและเรื่องเล่าในตำนานต่างๆ!
มันมีเรื่องราวของราชินีแห่งแผ่นดินโฮ่วถู่เหนียงเหนียงที่เปลี่ยนร่างเป็นกงล้อแห่งสังสารวัฏ มีเรื่องของนฺหวี่วาให้กำเนิดสรรพสิ่ง และยังมีร่างสูงใหญ่ของจ้าวนรกเดินอยู่ท่ามกลางทุกสิ่งทุกอย่างราวกับต้องการจะแสดงให้เห็นถึงความจริงที่ว่าเขาได้อยู่เหนือกาลเวลาและเดินผ่านแม่น้ำสายยาวที่เรียกว่าประวัติศาสตร์ ข้อเท็จจริงที่ว่าสถานที่ขนาดเล็กนี้สามารถบอกเล่าเรื่องราวพวกนี้ได้ทำให้สติของเขากระเจิดกระเจิงไปหมด ซ้ำร้าย มันยังกระตุ้นความตื่นเต้นภายในใจของเขา…และทำให้หัวใจของเขาเต้นเร็วขึ้นด้วย!
หรูหรา ประณีต และอลังการ!
คำสามแวบเข้ามาในหัว
มันแตกต่างไปจากสิ่งก่อสร้างทั้งหมดที่เขาเคยเห็นมา ความแปลกใหม่ของอาคารได้เปิดรอยแยกที่ถูกปิดผนึกอย่างแน่นหนาในใจของตัวเอง ไม่สิ อันที่จริง มันอาจจะถูกกว่าหากจะบอกว่าประสบการณ์ใหม่นี้ได้เปิดประตูสู่ทะเลแห่งแสงภายในใจของเขาออกโดยสมบูรณ์ เขาตกตะลึงเป็นอย่างมาก มันเป็นความตกตะลึงจากการได้พบกับวัฒนธรรมใหม่ๆ นี่คือปฏิกิริยาภายในของมนุษย์ มันไม่ใช่สิ่งที่สามารถควบคุมได้ นอกจากนี้ พวกเขายังไม่ทันได้ตั้งตัวอีกด้วย
นี่คือประสบการณ์ที่ไม่ต่างจากการที่ชาวจีนที่ก้าวเข้าไปใน Galerie d’Apollon ของพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์และต้องตื่นตะลึงกับประติมากรรมนูนต่ำด้านในที่ไม่มีที่สิ้นสุด [1] มันเป็นความรู้สึกที่ไม่ต่างกับความรู้สึกท่วมค้นที่ชาวต่างชาติมักจะรู้สึกเมื่อพวกเขาก้าวขึ้นไปยืนบนกำแพงเมืองจีนครั้งแรกเลยแม้แต่น้อย รวมถึงตอนที่ว่าพวกยืนอยู่บนหอสังเกตการณ์ที่โด่งดังและมองดูทุกสิ่งทุกอย่างโดยรอบเลยแม้แต่น้อย
ฉินเย่จ้องมองราชทูตท้ังหมดเงียบๆ ตรวจจับสีหน้าและสายตาของราชการทั้งหมดอย่างละเอียด จากนั้นเขาจึงหันไปพยักหน้าให้กับอาร์ทิส นางจึงโบกมือและเอ่ยเสียงเบาด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม “พวกเรากำลังจะเริ่ม… เจ้าแน่ใจใช่หรือไม่ว่าวิธีนี้จะได้ผล?”
[1] พิพิธภัณฑ์ทางศิลปะตั้งอยู่ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส