บทที่ 350: การเปิดตัวยุทโธปกรณ์ชิ้นแรก (2)
“มันควรจะได้ผล” ฉินเย่ตอบกลับเสียงเบา “แต่ไม้ตายที่แท้จริงของเราก็ยังเป็นเกราะพยัคฆารูปแบบใหม่เช่นเดิม มันจะเป็นกับดักที่พวกเขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ทันทีที่พวกเขาเข้ามาในนี้ พวกเขาจะไม่ต่างอะไรกับลูกแกะที่เดินเข้ามาสู่โรงเชือด กลอุบายเล็กน้อยแบบนี้…เป็นเพียงอาหารเรียกน้ำย่อยสำหรับสิ่งที่จะตามมาเท่านั้น”
ตึ๊ง ตึง ตึ่ง… ตึ๊ง ตึง ตึ่ง… เมื่อคนทั้งหมดเดินเข้ามาในหอประชุม บานประตูใหญ่ก็ปิดลงเสียงดัง และท่วงทำนองที่พวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อนก็เริ่มดังขึ้นให้ได้ยิน
“นี่มัน…” บ้านเจ้าและหวางเมิ่งอ้าปากด้วยความตกตะลึงขณะที่มองไปรอบๆ พวกเขาค่อนข้างสนิทกับจิวยี่ และค่อนข้างมีความรู้ในเรื่องของดนตรี แต่แม้แต่พวกเขาเองก็ไม่สามารถบอกได้ว่าเครื่องดนตรีเหล่านี้คืออะไร และทักษะแบบใดที่ผู้เล่นกำลังใช้!
ทันใดนั้นเอง แสงสว่างทั้งหมดภายในหอประชุมก็ดับลง
ตัวหอประชุมถูกสร้างเป็นสองชั้น และชั้นที่สองของมันก็เต็มไปด้วยนักดนตรีนับร้อย ผู้เล่นที่กำลังบรรเลงเพลงในเวลานี้ไม่ได้ถือเครื่องดนตรีโบราณแต่อย่างใด กลับกัน พวกเขากำลังเล่น…กีตาร์ไฟฟ้า!
คืนนี้ ไม่มีที่ใดในยมโลกที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้านอกเหนือจากในหอประชุม เครื่องกำเนิดไฟฟ้าทั้งหมดถูกย้ายมาที่นี่เพื่อการแสดงครั้งใหญ่ที่ฉินเย่ได้เตรียมเอาไว้
ทุกอย่างดำเนินไปอย่างกลมกลืนกัน นี่คือผลจากการฝึกซ้อมตลอดหกเดือนเต็ม ดนตรีโหมโรงเริ่มต้นด้วยเสียงเบา ราวกับกำลังปูทางสำหรับคลื่นสึนามิขนาดใหญ่ที่กำลังจะมาถึง แต่สิ่งที่น่าตกตะลึงที่สุดก็คือการที่ดนตรี…ดูเหมือนจะแพร่กระจายไปถึงทั่วทุกมุมของหอประชุม!
เมื่อข้าราขการศักดินาทั้งหมดเดินเข้าไป พวกเขารู้สึกราวกับตัวเองเป็นเหล่าทวยเทพ เสียงดนตรีดังมาจากทั่วทุกมุม ราวกับพวกเขากำลังอยู่ในทะเลแห่งเสียงเพลง ทุกอณูของร่างกายซึมซับและล่องลอยไปกับท่วงทำนองที่ไม่สิ้นสุด
อาร์ทิสเองก็เคลิบเคลิ้มไปกับสิ่งที่เห็นเช่นกัน
นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นทุกอย่างรวมเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืนขนาดนี้ และนางก็ไม่คิดเลยว่าความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่เหล่านี้จะเกิดขึ้นทันทีที่ประตูหอประชุมถูกปิดลง!
“นี่มันบ้าอะไรกัน…”
“กำแพงสะท้อนเสียง”[1] ฉินเย่ยังคงรักษารอยยิ้มไว้บนใบหน้าขณะที่เขากัดฟันและหันไปเอ่ยกับอาร์ทิส “ท่านช่วยหยุดทำตัวไม่รู้เรื่องได้หรือไม่? กำแพงสะท้อนเสียงเป็นหนึ่งในหลักสถาปัตยกรรมพื้นฐานใช้สร้างฮอลล์คอนเสิร์ต! มันทำให้ผู้ชมทั้งหมดได้ดื่มด่ำไปกับเสียงสามมิติจากรอบด้าน ฮอลล์คอนเสิร์ตแต่ละประเภทถูกสร้างขึ้นมาเพื่อดนตรีและการแสดงเฉพาะประเภท หากท่านต้องการลดเสียงสะท้อนในหอประชุมลง ท่านก็แค่สร้างรอยหยักบนผนังดั่งเช่นที่เราทำ…”
“เจ้าไม่ได้สร้างประติมากรรมนูนบนผนังเพียงเพื่อความสวยงามอย่างนั้นหรือ?” อาร์ทิสถามด้วยความตกตะลึง
ฉินเย่ส่งเสียงฮึดฮัด “แน่นอนว่าไม่! หากเราต้องการจะเป็น LV ของการค้าอาวุธ พวกเราก็ต้องให้ความใส่ใจกับรายละเอียดเล็กๆน้อยๆทั้งหมด! ดูสิว่าพวกเขาตกตะลึงกันมากเพียงใด และการแสดงก็เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น”
ขณะที่พูด แสงไฟภายในหอประชุมก็เริ่มหรี่ลงและดับไป ทิ้งไว้เพียงเสียงเพลงที่ก้องกังวาลอยู่ในอากาศ ข้าราชการศักดินาทั้งหมดมองหน้ากันไปมา พวกเขาทั้งหมดต่างตกตะลึงกับเรื่องประหลาดใจที่ถาโถมเข้ามาโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว มันมากจนพวกเขาเริ่มตั้งตารออย่างใจจดใจจ่อกับสิ่งที่ฉินเย่ได้เตรียมไว้ให้พวกตนแทบไม่ไหว
ทุกคนต่างคาดหวังและอยากรู้ว่าฉินเย่จะทำสิ่งใดเพื่อตอบสนองความหิวกระหายของพวกตน การแสดงตรงหน้านั้นมีระดับที่สูงกว่าการร่ายรำและการบรรเลงเพลงจากนักดนตรีในวังของพวกเขามาก ไม่ หากพูดกันตามจริง มันไม่สามารถเทียบกันได้เลยด้วยซ้ำ! มีเพียงวงออร์เคสตราของจักรพรรดิเท่านั้นที่สามารถทำได้เช่นนี้!
แต่ถึงกระนั้น…นี่ก็ยังอยู่คนละระดับอยู่ดี! นี่เป็นการลบล้างการเปรียบเทียบทั้งหมดและสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับความเข้าใจในดนตรีของพวกเขา
แน่นอนว่ามันต้องเป็นเช่นนั้น
เพราะท้ายที่สุดแล้ว การพัฒนาทางดนตรีตรงหน้านี้อยู่เหนือกาลเวลาของพวกเขา มันแทบจะเหมือนกับการที่ชาวโลกได้เห็นเทคโนโลยีของมนุษย์ต่างดาวเป็นครั้งแรก – ไม่ว่าใครก็ต้องพบว่ามันน่าตกตะลึงโดยสมบูรณ์
จากนั้น ไม่กี่วินาทีต่อมา ราวกับตอบรับถึงความรู้สึกของพวกเขา แถวของไฟกระพริบพลันสว่างขึ้น พลิ้วไหวราวกับทะเลที่เปล่งประกาย มันเคลื่อนไหวอย่างพร้อมเพรียงและสง่างาม ทั้งหอประชุมในเวลานี้ส่องแสงประกายขึ้น จากนั้น ในไม่กี่วินาทีต่อมา แสดงทั้งหมดก็ไปรวมตัวกันที่เวทีหลัก กลายเป็นสปอตไลต์ที่ส่องลงมาที่ร่างของฉินเย่โดยตรง
การมาบรรจบกันของแสงหมายความว่าตอนนี้มีเพียงฉินเย่คนเดียวเท่านั้นที่เป็นจุดรวมแสง เขายิ้มออกมาพร้อมกับพยักหน้า เสียงดนตรีประกอบพลันเบาลงจนกลายเป็นเพียงเสียงกระซิบ “ข้าราชการศักดินาผู้สูงศักดิ์ทุกท่าน พวกท่านทั้งหมดต่างเดินทางมาอย่างยาวไกล ในค่ำคืนนี้ ข้าอยากจะให้ทุกท่านปล่อยกาย คลายความตึงเครียดทั้งหมดภายในใจ และดื่มด่ำไปกับช่วงวินาทีแห่งความสุขนี้”
การปรากฏตัวของเขาบนเวทีทำให้เขาดูเหมือนกับจ้าวผู้ครองดินแดนเพียงหนึ่งเดียวของยมโลกอย่างแท้จริง
มันยกระดับสถานะของเขาให้อยู่สูงกว่าราชทูตทุกคน
หลิวอวี้ลอบกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว เขาไม่รู้ว่ามันหมายความว่าอย่างไรกันแน่ ภายในหัวของเขาตอนนี้มีเพียงความคิดเดียว
เมื่อเขากลับไป…เขาจะทำในสิ่งเดียวกัน!
เขาต้องการความรู้สึกที่ได้ครอบครองเวที ให้ไฟทุกดวงฉายมาที่ตน และได้กลายเป็นจุดสนใจของคนทั้งหมด เขาต้องการที่จะดื่มด่ำไปกับความรุ่งโรจน์ในการยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลก และต้องการที่จะปล่อยตัวไปกับความรู้สึกของการเป็นที่ยอมรับของทุกคน!
ขนบธรรมเนียมดั้งเดิมมักจะทำให้แขกเป็นฝ่ายได้รับเกียรติ เพราะไม่ว่าอย่างไร มันก็คืองานเลี้ยงต้อนรับพวกเขา แต่ถึงกระนั้น เจ้าภาพผู้นี้กลับดึงความสนใจและแสงไฟทั้งหมดไปที่ตนเองโดยตั้งใจ พวกเขาไม่รู้ว่าจ้าวนรกองค์ใหม่ของยมโลกกำลังจะทำสิ่งใดกันแน่ แต่ทุกอย่างที่เด็กหนุ่มทำมาจนถึงตอนนี้กลับขจัดความกังวลตัวและคลายความตึงเครียดภายในใจของพวกเขาลง และตอนนี้ภายในใจของคนทั้งหมดก็เต็มไปด้วยเปลวไฟแห่งความหลงใหลและความอยากรู้เกี่ยวกับสิ่งที่กำลังจะตามมา
“ทุกท่าน เชิญนั่งก่อน”
ทันทีที่เขาเอ่ย แสงไฟจากด้านหลังก็เริ่มสว่างขึ้นเรื่อยๆไล่มาจนถึงด้านหน้า ราวกับกระแสน้ำที่ซัดสาด ก่อนที่ทุกอย่างจะสว่างขึ้น ในขณะเดียวกัน ดนตรีประกอบพิธีเปิดอย่างเพลง ‘Battle Without Honor or Humanity’ ก็ดังสนั่นขึ้น
ท่วงทำนองที่ยิ่งใหญ่ดังขึ้น ทำให้คนทั้งหมดเงยหน้าขึ้นทันที จังหวะอันน่าตื่นเต้น…ทำให้พวกเขาใจเต้นรัว!
ฉินเย่กวาดสายตามองเหล่าผู้ชม จับสังเกตปฏิกิริยาทั้งหมดอย่างละเอียด แม้แต่การเรื่องเล็กน้อยอย่างการกระดิกนิ้ว เขาคิดจะใช้กลยุทธ์สงครามแบบเก่าๆและวิธีการซุ่มโจมตีอื่นๆ กลับกัน เด็กหนุ่มเลือกที่จะกระตุ้นคนทั้งหมดด้วยการใช้กลยุทธ์ที่นุ่มนวลกว่าอย่างดนตรีต่างประเทศแทน เขายอมรับข้อเท็จจริงที่ว่ายุโรปและอูโซเนียได้นำหน้าแผ่นดินจีนไปอย่างไม่เห็นฝุ่นมานานแล้วเมื่อเป็นเรื่องของการพัฒนาการในด้านดนตรี เพราะไม่ว่าอย่างไร อุตสาหกรรมเพลงของจีนก็ตกต่ำลงเรื่อยๆ และตั้งแต่ที่เปลี่ยนเข้าสู่สหัสวรรษใหม่ พวกเขาก็ดูเหมือนจะหลุดออกจากอุตสาหกรรมดนตรีอย่างสิ้นเชิง พวกเขาไม่ใช่ผู้เข้าชิงในงานดนตรีระดับโลกด้วยซ้ำ
มันเป็นเรื่องสำคัญที่จะนับรู้ถึงจุดอ่อนของตัวเอง เพราะท้ายที่สุดแล้ว นั่นก็คือก้าวแรกของการเติบโต ปรังปรุงและพัฒนา รายชื่อเพลงทั้งหมดนี้ถูกเลือกมาอย่างดีด้วยตัวของเขาเอง และยังได้รับการเรียงลำดับอย่างพิถีพิถันเพื่อปลุกเร้าความตื่นเต้นภายในใจของคนทั้งหมด!
สมองของคนเรามีขีดจำกัด วิญญาณเองก็เช่นกัน
เมื่อคนเราสนใจกับสิ่งๆหนึ่งมากเกินไป พวกเขาก็จะลบล้างสิ่งอื่นที่อยู่ภายในใจของตนออกไป นอกจากนี้ เมื่อความตื่นเต้นพุ่งขึ้นถึงจุดสูงสุด พวกเขาก็จะพบว่าการยับยั้งจิตใจและความสามารถในการวิเคราะห์ทั้งหมด…ก็จะค่อยๆหายไป
และเขาก็จะประสบผลสำเร็จในสิ่งที่วางแผนเอาไว้ ต่อให้ความยับยั้งชั่งใจของคนเหล่านี้ลดลงเพียงนิดเดียวก็ตาม
การเตรียมเวทีสำหรับการเปิดตัวของชุดเกราะพยัคฆารูปแบบใหม่ที่จะทำให้คนทั้งหมดกตะลึงนั้นพร้อมแล้ว! และทุกอย่างตอนนี้ รวมถึงรายการเพลงที่ต้องเล่น ล้วนนำไปสู่จุดสูงสุดของการเปิดตัวของชุดเกราะพยัคฆารูปแบบใหม่
เสียงเพลงดังก้องอยู่ภายในหอประชุมราวกับคลื่นกระแทกที่ทรงพลัง! มันท้วมท้นและดื่มด่ำ! หลิวอวี้นั่งลง แต่ถึงกระนั้นเขาก็เคาะนิ้วกับที่วางแขนของตนอย่างร้อนใจ
เสียงดนตรีที่ยิ่งใหญ่ดังก้องอยู่ภายในหูของเขาไม่หยุด เมื่อหลับตาลง เขาก็รู้สึกราวกับว่าตัวเองอยู่เพียงลำพัง ยืนอยู่บนภูเขาและมองดูหมู่มวลเมฆ หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้น ในขณะที่เสียงของเบสดังขึ้นในหัว ทำให้นึกถึงภาพในอดีต
จังหวะหัวใจของเขาเริ่มที่จะเต้นตามท่วงทำนองของดนตรี เพลงๆนี้ไพเราะกว่าทุกเพลงที่เขาเคยฟัง! มันลึกซึ้ง ไม่เหมือนกับแม่น้ำสายยาวที่ไหลผ่านผิวโลก แต่สร้างแรงสั่นสะเทือนได้มากกว่าภูเขาไฟระเบิด! มันปลุกเร้าทุกอณูวิญญาณ!
อันที่จริง เขาได้จมดิ่งไปกับเพลงที่บรรเลงตั้งแต่ที่นั่งลง เขายกชายเสื้อคลุมของตัวเองขึ้นเล็กน้อยและปรับท่านั่งให้อยู่ในลักษณะที่เหมาะสมกับการเพลิดเพลินไปกับท่วงทำนองที่ถูกเล่น และมันก็ไม่ใช่แค่ตัวเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น แต่เหล่าข้าราชการศักดินาคนอื่นๆเองก็มีปฏิกิริยาไปในทิศทางเดียวกัน
เสียงเพลงพวกนี้ตรงเข้าสู่จิตใจของพวกเขาและสะท้อนความคิดที่ลึกที่สุดภายในหัวออกมา ด้วยสถานะของคนทั้งหมด พวกเขาเองก็ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องปิดบังปฏิกิริยาของตัวเองเช่นกัน
ดนตรีนี้ไร้ขอบเขต ผลงานอันน่าตกตะลึงที่ถูกบรรเลงนั้นเป็นที่รู้จักในฐานะของหนึ่งในสิบสุดยอดดนตรีคลาสสิกสมัยใหม่ และมันก็เพิ่มความร้อนระอุให้กับพิธีเปิดได้เป็นอย่างดี การตัดสินใจที่จะเปิดงานด้วยเพลงๆนี้ของฉินเย่นั้นเกิดจากความต้องการลึกๆภายในใจของเขาเอง แต่ผู้ใดที่เคยได้ฟังเพลงๆนี้มาก่อนย่อมรู้ดีว่ามันเหมาะกับสิ่งที่เขากำลังพยายามจะทำอย่างถึงที่สุด!
บรรยากาศและทุกสิ่งทุกอย่างผสมผสานกันอย่างลงตัว
เสียงดนตรีดังก้องจากทุกทิศทางราวกับคลื่นสึนามิที่ถาโถมขณะที่แสดงสว่างภายในหอประชุมสว่างขึ้นเรื่อยๆ ทันทีที่คนทั้งหมดนั่งลง หม่าฝูโปว ถกแขนเสื้อของตนขึ้นเล็กน้อย และเขาก็พบว่าขนแขนของตัวเองนั้นลุกชัน
บทเพลงเพียงบทเพลงเดียว… สามารถทำได้มากขนาดนี้เชียวหรือ?
แถมยังเป็นเพลงเปิดเท่านั้น?
เช่นนั้นในมหกรรมการแสดงดนตรีที่เหลืออยู่เล่า… จะเป็นเช่นไร?
ดวงตาของเขาเป็นประกายด้วยความคาดหวัง จ้าวนรกจะทรงทำสิ่งใด? ยังมีอะไรที่พระองค์ทรงซ่อนอยู่อีก? ความคิดเหล่านี้ที่อยู่ในหัวของข้าราชการศักดินาทั้งหมดค่อยถูกพัดหายไปโดยท่วงทำนองที่ทรงพลังที่จู่โจมจิตใจของพวกเขาอย่างต่อเนื่อง
ดนตรีโหมโรงสำหรับเปิดงานจบลงหลังจากที่พวกเขานั่งลงเพียงไม่นาน เสียงไฟทั้งหมดภายในหอประชุมดับลงอีกครั้ง ไม่กี่วินาทีต่อมา เมื่อแสงสว่างกลับมาอีกครั้ง ทั่วทั้งสถานที่กลับเต็มไปด้วยประกายระยิบระยับ แสดงไฟทั้งหมดถูกส่องไปยังเวทีหลัก เผยให้เห็นวงออร์เคสตราของเหล่าวิญญาณที่แต่งกายด้วยเครื่องแต่งกายโบราณที่นั่งประจำที่ของตนอยู่อย่างเงียบๆ
ที่ด้านหน้าของคนทั้งหมด วาทยกรที่แต่งกายด้วยชุดสูทของจีนโค้งคำนับคนทั้งหมด ก่อนจะหันกลับไปหาวงออร์เคสตราและยกมือขึ้น
เหล่านักดนตรีเริ่มบรรเลงตามการเคลื่อนไหวของวาทยกรอย่างกลมกลืน การเคลื่อนไหวของพวกเขางดงาม ราวกับล่วงรู้ถึงดนตรีที่กำลังจะมาถึง กระตุ้นความตื่นเต้นของเหล่าผู้ชมทั้งหมด พวกเขาต่างก็จ้องไปยังเหล่านักดนตรีด้วยลมหายใจที่ติดขัด
เริ่มแล้วอย่างนั้นหรือ…?
ข้าราชการศักดินาแต่ละคน ไม่ว่าพวกเขาจะยืนอยู่ฝั่งใดก่อนหน้านี้ ต่างตาลุกโชนและจับจ้องไปยังวงออร์เคสตราตรงหน้าอย่างไม่คลาดสายตา
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง วาทยกรก็เริ่มขยับมือ เสียงดีดเปียโนเป็นจังหวะดังขึ้น
มันแผ่วเบาและนุ่มนวล แต่กลับไพเราะอย่างไม่สามารถอธิบายได้ ราวกับมีนกร้อยตัวกำลังขับร้องประสานเสียงกันก่อนที่สายฝนจะตกกระหน่ำ ท่วงทำนองที่ไพเราะกระตุ้นความคาดหวังจากภายในส่วนลึกของจิตใจของผู้ที่ได้ยิน
เพลิงเปิด: Victory.
นี่คือผลงานที่จะสร้างความประทับใจอย่างล้ำลึกไว้ในหัวใจของผู้ที่ได้ฟัง มันคือผลงานที่น่าทึ่งและงดงามซึ่งเกิดจากการประสานกันของท่วงทำนองที่ดูราวกับกำลังวาดภาพการปะทะกันระหว่างกองกำลังสองกองในสนามรบ มันคือผลงานที่ถูกบรรเลงเพื่อราชทูตทั้ง 12 โดยเฉพาะ
หลังจากผ่านไปสิบนาที นักดนตรีคนอื่นๆในลงก็เริ่มเล่นเครื่องดนตรีของตน นำมาซึ่งจังหวะที่สูงขึ้นอีกระดับ ขยับขึ้นลงอย่างลงตัว ถ่ายทอดความรู้สึกรุ่งโรจน์และโศกเศร้าของสงครามอันน่าเศร้าสลดไปในเวลาเดียวกัน
ความเป็นพิษของสงครามนั้นซับซ้อนจนไม่สามารถบรรยายได้ แต่มันกลับมีเพียงผู้ที่สามารถมีชีวิตรอดกลับมาเท่านั้นที่เข้าใจ
ดวงตาของข้าราชการศักดินาทั้งหมดเบิกกว้างขึ้น มีพวกเขาคนใดกันที่ไม่ใช่วีรบุรุษสงครามที่กลับมาพร้อมกับชัยชนะในสงคราม? บทเพลงที่ไพเราะนี้ได้ปลุกปั่นความปรารถนาในการสู้รบภายในใจของพวกเขา มันทำให้พวกเขานึกย้อนกลับไปถึงตอนที่ตัวเองยังมีชีวิต นำกองกำลังนับล้านเพื่อต่อสู้กับเหล่าศัตรู
ฉางเย่ชุนรู้สึกว่าริมฝีปากของตนแห้งผาก เขากำมือรอบที่วางแขนด้านข้างแน่น มองไปรอบๆราวกับกำลังมองหาบางสิ่งบางอย่าง เขากำลังมองหาอะไร? ตัวเขาเองก็ไม่รู้เช่นกัน ไม่มีสิ่งใดแวบเข้ามาในหัวของเขาอยู่ครู่หนึ่ง จนกระทั่ง…สบเข้ากับสายตาที่วาวโรจน์ไม่แพ้กันของชากัน
ใช่แล้ว…
ความรู้สึกนี้…
มันคือภาพที่ยิ่งใหญ่ของนายพลฉางเย่ชุนที่บุกโจมตีและล้มล้างเมืองหลวงฤดูหนาวของราชวงศ์หยวน ศูนย์กลางหลักของจักรวรรดิมองโกล และชากัน ก็คือข้าราชการศักดินาที่เป็นตัวแทนของหัวหน้าของกองกำลังมองโกล
ด้วยเหตุผลที่แปลกประหลาดบางประการ เขาอดไม่ได้ที่จะหันไปมองชากันในทันทีที่บทเพลงเข้าสู่ท่อนประสานเสียงแรก
และขณะที่เขายังคงจ้องไปที่ชากัน เสียงเครื่องดนตรีชิ้นอื่นๆก็ค่อยๆดังแทรกเข้ามาอย่างช้าๆ จนในที่สุด เครื่องดนตรีทั้งหมดก็บรรเลงบทเพลงอย่างพร้อมเพรียงกัน ขับเคลื่อนความรู้สึกไปจนถึงจุดสูงสุด!
[1] ตั้งชื่อตามกำแพงสะท้อนเสียง(Echo Wall) ของหอสักการะฟ้าเทียนถานในเมืองปักกิ่ง มีคุณสมบัติพิเศษที่ทำให้ผู้ที่ยืนอยู่ฝั่งหนึ่งของกำแพงสามารถสื่อสารกับผู้ที่อีกฝั่งหนึ่งได้อย่างชัดเจนแม้ว่าจะแค่กระซิบก็ตาม