บทที่ 351: การเปิดตัวยุทโธปกรณ์ชิ้นแรก (3)
การปะทะกันระหว่างกองกำลังทั้งสองเกิดเป็นสมรภูมิเลือด… ราชทูตทั้งหมดหลับตาลงพร้อมกัน บางคนกำหมัดแน่นในขณะที่คนอื่น ๆ พากันขาสั่นอย่างทนไม่ไหว สิ่งที่แปลกที่สุดเกี่ยวกับเพลงพวกนี้ก็คือมันยิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ไปจนถึงจุดสูงสุดก่อนจะค่อย ๆ เบาและช้าลง… ราวกับภาพและเสียงที่เหลืออยู่ในสนามรบคือเสียงของการทิ้งอาวุธลงบนพื้นดินที่เปื้อนไปด้วยเลือด
การประจัญหน้าอย่างหนักหน่วงและโชกเลือดคืออีกความหมายหนึ่งของสงคราม ในสนามรบมีเพียงการยื้อแย่งที่ไม่มีที่สิ้นสุดระหว่างความเป็นและความตาย การจากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับของผู้ที่ได้รับความพ่ายแพ้ ไร้ซึ่งความปราณี และปราศจากความเป็นมนุษย์
ท่วงทำนองยังดำเนินต่อไปทำให้ย้อนนึกถึงจุดเริ่มต้นของบทเพลง ราวกับทุกอย่างมาบรรจบกันอีกครั้ง นอกเหนือจากความตายและการทำลายล้าง ชีวิตใหม่ได้ถือกำเนิดขึ้น ราวกับดอกปี่สีดำที่เบ่งบานในสมรภูมิที่รกร้าง
ลำคอของฉางเย่ชุนตีบตัน ความรู้สึกที่ถูกฝังอยู่ในส่วนลึกของหัวใจร้อนรุ่มขึ้นจากบทเพลงที่ได้ยิน ราวกับภูเขาไฟที่พร้อมจะปะทุอยู่ตลอดเวลา เขานึกถึงการต่อสู้ครั้งใหญ่ที่นำไปสู่ความพ่ายแพ้ของเมืองหลวงของราชวงศ์หยวน ที่ซึ่งเหล่าทหารจำนวนนับไม่ถ้วนต่างต่อสู้อย่างกล้าหาญ สูญเสียเลือดของพวกเขาและฝั่งศัตรู แม้ว่ากำแพงที่สูงตระหง่านจะตั้งอยู่รอบเมืองหลวง แต่ทุกคนก็ยังต่อสู้กันอย่างแข็งขันด้วยรู้ดีว่านี่คือการต่อสู้สุดท้ายที่จะโค่นล้มจักรวรรดิมองโกล
ราชาแห่งไคผิงหลับตาลง และเปลือกตาของเขาก็กระตุกเล็กน้อย มันผ่านมานานกี่ปีแล้วที่เขานึกถึงเรื่องเหล่านี้ครั้งล่าสุด ? ท่วงทำนองเหล่านี้ดึงความทรงจำเหล่านั้นออกมาจากส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจ และมันก็ชัดเจนจนเขาเห็นใบหน้าของแม่ทัพทุกคนที่พุ่งเข้าสู่การต่อสู้อย่างกล้าหาญในเวลานั้น
เขาจำได้ว่ามีเครื่องยิงหินจำนวนนับไม่ถ้วนที่ขว้างหินออกไป ปะทะกับกำแพงและตกลงกับพื้นอย่างแรงราวกับเสียงกลอง กองกำลังจำนวนมากพุ่งเข้าใส่กำแพงที่เริ่มร้าว ปะทะกับกองกำลังป้องกันของฝ่ายตรงข้ามอย่างกล้าหาญ ตัวเมืองหลวงเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมากเนื่องจากแสดงให้เห็นถึงความร่ำรวยของสายเลือดชาวจีนที่จักรวรรดิหยวนแย่งชิงไปจากพวกเขา ฝนธนูตกลงมาราวกับฝูงตั๊กแตน ในขณะที่ทหารปรากฏตัวอยู่ทั่วทุกมุมของสนามรบ ก้าวข้ามและต่อสู้เหนือศพจำนวนมากที่พุ่งเข้ามาก่อนตน
ทหารบางคนอายุน้อย ในขณะที่คนอื่น ๆ อายุมาก พวกเขาต่างต่อสู้ภายใต้ธงของเหล่าแม่ทัพผู้มีชื่อเสียง พุ่งเข้าหากำแพงเมืองหลวงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
และเมื่อส่วนที่งดงามที่สุดของเพลงเริ่มขึ้น ดวงตาของฉางเย่ชุนก็ลืมขึ้น ราวกับเขามองเห็น…ประตูของเมืองหลวงเริ่มเปิดออก ธงพันธมิตรจำนวนนับไม่ถ้วนบุกเข้าโจมตีส่วนในของเมืองหลวงพร้อมกับเสียงตะโกนก้องเมื่อกระแสของสงครามเอนเอียงมาทางพวกตนในที่สุด ชัยชนะใกล้เข้ามาแล้ว !
เช่นเดียวกันกับเหล็กที่สามารถปรับรูปได้เมื่ออยู่ภายใต้สภาวะที่เหมาะสม หัวใจของเขาในเวลานี้เองก็อ่อนลงจากดนตรีที่ได้ยิน
ตอนนั้น…ไม่ใช่ว่าเขาเคยถูกเรียกว่าวีรบุรุษของชาติอย่างนั้นหรือ ?
และตอนนี้… หากเขายืนอยู่ฝั่งเดียวกับหลิวอวี้ มันก็จะเป็นการทรยศต่อโลกใต้พิภพของจีนไม่ใช่หรือ ?
ลำคอของเขาแห้งผากและเจ็บไปหมด และมันก็ไม่ใช่เขาเพียงคนเดียวที่ประสบกับความรู้สึกเหล่านี้ ในเวลาเดียวกันนั้น ท่วงทำนองบรรเลงไปถึงจุดสูงสุด ราวกับภูเขาไฟระเบิดครั้งใหญ่ที่พุ่งทะลุกลุ่มก้อนเมฆ ลาวาเหลวร้อนระอุที่ไหลลงสู่น้ำอย่างช้า ๆ ชำระล้างความรู้สึกที่ร้อนรุ่มภายใน เลือดภายในกายของคนทั้งหมดเดือดพล่านขณะที่ดื่มด่ำไปกับเสียงดนตรีด้วยจังหวะหายใจที่ขาดห้วง
จากนั้น ขณะที่ดนตรีพุ่งทะยานสู่จุดสูงสุด ความเงียบก็เข้าปกคลุมสถานที่อย่างกะทันหัน ดนตรีหยุดลงหลังจากนั้น และวาทยกรก็หมุนตัวและหันมาโค้งคำนับให้เหล่าผู้ชม
เงียบสนิท
แปะ แปะ แปะ… หลังจากผ่านไปพักใหญ่ เสียงปรบมือของคนคนหนึ่งก็ดังก้องไปทั่วทั้งหอประชุม
เสียงนั้นดังมาจากหลิวอวี้
หลังจากนั้น ข้าราชการศักดินาคนอื่น ๆ ก็เริ่มปรบมือเบา ๆ ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง เหล่าวิญญาณที่เข้าร่วมกับพวกเขากลับปรบมืออย่างรุนแรงด้วยสีหน้าขมขื่น หากวิญญาณสามารถร้องไห้ได้ พวกเขาก็คงร้องไห้ออกมาแล้ว
“เฮ้อ–…” หลิวอวี้หลับตาลงและนวดคลึงขมับของตัวเอง หัวใจของเขา…เต้นแรงอย่างไม่น่าเชื่อจากท่วงทำนองที่ยิ่งใหญ่นี้ ยิ่งกว่านั้น…เขาเริ่มรู้สึกขัดแย้งและสับสนเนื่องจากนี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาเคยประสบมาก่อน !
นี่คือหนึ่งในเพลงของมหากาพย์สงครามสุดคลาสสิก ประสบการณ์ชมการแสดงสดของวงออร์เคสตรานั้นแตกต่างไปจากการฟังดนตรีจากคอมพิวเตอร์ที่บ้านอย่างสิ้นเชิง ความยิ่งใหญ่ของการแสดงนำพาเขาไปสู่สถานที่ซึ่งเขาถูกล้อมรอบไปด้วยทิวเขาที่สวยงาม ปลุกปั่นความรู้สึกภายในใจของเขาราวกับว่าโลกทั้งใบตกอยู่ภายในกำมือ เลือดในกายที่เดือดพล่านและขนบนร่างที่ลุกชันค่อย ๆ สงบลงหลังจากที่บทเพลงจบลง
เขาไม่ได้สนใจว่าฉินเย่ต้องการจะทำอะไรอีกต่อไป กลับกัน มันถูกแทนที่ด้วยความอยากรู้ว่าบทเพลงต่อไปที่จะถูกบรรเลงจะเป็นเช่นไร เขาอยากที่จะสัมผัสกับความรู้สึกที่ตนได้สัมผัสจากท่วงทำนองเมื่อครู่อีกครั้ง… โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่เขาถูกทำให้นึกถึงภาพอันงดงามของธงผืนใหญ่ของตัวเองโบกสะบัดอยู่บนดินแดนส่วนใหญ่ของแผ่นดินจีน
นอกจากนี้เขายังเห็นภาพของตัวเองพุ่งเข้าสู่สมรภูมิรบอย่างกล้าหาญ แม้จะฝ่ายตรงข้ามจะมีจำนวนมากกว่าก็ตาม
ฉินเย่ยืนอยู่บนชั้นสองของหอประชุม ในขณะที่หวังเฉิงห่าวยืนอยู่ข้าง ๆ เขา เด็กหนุ่มเคาะนิ้วบนที่วางแขนเบา ๆ เขามั่นใจว่าความรู้สึกของข้าราชการศักดินาทั้งหมดที่อยู่ด้านล่างจะต้องพุ่งสูงขึ้น เพราะเขาเองก็รู้สึกแบบนั้นเช่นกัน ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกกระตือรือร้น ราวกับต้องการจะทำอะไรบางอย่าง
หากเขาอยู่ที่บ้านเพียงลำพัง ความรู้สึกแบบนี้คงจะสงบลงในเวลาไม่นาน แต่น่าเสียดาย…มันไม่ใช่กรณีนั้น !
สิ่งที่เขากำลังทำนั้นเป็นเหมือนกับการก่อกองฟืน
แผนการของเขาชัดเจน เมื่อทุกอย่างถูกจัดเตรียมจนเรียบร้อย เขาจะมอบโอกาสให้เหล่าข้าราชการศักดินาพวกนี้ได้ระบายความรู้สึกที่ต้องการจะทำอะไรบางอย่างของตัวเอง เขาจะจุดประกายไฟและทำให้เกิดเป็นกองไฟขนาดใหญ่ที่ลุกโชนขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น… เขาจะให้โอกาสคนเหล่านี้ได้เสียสติไปกับชุดเกราะพยัคฆารูปแบบใหม่ เพราะท้ายที่สุดแล้ว ของแบบนั้น…ก็อาจจะสร้างมูลค่าได้หลายพันล้านหินวิญญาณ !
“ ‘Victory’ เป็นเพียงแค่จุดเริ่มเท่านั้น ข้าจะไม่มอบโอกาสให้พวกท่านได้พักหายใจเด็ดขาด เพลงต่อไปคือ ‘Star Sky’ มันจะยิ่งปลุกปั่นความรู้สึกของพวกท่านให้สูงขึ้นอีก ทีละขั้น ๆ จนกระทั่ง…พวกท่านพร้อมสำหรับการเปิดตัวของชุดเกราะพยัคฆารูปแบบใหม่ในที่สุด” เขาเลียริมฝีปากของตัวเองและมองเหล่าข้าราชการศักดินาราวกับปีศาจร้าย “จิตวิทยาคือสิ่งที่สำคัญที่สุดเมื่อเป็นเรื่องของการตลาด ไม่เช่นนั้น…พวกท่านคิดว่าพวกของหรูหราราคาแพงจะสามารถขายได้อย่างไร ?”
สามนาทีต่อมา วาทยกรอีกคนหนึ่งลุกขึ้นยืนและโค้งคำนับผู้ชม
ครั้งนี้ เสียงปรบมือจากด้านล่างดังขึ้นเบา ๆ ก่อนที่การแสดงจะเริ่มขึ้น แม้ว่าจะเบาบางแต่ผู้ชมทั้งหมดต่างก็ปรบมือ
พวกเขากำลังคาดหวัง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเตือนตัวเองหลายต่อหลายครั้งแล้วว่ามีบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับลำดับการในคืนนี้ และฉินเย่ก็อาจจะชักดาบออกมาได้ทุกเมื่อ แต่ถึงกระนั้น…นี่ก็คือดาบที่พวกเขาไม่เคยพบเคยเจอมาก่อน
เพราะดาบที่พวกเขารู้จักนั้นเย็นยะเยือก เป็นประกาย ถูกหลอมขึ้นด้วยไฟและออกแบบมาเพื่อเรียกเลือด
พวกเขาเคยเห็นดาบที่นุ่มนวลเช่นนี้มาก่อนอย่างนั้นหรือ ?
แล้วคมดาบเล่า ?
มันไม่มีเลยสักนิด
แล้วปลายดาบอยู่ที่ใด ?
มันก็ไม่มีเช่นกัน
และในเมื่อเป็นเช่นนั้น เหตุใดจึงไม่ปล่อยกายปล่อยใจดูสักครั้งและก้าวเดินไปในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ดู ?
วาทยกรยกมือขึ้นและกดลงอย่างรุนแรง
ไม่เหมือนกับ ‘Victory’ และ ‘Star Sky’ ที่เริ่มต้นด้วยท่วงทำนองดุดันตั้งแต่แรก ราวกับมันดำเนินต่อจากจุดที่ ‘Victory’ ค้างเอาไว้
เบส เปียโน เชลโล ไวโอลิน แตร กีตาร์ไฟฟ้า และเครื่องดนตรีสายอื่น ๆ บรรเลงออกมาพร้อมกัน และความรู้สึกของการปะทะที่รุนแรงและโชกเลือดก็สาดซัดกลับมาราวกับคลื่นสึนามิลูกใหญ่
ตึ่ง ตึ่ง ตึ่ง! โน้ตทุกตัวที่เล่นดูเหมือนจะส่งผลกับราชทูตทั้งหมดอย่างรุนแรง หากเพลงก่อนหน้านี้เป็นเพียงอาหารเรียกน้ำย่อย เพลง ๆ นี้ก็สามารถเรียกได้เลยว่าเป็นที่สุดของค่ำคืนนี้ ! คนทั้งหมดอ้าปากค้างและมองภาพตรงหน้าด้วยลมหายใจที่ติดขัด ปล่อยกายและใจไปกับดนตรีที่ทำให้คลื่นความสุขแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของพวกเขา
คณะนักร้องประสานเสียงเริ่มทำหน้าที่ของตน เพิ่มรสชาติให้กับบทเพลงมากขึ้นกว่าเดิม จังหวะที่รัวเร็วทำให้ชากันนึกถึงช่วงอดีต เขานึกถึงภาพของจักรวรรดิมองโกลที่มีพื้นที่กว้างใหญ่กว่าหลายพันไมล์ ขณะที่กองกำลังสถูปเหล็กของเขาเดินทางผ่านทุ่งราบ กวาดล้างทวีปตะวันออกและยุโรปในยุคสมัยรุ่งโรจน์ของมัน ราชวงศ์ซ่งถูกโค่นล้มและยุคสมัยใหม่ถือกำเนิดขึ้น
ทุกอย่างดูเหมือนจริงจนเขาไม่สามารถแยกระหว่างความทรงจำและโลกแห่งความเป็นจริงได้อีกต่อไป เขาได้ยินเสียงควบม้าดังขึ้นราวกับกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก มันแทบจะเหมือนกับว่าเขาถูกพากลับไปยังยุคสมัยที่กองกำลังทหารของเขารุ่งโรจน์ถึงจุดสูงสุด
ขนบนร่างกายลุกชัน ควบคู่ไปกับภาพมากมายที่ปรากฏขึ้นในหัว หัวใจเต้นรัว ในวินาทีนั้น เขารู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังยืนอยู่บนส่วนยอดของภูเขา มองดูกลุ่มดาวที่ไม่มีที่สิ้นสุดบนท้องฟ้า ทุกอย่างดูยิ่งใหญ่และงดงาม
ภาพการปะทะกันอย่างรุนแรงไม่สามารถเทียบกับภาพการเดินหน้าอย่างกล้าหาญของทหารม้านับหมื่นในตอนที่เขานำกองกำลังสถูปเหล็กไปยังที่ราบตอนกลางของจีนได้เลยแม้แต่น้อย ทว่าทันใดนั้น เนื้อเพลงกลับแฝงไปด้วยความโศกเศร้า ราวกับต้องการจะสื่อว่าความรุ่งโรจน์ที่ได้มานั้นคงอยู่เพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น และภาพความรุ่งโรจน์ของพวกเขากำลังถูกฉีกกระชากออก เผยให้เห็นบาดแผลที่ซ่อนอยู่ภายใน
บทเพลงที่พวกเขาคุ้นเคยดังก้องไปทั่วหอประชุม แต่มันกลับขยายความโศกเศร้าที่แฝงอยู่ภายใต้เนื้อเพลงให้รุนแรงมากกว่าเดิม ท่วงทำนองที่ทำให้สมองตื้อชาดังอยู่ภายในหัวของข้าราชการศักดินาทั้งหมด ปลุกเร้าความรู้สึกที่ผูกติดอยู่กับโศกนาฏกรรมที่เกิดจากสงคราม มันหนักหน่วงและเศร้าเสียใจ แต่มันกลับยิ่งตอกย้ำถึงความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ในขณะที่พวกเขายังมีชีวิต
ขณะที่พวกเขายังคงดำดิ่งอยู่กับท่วงทำนองที่น่าอัศจรรย์ใจ เสียงเครื่องดนตรีที่มีรูปร่างคล้ายฟรุตก็ดังแทรกเข้ามาและเชื่อมต่อกับโน้ตดนตรีทั้งหมดอย่างสมบูรณ์ ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่นและเป็นธรรมชาติ ไม่มีจุดใดที่ขัดหูเลยแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตาม ชากันได้ยินเสียงของโน้ตแต่ละตัวได้อย่างชัดเจน เสียงของฟรุตเปรียบเสมือนกับเสียงร้องของสตรีที่รอคอยการกลับไปของเขา มันคือรอยยิ้มสุดท้ายที่เขาได้เห็นในชีวิต ความคิดของเขาล่องลอยไปไกลแสนไกล แทบจะเหมือนกับว่าเขากำลังล่องลอยอยู่ในดาราจักรที่ไร้ขอบเขต
ตำนานกล่าวว่าดาวแต่ละดวงบนท้องฟ้าคือตัวแทนของนักรบผู้กล้าที่เสียชีวิตในการต่อสู้และขึ้นสู่สรวงสวรรค์ แล้วเขา…เป็นหนึ่งในนั้นด้วยหรือไม่ ?
คลื่นความรู้สึกจากบทเพลงสาดซัดเข้าใส่พวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่า แสดงถึงจุดสูงสุดของบทเพลง สร้างความปั่นป่วนให้กับจิตใจของคนทั้งหมดจนอยากจะร้องไห้ออกมา เนื้อเพลงที่งดงามทำให้เลือดในกายของพวกเขาเดือดพล่าน มันพุ่งตรงเข้าไปที่หัวใจ สร้างความรู้สึกจั๊กจี้ทว่าเจ็บปวดให้กับพวกเขาเมื่อจุดสุดยอดของเพลงพุ่งเข้าหาราวกับรถม้าศึก !
ตึ่ง…ตึ่ง ! เมื่อโน้ตสุดท้ายเงียบลง วาทยกรก็หันไปโค้งคำนับเหล่าผู้ชมอย่างงดงาม ชากันยกมือขึ้นช้า ๆ หายใจออกช้า ๆ โดยที่ดวงตายังคงปิดสนิท เขาเริ่มปรบมืออย่างสุดแรง
มันแทบจะเหมือนกับว่าเขากำลังระบายความรู้สึกอึดอัดทั้งหมดภายในใจออกมา
กองกำลังของเขาเคยยิ่งใหญ่เพียงใดเมื่อครั้งที่ยังมีชีวิต… แต่ตอนนี้เขากลับกลายเป็นเพียงเจ้าศักดินาของดินแดนแห่งป่าไผ่ !
เขาต้องการจะทำอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาจะต้องทำอะไรบางอย่าง ! เขาต้องการความเปลี่ยนแปลง !
เมื่อเขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ และหน้าอกก็กระเพื่อมขึ้นลงอย่างหนักหน่วงขณะที่พยายามข่มความรู้สึกที่พลุ่งพล่านออกมาจากภายในใจ ทั่วทั้งหอประชุมดังก้องไปด้วยเสียงปรบมือ
แต่บทเพลงบทที่สามกลับไม่ให้โอกาสพวกเขาได้หายใจเลยแม้แต่น้อย
เพลง ๆ นี้แตกต่างจากสองเพลงก่อนอย่างสิ้นเชิง หากอธิบายบทเพลงก่อนหน้านี้ว่าเป็นการปะทะกันและการควบม้าอย่างรุนแรง เช่นนั้นเพลงที่เล่นอยู่นี้ก็เปรียบเสมือนกับสายลมรุนแรงที่พัดไปทั่วดินแดน
‘Exodus’
ฟิ้ว…ฟิ้ว ! เสียงสายลมโหยหวนที่ดังขึ้นในตอนต้นของเพลงนั้นแผ่วเบา ทว่าชัดเจน ตามมาติด ๆ ด้วยเสียงทรอมโบนที่ดังขึ้นราวกับต้องการประกาศถึงการมีอยู่ของตนเอง เสียงบทสวดภาษาอียิปต์ดังขึ้นพร้อมกับท่วงทำนองที่หนักหน่วงของเปียโน บ้านเจ้าเงยหน้าขึ้นและมองไปยังเวทีหลักด้วยสายตาที่ลุกโชน
ไม่มีราชทูตคนใดที่อ่อนแอ
พวกเขาแต่ละคนล้วนเป็นแม่ทัพผู้มีชื่อเสียงที่ได้รับชัยชนะมามากมายและได้รับการบันทึกในพงศาวดารประวัติศาสตร์ในฐานะของวีรบุรุษ
บ้านติ้งหยวนนั้นขึ้นชื่อในเรื่องการบริหารดินแดนแถบตะวันตก นี่คือสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาได้รับตำแหน่งเป็นหนึ่งในราชทูตทั้ง 12
น่าเสียดาย แต่รัฐของเขานั้นตั้งอยู่ทางใต้
ดินแดนทางตะวันตก…คือสถานที่ซึ่งใกล้เขามากที่สุด ผู้ใดจะไปคิดว่าเขาจะมาได้ยินมันหลังจากที่ตัวเองตายไปแล้ว แถมยังได้ยินมันในยมโลกอีกด้วย ?
ไม่น่าเชื่อ เสียงเปียโนนี้ทำให้เขานึกถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรมที่ทำให้เขาตกตะลึงเมื่อครั้งแรกที่เขาถูกส่งไปยังดินแดนตะวันตก
ท่วงทำนองของมันไม่ได้บีบคั้นอย่างสองเพลงก่อนหน้านี้ แต่มันกลับทำให้เหล่าผู้ที่ฟังต่างขนลุกไปทั่วร่าง เขาเห็นนักรบผู้กล้าทั้ง 36 คนที่มุ่งหน้าไปยังดินแดนตะวันตกกับตน ทีละคน ๆ พวกเขาช่วยกันสังหารศัตรู ล้มล้างกองกำลังมากมายเพื่อนำความรุ่งโรจน์มาสู่จักรวรรดิจีน
พวกเขาขี่อูฐฝ่าทะเลทราย มองดูเหล่านกกระสาบินข้ามโอเอซิสที่กว้างใหญ่ และฝูงหมาป่าที่ตามรอยเหยื่อของพวกมันในเงาของทุ่งหญ้า ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นภาพที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน ภาพทั้งหมดผุดขึ้นมาในหัวของเขาอีกครั้ง เขาถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อนก่อนจะหลับตาลง
มันไม่ใช่ว่าเขาไม่ต้องการจะนึกถึงสิ่งเหล่านี้
กลับกัน มันเป็นเพียงบทเพลงนี้ที่ทำให้ภายในใจของเขาสุมไปด้วยกองไฟที่ร้อนระอุ
เขาเองก็เช่นกัน รู้สึกอยากจะทำอะไรบางอย่าง ชูดาบขึ้นและตะโกนร้องออกมาสุดเสียง ? บางที… แต่… นั่นอาจจะไม่เพียงพอที่จะตอบสนองต่อความหิวกระหายของเขา
เขาใช้ชีวิตอยู่มานานหลายศตวรรษ ราคาของการเติบโตและเป็นผู้ใหญ่คือความหน้าซื่อใจคด มีผู้คนเพียงไม่มากนักที่จะรู้สึกสบายใจและเผยตัวตนที่แท้จริงของตนออกมาเมื่ออายุมากขึ้น ทุกคนล้วนให้ความสำคัญเกี่ยวกับชื่อเสียง ภาพลักษณ์ สถานะและความสำเร็จของตัวเองทั้งสิ้น
ตึ้ง !!
เมื่อโน้ตตัวสุดท้ายดังขึ้น นักเปียโนบนเวทีเพียงหลับตาลง เพลิดเพลินไปกับเสียงก้องกังวาลของบทเพลงที่ตนเพิ่งได้บรรเลง เขาเองก็ถูกขับเคลื่อนโดยการแสดงที่น่าประทับใจนี้เช่นกัน… อย่างน้อยที่สุดก็จนกระทั่งเสียงปรบมือจากด้านล่างปลุกให้เขาตื่นจากห้วงแห่งอารมณ์
“ไม่เลวเลย” เสียงแหบพร่าดังขึ้น จากนั้นแสงสีเขียวก็ส่องตรงไปที่เวที นักเปียโนมองมันและก็พบว่ามันมีชิ้นส่วนของมรกตปรากฏขึ้นบนเวที ไร้ซึ่งร่องรอยของการเจือปนใด ๆ
“นี่คือรางวัลของท่านบ้านเจ้าสำหรับเจ้า” วิญญาณรับใช้ที่อยู่ข้าง ๆ บ้านเจ้าลุกขึ้นและร้องด้วยเสียงแหลมสูง
ดนตรีที่ซึมซาบถึงจิตใจของผู้ฟัง
นี่ไม่ใช่เรื่องน่าตลกเลยแม้แต่น้อย
พวกเขาจดจำเหตุผลที่ตนมาที่นี่ไม่ได้อีกต่อไป และที่สำคัญกว่านั้น…พวกเขาลืมถึงข้อเท็จจริงที่ว่าพวกตนกำลังอยู่ในยมโลกแห่งใหม่ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วด้วย ! หากพูดกันตามตรง พวกเขาลืมไปแล้วว่าตนจะต้องระมัดระวังกลอุบายที่ฉินเย่อาจจะใช้กับพวกตน บทเพลงที่ร้อนแรงสามบทเพลงได้ทำให้จิตวิญญาณของพวกเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกรักชาติที่เข้มข้น มันปลุกปั่นหัวใจของพวกเขาอย่างรุนแรง ทำให้คนทั้งหมดนึกถึงยุคสมัยของความรุ่งโรจน์ในตอนที่ตนยังมีชีวิต ที่พวกเขาได้ลืมเลือนมันไปนานแล้ว