ฮูหยินใหญ่เฉิงแค้นหัวเราะอยู่ในใจ นี่ตนต้องคอยระวังอารมณ์ของลูกหลานผู้นี้ด้วยหรือ หากนางไม่ได้เป็นบ้าจริงๆ ก็ควรจะรู้ว่าต้องคอยเอาอกเอาใจผู้ใดกันแน่
นางจะแต่งงานกับคนตระกูลใด ใครกันแน่ที่จะคอยช่วยเหลือนางให้มีชีวิตสุขสบายยามไปอยู่กับแม่สามี แม่เลี้ยงหรือท่านป้าก็ล้วนแต่เปรียบเสมือนแม่อีกคนหนึ่งเหมือนกัน ทว่าความเข้มข้นของสายเลือดนั้นแตกต่างกัน
“เจียวเหนียง เจ้าอย่าได้เป็นกังวลไป ปกติแล้วเหล่าฮูหยินก็ไม่ชอบพบปะผู้คนอยู่แล้ว รอท่านป้าของเจ้าไปถามเสียก่อน แล้วเราค่อยว่ากัน”
พอออกจากเรือนของฮูหยินใหญ่เฉิง ฮูหยินรองเฉิงก็รีบอธิบายในทันใด
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
“ฮูหยินไปทำธุระของท่านเถิด” นางเอ่ยพลางกวาดสายตามองรอบกาย “ข้าอยากจะไปเดินเล่นตามลำพังเสียหน่อย”
ฮูหยินรองเฉิงชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มแล้วพยักหน้า
“แม้ในเรือนจะไม่ได้กว้างใหญ่นัก แต่ก็พอมีอะไรให้เที่ยวชมได้บ้าง ให้ข้าไปเป็นเพื่อนเจ้าดีกว่า” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
เฉิงเจียวเหนียงเหลียวไปมองนาง
“ข้าอยาก เดินเล่น ตามลำพัง” นางเอ่ย
กิริยาและคำพูดเช่นนี้นั้นไร้มารยาทนัก ทว่าที่น่าแปลกก็คือฮูหยินรองเฉิงกลับไม่ได้รู้สึกว่าถูกเหยียดหยามแต่อย่างใด ราวกับว่ากิริยาที่เด็กสาวแสดงออกนั้นเป็นสิ่งที่สมควรจะเป็น ไม่ได้รู้สึกว่าไม่เหมาะไม่ควรแต่อย่างใด
“เช่นนั้นก็ได้ เช่นนั้นก็ได้” ฮูหยินรองเฉิงเอ่ยพลางพยักหน้า “เช่นนั้น ข้าจะเรียกให้น้องสาวเจ้าพาออกไปเดินเล่น”
ปั้นฉินขมวดคิ้ว
“ฮูหยิน นายหญิงบอกว่าอยากเดินเล่นตามลำพังเจ้าค่ะ” นางเอ่ย
“เจ้าเพิ่งกลับมาถึงบ้านคงไม่คุ้นชินนัก ให้นางไปเป็นเพื่อนเถิด พวกเจ้าสองพี่น้องจะได้สนิทสนมกัน” ฮูหยินรองเฉิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ปากก็หาเรื่องชวยคุยไม่หยุดหย่อน ก่อนจะเร่งให้แม่นมและสาวใช้เรียกแม่นางเฉิงเจ็ดออกมา
ปั้นฉินอยากจะพูดต่อ ทว่าเฉิงเจียวเหนียงกลับส่ายหัวให้นาง ก่อนจะเดินก้าวไปข้างหน้า
ทันใดปั้นฉินก็โค้งคำนับให้แก่ฮูหยินรองเฉิงก่อนจะเดินตามไป
“ท่านแม่ ท่านดูสิท่าทางนางแปลกพิลึกคนนัก” แม่นางเฉิงหกที่นั่งอยู่โน้มตัวเข้าไปใกล้ฮูหยินใหญ่ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ท่านแม่ อย่าให้นางอยู่ที่เรือนเลย ส่งไปอยู่ที่วัดเต๋าเสียเถิด”
ฮูหยินใหญ่ส่งเสียงรับคำ ก่อนจะยกมือขึ้นนวดขมับแต่ไม่เอ่ยคำใด
“ท่านแม่” แม่นางเฉิงหกเห็นว่าท่านแม่กำลังเหม่อลอยจึงเขย่าแขนเสื้อนางก่อนจะตะโกนวายวาย “รีบไล่นางออกไปเสียที ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่มีหน้าออกไปเจอผู้คน”
“พอได้แล้ว พอได้แล้ว นางจะออกเรือนอยู่แล้ว คราวนี้ไปแล้วไปลับไม่กลับมาแน่นอน” ฮูหยินใหญ่เฉิงเอ่ยอย่างรำคาญใจ
“จริงหรือ” แม่นางเฉิงหกถาม
“จริงน่ะสิ เจ้าออกไปเที่ยวเล่นที่ไหนก็ไป ข้าขอนอนต่ออีกสักพัก แม่เหนื่อยจนทนไม่ไหวแล้ว” ฮูหยินใหญ่เฉิงเอ่ย
แม่นางเฉิงหกเดินออกมาอย่างพึงพอใจ ทว่าฮูหยินใหญ่เฉิงเพิ่งจะล้มตัวลงนอนได้ไม่ทันไร ก็มีเสียงตะโกนของแม่นมมาจากด้านนอกอีกครั้ง
“ฮูหยินหวังมาเจ้าค่ะ”
ฮูหยินใหญ่เฉิงตกใจไม่น้อย โดยเฉพาะยามที่เห็นฮูหยินหวังที่แตกต่างจากคนเมื่อวานลิบลับ
“เจ้าเป็นอะไรไปหรือ สีหน้าดูไม่สู้ดีนัก เมื่อวานเจ้าก็เหนื่อยมาทั้งวัน มีเรื่องอันใดส่งคนมาบอกก็ย่อมได้ เจ้าเป็นอะไรไป” นางเอ่ยถามไม่หยุด
ระยะทางจากทิงโจวมาถึงที่นี่ใช้เวลากว่าครึ่งวัน เมื่อวานยามนางกลับถึงบ้านฟ้าก็คงมืดแล้ว มาถึงที่นี่ยามนี้ได้ก็คงออกเดินทางมาตั้งแต่เช้าตรู่ ไม่แปลกที่สีหน้าจะดูไม่สู้ดีนัก
“หากไม่มา ข้าคงมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้แล้วเจ้าค่ะ” ฮูหยินหวังเอ่ยพลางโบกมือ
ฮูหยินใหญ่เฉิงรีบสั่งให้คนย้ายโต๊ะไม้เตี้ยย้อมสีดำตัวนั้นเข้ามาใกล้ ฮูหยินหวังเอนกายพิงโต๊ะเพียงครู่ลมหายใจจึงกลับมาเป็นปกติ
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่” ฮูหยินใหญ่เฉิงถามอย่างร้อนรน
“ท่านพี่ เมื่อคืนวานทั้งเรือนข้าตกใจกันแทบตาย” ฮูหยินหวังเอ่ย “ชายสิบเจ็ด…”
นางเอ่ยเพียงเท่านั้นก็ยกหน้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตา
ฮูหยินใหญ่เฉิงตกใจเหยียดหลังตรง
“ชายสิบเจ็ดเป็นอะไรไปหรือ” ฮูหยินใหญ่เฉิงร้องตะโกน
“เขาเกือบตายแล้วเจ้าค่ะ” ฮูหยินหวังตอบ
“เกิดอะไรขึ้น ป่วยหรือ ป่วยใช่หรือไม่ หรือว่าเหนื่อยล้า ข้าบอกแล้วว่าอย่าให้เขาไปเมืองหลวงเลย เจ้าก็ไม่ฟัง…” ฮูหยินใหญ่เฉิงชะงักไปก่อนจะเอ่ยทั้งน้ำตา “หลานน้อยของข้า…”
เห็นนางเช่นนั้น ฮูหยินหวังก็หยุดร้องไห้มาปลอบนางเสียแทน
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ เคราะห์ดีที่ยังช่วยไว้ทัน” นางเอ่ย
“ใครก็ได้เข้ามาที เตรียมรถ ข้าจะไปดูชายสิบเจ็ดที่เรือนเจ้า…” ฮูหยินใหญ่เฉิงเช็ดน้ำตาพลางลุกยืนขึ้น
ฮูหยินหวังรีบรั้งนางไว้ในทันที
“ท่านพี่ ไม่จำเป็นหรอกเจ้าค่ะ ท่านไม่ต้องไปเยี่ยมเขาหรอก ขอแค่ท่านรับปากข้าเรื่องหนึ่ง ชายสิบเจ็ดก็หายดีแล้ว” นางเอ่ย
ฮูหยินใหญ่เฉิงจ้องมองนาง
“เรื่องอันใด เจ้ารีบพูดมาสิ ไม่ใช่แค่เรื่องเดียว จะร้อยเรื่องพันเรื่องข้าก็รับปากทั้งนั้น” นางเอ่ยอย่างร้อนใจ
ทว่ายังไม่ทันได้พูดจบ ก็มีแม่นมวิ่งเข้ามาจากด้านนอก ขัดจังหวะนางที่กำลังจะพูด
“ฮูหยิน ฮูหยิน มีคนมาขอพบเจ้าค่ะ” นางเอ่ย สีหน้าดูแปลกประหลาด แถมในมือยังกำกระดาษไว้หนึ่งแผ่น
“ผู้ใดกัน” ฮูหยินใหญ่เฉิงถามอย่างไม่สบอารมณ์นัก “ข้าไม่พบ”
ในเมืองเจียงโจวแห่งนี้คงมีนางเท่านั้นที่จะยอมให้ผู้ใดเข้าพบได้ตามใจตนเช่นนี้
“คนผู้นั้นบอกว่ามาจากเมืองหลวงเจ้าค่ะ ตระกูลฉินอะไรสักอย่าง” แม่นมครุ่นคิดอยู่หนึ่งก่อนจะบอกไป นางอ่านหนังสือบนกระดาษไม่ออก คนที่มาก็พูดชื่อแซ่เสียยาวเป็นหางว่าว นางเองก็จำไม่ได้ รู้เพียงแค่ว่ามาจากเมืองหลวง ก็คงมาจากตระกูลใหญ่โตกระมัง
ตระกูลฉินอย่างนั้นหรือ ไม่เห็นจะรู้จัก ฮูหยินใหญ่เฉิงโบกมืออย่างหงุดหงิด
“จากจวนองค์หญิงตระกูลฉินหรือ” ฮูหยินหวังดึงมือนางไว้ก่อนจะหันไปถามแม่นม
จวนองค์หญิงหรือ
ความหมายของคำว่าองค์หญิงนั้นฮูหยินใหญ่เฉิงเข้าใจดี พอได้ยินดังนั้นก็ชะงักไปครู่หนึ่ง
“เอามาให้ข้าดูซิ” ฮูหยินหวังยื่นมือออกไปแล้วเอ่ยขึ้น
แม่นมรีบยื่นให้ในทันที ฮูหยินหวังเปิดอ่าน สีหน้าตื่นตะลึงแทบไม่เชื่อสิ่งที่ได้เห็นตรงหน้า
“จริงหรือ” ฮูหยินใหญ่เฉิงถาม “แล้วพวกเขาคือผู้ใด มาหานายใหญ่หรือ”
แม่นมสีหน้าพิลึกเสียยิ่งกว่าเดิม
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ พวกนางบอกว่ามาหาญาติผู้ใหญ่ของเฉิงเจียวเหนียงเจ้าค่ะ” นางตอบ
ตอนแรกนางเองก็มึนงงไม่น้อย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเฉิงเจียวเหนียงคือผู้ใด จนแม่นมอีกนางเอ่ยบอกถึงจะนึกออกในทันใด
“มาหาญาติผู้ใหญ่ของนางอย่างนั้นหรือ” ฮูหยินใหญ่เฉิงถามอย่างตกตะลึงก่อนจะยิ้มออกมา พูดถึงเฉิงเจียวเหนียง แถมยังบอกว่าจะมาพบญาติผู้ใหญ่ จะเป็นเรื่องอันใดไปได้อีก นอกเสียจากเรื่องสู่ขอหมั้นหมายกับแม่นางผู้นี้
คิดไว้อยู่แล้วว่าต้องมาไม้นี้
“คนของตระกูลโจวส่งมาละสิท่า ให้พวกนางรอก่อน…” ฮูหยินใหญ่เฉิงเอ่ยเสียงเย้ยหยัน
แม่นมขานรับก่อนจะออกไป
ฮูหยินใหญ่เฉิงเหลียวไปมองฮูหยินหวัง ทว่าฮูหยินหวังกลับเอาแต่เหม่อลอย
“เป็นอันใดไปหรือ” ฮูหยินใหญ่เฉิงถามแล้วยิ้มออกมา “ไม่ต้องกังวลไป ก็แต่ฝูงมดจะต้านแรงลมได้อย่างไร”
ฮูหยินหวังเพิ่งได้สติก่อนจะยิ้มเจื่อนออกมา
“เรื่องของชายสิบเจ็ดของเราสำคัญกว่า” ฮูหยินใหญ่เฉิงพูดต่อ “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าอยากจะให้ข้ารับปากเรื่องใดหรือ”
ฮูหยินหวังมองนางก่อนสีหน้าจะเปลี่ยนไปในทันใด
“ขอท่านช่วยรับปาก… ภายในเดือนนี้… ช่วยจัดการหมั้นหมายเฉิงเจียวเหนียงกับชายสิบเจ็ดให้เรียบร้อยด้วยเถิด…” นางเอ่ยอย่างเชื่องช้า ราวกับคำพูดแต่ละคำนั้นพูดออกมาอย่างยากลำบาก