บทที่ 333.1 ผู้มาเยือน (1)

พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง

ท้องฟ้าเริ่มทอแสง ควันธูปอบอวลไปทั่ววัดเสวียนเมี่ยวที่ตั้งอยู่ตีนเขาเสวียนเมี่ยวนอกเมือง เสียงสวดมนต์ดังขึ้นไม่ขาดสาย

วัดเต๋าแห่งนี้ผ่านการบูรณะซ่อมแซมมาอย่างเห็นได้ชัด หน้าประตูวัดมีรถม้าจอดเรียงราย

เทศนายามเช้าสิ้นสุดลง เจ้าอาวาสวัดเดินออกมาจากวิหาร ด้านหลังมีผู้ศรัทธาหญิงชายมากมาย ก่อนจะพากันยกมือคำนับเอ่ยลา

“ศรัทธาทั้งหลายเชิญทางนี้”

นักบวชน้อยสองคนที่ยืนอยู่ด้านข้างมาก่อนหน้าแล้วเอ่ยขึ้น พลางผายมือนำทาง

“น้ำชาและของว่างพร้อมแล้ว”

ทุกคนพูดคุยหัวเราะกันพลางเดินตามเด็กน้อยไปยังด้านหลังวิหาร ส่วนเหล่าชายหญิงมากมายที่ยืนรอเดินเข้าไป ก่อนจะคำนับให้แก่เจ้าอาวาสอย่างพร้อมเพรียง

“น้ำชาและของว่างวันนี้พร้อมแล้ว ท่านทั้งหลายต่อแถวเรียงลำดับแล้วตามข้ามา” เด็กสองคนเดินมาถึงหลังวิหารแล้วเอ่ยขึ้น

เหล่าชายหญิงยิ้มแย้มดีใจแล้วพากันเดินตามพวกเขาไป

เจ้าอาวาสซุนยืนมองดูวัดเต๋าอยู่ที่ริมระเบียง กระเบื้องบนพื้นถูกปูใหม่ ต้นไม้ใหญ่ก็รายล้อมไปด้วยกระเบื้องและก้อนหิน ใบไม้ผลัดใบจนหมดต้น เด็กน้อยสามคนกำลังถือไม้กวาดขึ้นมาปัดกวาดบริเวณโดยรอบ

ยามนี้วัดเสวียนเมี่ยวนั้นอบอวลไปด้วยควันธูป มีผู้คนมาแวะเวียนมากมาย ไม่ได้เงียบเหงาเหมือนดังก่อน

เจ้าอาวาสซุนสะบัดพู่หางม้าไปมา ก่อนจะมุ่งหน้าเดินออกไปนอกประตูวัด ถนนบนเขาเริ่มมีผู้คนเดินประปราย เพราะชื่อเสียงของวัดเสวียนเมี่ยว จึงมีผู้คนมาเที่ยวชมเขาเสวียนเมี่ยวมากขึ้นกว่าแต่ก่อน เหล่าพ่อค้าแม่ค้าที่หอบตะกร้าขายของหน้าวัดเสวียนเมี่ยวก็มีมากขึ้นเช่นกัน

พวกเขาคือชาวบ้านที่อาศัยอยู่ละแวกนั้น ทำขนมแป้งทอด ชาร้อนและถั่วต่างๆ มาขาย เพราะใช่ว่าทุกคนจะมีโอกาสได้กินขนมและน้ำชาของวัดเสวียนเมี่ยว เหล่าผู้คนที่เดินเที่ยวจนเหน็ดเหนื่อยมักจะซื้อของกินง่ายๆ เพื่อคลายความหิว จึงกลายเป็นอีกหนึ่งช่องทางทำมาหากินของชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียง

“อรุณสวัสดิ์ ท่านเซียนหญิง”

“สวัสดี ท่านเซียนหญิง”

พอเห็นเจ้าอาวาส เหล่าผู้คนก็พากันคำนับพร้อมเอ่ยทักทาย

บรรยากาศที่เกิดขึ้นนั้นช่างแสนผ่อนคลาย ราวกับว่าเป็นเช่นนี้มานานแสนนาน แม้แต่เจ้าอาวาสเองก็จำไม่ได้แล้วว่าเมื่อปีก่อนนั้นเป็นเช่นไร ยามนั้นน้อยครั้งนักที่เหล่าเซียนหญิงของวัดเสวียนเมี่ยวจะก้าวออกนอกประตู เพราะเกรงว่าจะถูกด่าทอหรือปาหินใส่ เนื่องจากเข้าใจผิดว่ามาว่าจากวัดเสวียนเมี่ยวน้อยบนยอดเขา

เจ้าอาวาสยิ้มพลางคำนับกลับทีละคน ด้านหลังมีเด็กน้อยอีกสองคนที่ติดตามนางเดินขึ้นเขาไป ก่อนจะมองเห็นวัดเล็กๆ ที่แอบซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางโขดหินและแมกไม้ที่อยู่ไกลออกไป

“เจ้าอาวาส”

เซียนหญิงสองคนเปิดประตูออก ก่อนจะเข้ามาคำนับต้อนรับ

เจ้าอาวาสมองป้ายที่แขวนอยู่ด้านบนจากนั้นจึงก้าวเท้าเข้าไป

“ช่วงนี้อากาศชื้นนัก ได้เผาพวกไส้เดือนที่เข้าไปอยู่ในเรือนของนายหญิงแล้วหรือไม่” นางเอ่ยถาม

“เผาแล้วเจ้าค่ะ” เซียนหญิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ผ้าห่มก็นำออกมาตากทุกวันเจ้าค่ะ”

เจ้าอาวาสพยักหน้า พอเดินมาถึงกลางโถงก็ได้ยินเสียงร้องตะโกนมาจากด้านนอก

“ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์!”

ทั้งห้าคนเหลียวกลับไปมอง ก็เห็นเด็กน้อยคนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา พร้อมกับตะกร้าหวายที่สะพายอยู่บนหลัง

“เจ้าเข้าเมืองไปแล้วมิใช่หรือ เหตุใดถึงได้กลับมาเร็วนัก” เซียนหญิงนางหนึ่งถามอย่างตกใจ

เด็กน้อยผู้นั้นค้ำมือไว้กับหัวเข่า หายใจหอบกระชั้น

“ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ กลับ… กลับมาแล้ว…” นางเอ่ย

ทั้งห้าขมวดคิ้วมองนาง

“ไม่ใช่ ไม่ใช่ ท่านอาจารย์ แม่นางเฉิงกลับมาแล้วเจ้าค่ะ” เด็กน้อยหอบหายใจก่อนจะยืนตัวตรงแล้วเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม

“จริงหรือ” พวกนางถามเป็นเสียงเดียวกัน

“จริงเจ้าค่ะ ข้าได้ยินมาตอนไปซื้อข้าวสาร ก็เลยไปถามที่หน้าเรือนตระกูลเฉิงโดยตรง พวกเขาบอกว่ากลับมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ยามนี้ชาวเมืองล่ำลือกันไปทั่วแล้วเจ้าค่ะ…” เด็กน้อยเอ่ยอย่างดีอกดีใจ “ข้าไม่ทันได้ซื้อข้าวสารด้วยซ้ำ รีบวิ่งกลับมาบอกก่อน…”

ชาวเมืองล่ำลือกันไปทั่วแล้วอย่างนั้นหรือ

เจ้าอาวาสตกตะลึงไม่น้อย

“ล่ำลือกันว่าอย่างไร” นางถาม

“บอกว่า… นายหญิงไม่ได้บ้าแล้วเจ้าค่ะ…” เด็กน้อยตอบ

เจ้าอาวาสหัวเราะ

“เรื่องนั้นยังต้องให้บอกอีกหรือ” นางเอ่ยพลางสะบัดพู่หางม้าก่อนจะหันหลังเดินกลับไป

แต่ไหนแต่ไรก็ไม่ได้บ้าอยู่แล้ว

ยามฟ้าสว่าง ความเงียบสงบในเรือนของฮูหยินใหญ่เฉิงก็ถูกทำลายลง

“ท่านแม่ ท่านแม่”

เสียงของแม่นางเฉิงหกดังลอยมาจากด้านนอก

ฮูหยินใหญ่เฉิงที่นอนอยู่บนเตียงยกมือขึ้นมานวดขมับทั้งที่ยังหลับตาอยู่

“ท่านแม่ เมื่อวานคนบ้านั่นมาหาท่าน… เอ๊ะ ท่านแม่ เหตุใดสีหน้าถึงได้แย่นัก ท่านป่วยหรือ เหตุในถึงยังไม่ตื่นอีกเจ้าคะ”

แม่นางเฉิงหกเอ่ยพลางเดินเข้าไปใกล้ ก่อนจะยกมือขึ้นอังหน้าผากของท่านแม่

“เปล่า” ฮูหยินใหญ่เฉิงเอ่ยพลางปัดมือของนางออก “ข้าเหนื่อย”

เด็กคนนั้นเพิ่งมาถึงได้วันเดียว นางก็รู้สึกเหนื่อยล้าจนแทบทนไม่ไหวแล้ว

ฮูหยินรองเฉิงก็วางแผนลับลมคมใน เหล่าฮูหยินเฉิงก็โวยวายจะหนีออกจากบ้าน เมื่อวานนางแทบจะไม่ได้นอนเลยด้วยซ้ำ

“ท่านแม่ เมื่อวานคนบ้ามาคุยกับท่านเรื่องอะไรหรือ” แม่นางเฉิงหกถาม

“นางไม่ได้มาพบข้า นางมาพบท่านพ่อของเจ้าต่างหาก” ฮูหยินใหญ่เฉิงเอ่ย

พอสิ้นเสียง แม่นมก็เดินเข้ามารายงานว่าฮูหยินรองเฉิงพาเฉียงเจียวเหนียงมาพบ

“บอกพวกนางว่านายใหญ่ยังไม่กลับมา” ฮูหยินใหญ่เฉิงเอ่ย

ไม่นานฮูหยินรองเฉิงก็เดินเข้ามาพร้อมกับเสียงหัวเราะ

แม่นางเฉิงหกนั่งหลังเหยียดตรง สายตาจ้องมองไปที่เฉิงเจียวเหนียงที่อยู่ด้านหลังฮูหยินรองเฉิง

ไม่รู้ว่านางกินอะไรเข้า ทั้งๆ ที่อายุมากกว่านางเพียงแค่สองปีเท่านั้น เหตุใดถึงตัวสูงกว่าฮูหยิน รองเฉิงเสียอีก

“สะใภ้ใหญ่ ข้าไม่ได้มาพบนายใหญ่หรอกเจ้าค่ะ” ฮูหยินรองเฉิงนั่งลงพลางเอ่ยขึ้น “ข้าอยากจะพาเฉิงเจียวเหนียงไปพบเหล่าฮูหยิน”

ฮูหยินใหญ่เฉิงแค่นหัวเราะอยู่ในใจ ก่อนจะมองไปที่ฮูหยินรองเฉิง

เหล่าฮูหยินคือแม่สามีของตน แล้วก็เป็นแม่สามีของนางเช่นกัน นางอยากจะไปพบก็ไปสิ ตนจะไปเจ้ากี้เจ้าการอะไรนางได้

ทว่าคำพูดเหล่านี้เป็นเพียงแค่ความคิดในหัวของนาง นางรู้ดีว่าหากพูดออกไป ฮูหยินรองเฉิงต้องพาเด็กบ้านั่นไปพบเหล่าฮูหยินในทันที

ฮูหยินรองเฉิงไม่รู้จริงๆ หรือว่าเหล่าฮูหยินไม่อยากได้ยินแม้แต่ชื่อของเด็กบ้านางนี้เสียด้วยซ้ำ หากพาไปพบจริงคงจะโมโหเป็นฟืนเป็นไฟน่าดู พอเหล่าฮูหยินโมโหแล้ว ฮูหยินรองเฉิงก็คงเจ็บช้ำน้ำใจหวาดกลัวแล้วก็กล่าวโทษนางแน่นอน

เป็นเพราะสะใภ้ให้ข้าพานางมาพบ…

นางคงตัดพ้ออย่างน่าสงสาร จากนั้นเหล่าฮูหยินก็ต้องด่าทอตนยกใหญ่อย่างแน่นอน

ทว่าหากตนบอกว่าไม่ให้ไป นางก็คงบอกกับเด็กบ้านั่นว่า ไม่ใช่ว่านางไม่อยากพาไปพบ แต่ท่านป้าไม่ให้เจ้าไป เพราะท่านป้าไม่ชอบเจ้า

เอาเป็นว่าไม่ว่าจะพูดอย่างไร สุดท้ายแล้วคนที่ได้ดีก็คือนาง ส่วนตนก็กลายเป็นผู้ร้าย

ฮูหยินใหญ่เฉิงมองฮูหยินรองเฉิงด้วยสีหน้าซับซ้อน

แปลกจริง เหตุใดแต่ก่อนนางถึงได้รู้สึกว่าน้องสะใภ้ผู้นี้ช่างอ่อนโยนน่าเอ็นดูเสียเหลือเกิน

“อย่าไปเลย” ฮูหยินใหญ่เฉิงเอ่ย

เป็นดังที่คาดไว้ไม่มีผิด ฮูหยินรองเฉิงเหลียวไปมองเฉิงเจียวเหนียง

“ไว้รอวันที่สะดวกกว่านี้ก็แล้วกัน” ฮูหยินรองเฉิงเอ่ยปลอบ

สีหน้าของเฉิงเจียวเหนียงยังคงเรียบเฉยดังเดิม นางไม่ได้เอ่ยทักท้วงอันใด