ท้องฟ้าเริ่มทอแสง ควันธูปอบอวลไปทั่ววัดเสวียนเมี่ยวที่ตั้งอยู่ตีนเขาเสวียนเมี่ยวนอกเมือง เสียงสวดมนต์ดังขึ้นไม่ขาดสาย
วัดเต๋าแห่งนี้ผ่านการบูรณะซ่อมแซมมาอย่างเห็นได้ชัด หน้าประตูวัดมีรถม้าจอดเรียงราย
เทศนายามเช้าสิ้นสุดลง เจ้าอาวาสวัดเดินออกมาจากวิหาร ด้านหลังมีผู้ศรัทธาหญิงชายมากมาย ก่อนจะพากันยกมือคำนับเอ่ยลา
“ศรัทธาทั้งหลายเชิญทางนี้”
นักบวชน้อยสองคนที่ยืนอยู่ด้านข้างมาก่อนหน้าแล้วเอ่ยขึ้น พลางผายมือนำทาง
“น้ำชาและของว่างพร้อมแล้ว”
ทุกคนพูดคุยหัวเราะกันพลางเดินตามเด็กน้อยไปยังด้านหลังวิหาร ส่วนเหล่าชายหญิงมากมายที่ยืนรอเดินเข้าไป ก่อนจะคำนับให้แก่เจ้าอาวาสอย่างพร้อมเพรียง
“น้ำชาและของว่างวันนี้พร้อมแล้ว ท่านทั้งหลายต่อแถวเรียงลำดับแล้วตามข้ามา” เด็กสองคนเดินมาถึงหลังวิหารแล้วเอ่ยขึ้น
เหล่าชายหญิงยิ้มแย้มดีใจแล้วพากันเดินตามพวกเขาไป
เจ้าอาวาสซุนยืนมองดูวัดเต๋าอยู่ที่ริมระเบียง กระเบื้องบนพื้นถูกปูใหม่ ต้นไม้ใหญ่ก็รายล้อมไปด้วยกระเบื้องและก้อนหิน ใบไม้ผลัดใบจนหมดต้น เด็กน้อยสามคนกำลังถือไม้กวาดขึ้นมาปัดกวาดบริเวณโดยรอบ
ยามนี้วัดเสวียนเมี่ยวนั้นอบอวลไปด้วยควันธูป มีผู้คนมาแวะเวียนมากมาย ไม่ได้เงียบเหงาเหมือนดังก่อน
เจ้าอาวาสซุนสะบัดพู่หางม้าไปมา ก่อนจะมุ่งหน้าเดินออกไปนอกประตูวัด ถนนบนเขาเริ่มมีผู้คนเดินประปราย เพราะชื่อเสียงของวัดเสวียนเมี่ยว จึงมีผู้คนมาเที่ยวชมเขาเสวียนเมี่ยวมากขึ้นกว่าแต่ก่อน เหล่าพ่อค้าแม่ค้าที่หอบตะกร้าขายของหน้าวัดเสวียนเมี่ยวก็มีมากขึ้นเช่นกัน
พวกเขาคือชาวบ้านที่อาศัยอยู่ละแวกนั้น ทำขนมแป้งทอด ชาร้อนและถั่วต่างๆ มาขาย เพราะใช่ว่าทุกคนจะมีโอกาสได้กินขนมและน้ำชาของวัดเสวียนเมี่ยว เหล่าผู้คนที่เดินเที่ยวจนเหน็ดเหนื่อยมักจะซื้อของกินง่ายๆ เพื่อคลายความหิว จึงกลายเป็นอีกหนึ่งช่องทางทำมาหากินของชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียง
“อรุณสวัสดิ์ ท่านเซียนหญิง”
“สวัสดี ท่านเซียนหญิง”
พอเห็นเจ้าอาวาส เหล่าผู้คนก็พากันคำนับพร้อมเอ่ยทักทาย
บรรยากาศที่เกิดขึ้นนั้นช่างแสนผ่อนคลาย ราวกับว่าเป็นเช่นนี้มานานแสนนาน แม้แต่เจ้าอาวาสเองก็จำไม่ได้แล้วว่าเมื่อปีก่อนนั้นเป็นเช่นไร ยามนั้นน้อยครั้งนักที่เหล่าเซียนหญิงของวัดเสวียนเมี่ยวจะก้าวออกนอกประตู เพราะเกรงว่าจะถูกด่าทอหรือปาหินใส่ เนื่องจากเข้าใจผิดว่ามาว่าจากวัดเสวียนเมี่ยวน้อยบนยอดเขา
เจ้าอาวาสยิ้มพลางคำนับกลับทีละคน ด้านหลังมีเด็กน้อยอีกสองคนที่ติดตามนางเดินขึ้นเขาไป ก่อนจะมองเห็นวัดเล็กๆ ที่แอบซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางโขดหินและแมกไม้ที่อยู่ไกลออกไป
“เจ้าอาวาส”
เซียนหญิงสองคนเปิดประตูออก ก่อนจะเข้ามาคำนับต้อนรับ
เจ้าอาวาสมองป้ายที่แขวนอยู่ด้านบนจากนั้นจึงก้าวเท้าเข้าไป
“ช่วงนี้อากาศชื้นนัก ได้เผาพวกไส้เดือนที่เข้าไปอยู่ในเรือนของนายหญิงแล้วหรือไม่” นางเอ่ยถาม
“เผาแล้วเจ้าค่ะ” เซียนหญิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ผ้าห่มก็นำออกมาตากทุกวันเจ้าค่ะ”
เจ้าอาวาสพยักหน้า พอเดินมาถึงกลางโถงก็ได้ยินเสียงร้องตะโกนมาจากด้านนอก
“ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์!”
ทั้งห้าคนเหลียวกลับไปมอง ก็เห็นเด็กน้อยคนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา พร้อมกับตะกร้าหวายที่สะพายอยู่บนหลัง
“เจ้าเข้าเมืองไปแล้วมิใช่หรือ เหตุใดถึงได้กลับมาเร็วนัก” เซียนหญิงนางหนึ่งถามอย่างตกใจ
เด็กน้อยผู้นั้นค้ำมือไว้กับหัวเข่า หายใจหอบกระชั้น
“ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ กลับ… กลับมาแล้ว…” นางเอ่ย
ทั้งห้าขมวดคิ้วมองนาง
“ไม่ใช่ ไม่ใช่ ท่านอาจารย์ แม่นางเฉิงกลับมาแล้วเจ้าค่ะ” เด็กน้อยหอบหายใจก่อนจะยืนตัวตรงแล้วเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม
“จริงหรือ” พวกนางถามเป็นเสียงเดียวกัน
“จริงเจ้าค่ะ ข้าได้ยินมาตอนไปซื้อข้าวสาร ก็เลยไปถามที่หน้าเรือนตระกูลเฉิงโดยตรง พวกเขาบอกว่ากลับมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ยามนี้ชาวเมืองล่ำลือกันไปทั่วแล้วเจ้าค่ะ…” เด็กน้อยเอ่ยอย่างดีอกดีใจ “ข้าไม่ทันได้ซื้อข้าวสารด้วยซ้ำ รีบวิ่งกลับมาบอกก่อน…”
ชาวเมืองล่ำลือกันไปทั่วแล้วอย่างนั้นหรือ
เจ้าอาวาสตกตะลึงไม่น้อย
“ล่ำลือกันว่าอย่างไร” นางถาม
“บอกว่า… นายหญิงไม่ได้บ้าแล้วเจ้าค่ะ…” เด็กน้อยตอบ
เจ้าอาวาสหัวเราะ
“เรื่องนั้นยังต้องให้บอกอีกหรือ” นางเอ่ยพลางสะบัดพู่หางม้าก่อนจะหันหลังเดินกลับไป
แต่ไหนแต่ไรก็ไม่ได้บ้าอยู่แล้ว
ยามฟ้าสว่าง ความเงียบสงบในเรือนของฮูหยินใหญ่เฉิงก็ถูกทำลายลง
“ท่านแม่ ท่านแม่”
เสียงของแม่นางเฉิงหกดังลอยมาจากด้านนอก
ฮูหยินใหญ่เฉิงที่นอนอยู่บนเตียงยกมือขึ้นมานวดขมับทั้งที่ยังหลับตาอยู่
“ท่านแม่ เมื่อวานคนบ้านั่นมาหาท่าน… เอ๊ะ ท่านแม่ เหตุใดสีหน้าถึงได้แย่นัก ท่านป่วยหรือ เหตุในถึงยังไม่ตื่นอีกเจ้าคะ”
แม่นางเฉิงหกเอ่ยพลางเดินเข้าไปใกล้ ก่อนจะยกมือขึ้นอังหน้าผากของท่านแม่
“เปล่า” ฮูหยินใหญ่เฉิงเอ่ยพลางปัดมือของนางออก “ข้าเหนื่อย”
เด็กคนนั้นเพิ่งมาถึงได้วันเดียว นางก็รู้สึกเหนื่อยล้าจนแทบทนไม่ไหวแล้ว
ฮูหยินรองเฉิงก็วางแผนลับลมคมใน เหล่าฮูหยินเฉิงก็โวยวายจะหนีออกจากบ้าน เมื่อวานนางแทบจะไม่ได้นอนเลยด้วยซ้ำ
“ท่านแม่ เมื่อวานคนบ้ามาคุยกับท่านเรื่องอะไรหรือ” แม่นางเฉิงหกถาม
“นางไม่ได้มาพบข้า นางมาพบท่านพ่อของเจ้าต่างหาก” ฮูหยินใหญ่เฉิงเอ่ย
พอสิ้นเสียง แม่นมก็เดินเข้ามารายงานว่าฮูหยินรองเฉิงพาเฉียงเจียวเหนียงมาพบ
“บอกพวกนางว่านายใหญ่ยังไม่กลับมา” ฮูหยินใหญ่เฉิงเอ่ย
ไม่นานฮูหยินรองเฉิงก็เดินเข้ามาพร้อมกับเสียงหัวเราะ
แม่นางเฉิงหกนั่งหลังเหยียดตรง สายตาจ้องมองไปที่เฉิงเจียวเหนียงที่อยู่ด้านหลังฮูหยินรองเฉิง
ไม่รู้ว่านางกินอะไรเข้า ทั้งๆ ที่อายุมากกว่านางเพียงแค่สองปีเท่านั้น เหตุใดถึงตัวสูงกว่าฮูหยิน รองเฉิงเสียอีก
“สะใภ้ใหญ่ ข้าไม่ได้มาพบนายใหญ่หรอกเจ้าค่ะ” ฮูหยินรองเฉิงนั่งลงพลางเอ่ยขึ้น “ข้าอยากจะพาเฉิงเจียวเหนียงไปพบเหล่าฮูหยิน”
ฮูหยินใหญ่เฉิงแค่นหัวเราะอยู่ในใจ ก่อนจะมองไปที่ฮูหยินรองเฉิง
เหล่าฮูหยินคือแม่สามีของตน แล้วก็เป็นแม่สามีของนางเช่นกัน นางอยากจะไปพบก็ไปสิ ตนจะไปเจ้ากี้เจ้าการอะไรนางได้
ทว่าคำพูดเหล่านี้เป็นเพียงแค่ความคิดในหัวของนาง นางรู้ดีว่าหากพูดออกไป ฮูหยินรองเฉิงต้องพาเด็กบ้านั่นไปพบเหล่าฮูหยินในทันที
ฮูหยินรองเฉิงไม่รู้จริงๆ หรือว่าเหล่าฮูหยินไม่อยากได้ยินแม้แต่ชื่อของเด็กบ้านางนี้เสียด้วยซ้ำ หากพาไปพบจริงคงจะโมโหเป็นฟืนเป็นไฟน่าดู พอเหล่าฮูหยินโมโหแล้ว ฮูหยินรองเฉิงก็คงเจ็บช้ำน้ำใจหวาดกลัวแล้วก็กล่าวโทษนางแน่นอน
เป็นเพราะสะใภ้ให้ข้าพานางมาพบ…
นางคงตัดพ้ออย่างน่าสงสาร จากนั้นเหล่าฮูหยินก็ต้องด่าทอตนยกใหญ่อย่างแน่นอน
ทว่าหากตนบอกว่าไม่ให้ไป นางก็คงบอกกับเด็กบ้านั่นว่า ไม่ใช่ว่านางไม่อยากพาไปพบ แต่ท่านป้าไม่ให้เจ้าไป เพราะท่านป้าไม่ชอบเจ้า
เอาเป็นว่าไม่ว่าจะพูดอย่างไร สุดท้ายแล้วคนที่ได้ดีก็คือนาง ส่วนตนก็กลายเป็นผู้ร้าย
ฮูหยินใหญ่เฉิงมองฮูหยินรองเฉิงด้วยสีหน้าซับซ้อน
แปลกจริง เหตุใดแต่ก่อนนางถึงได้รู้สึกว่าน้องสะใภ้ผู้นี้ช่างอ่อนโยนน่าเอ็นดูเสียเหลือเกิน
“อย่าไปเลย” ฮูหยินใหญ่เฉิงเอ่ย
เป็นดังที่คาดไว้ไม่มีผิด ฮูหยินรองเฉิงเหลียวไปมองเฉิงเจียวเหนียง
“ไว้รอวันที่สะดวกกว่านี้ก็แล้วกัน” ฮูหยินรองเฉิงเอ่ยปลอบ
สีหน้าของเฉิงเจียวเหนียงยังคงเรียบเฉยดังเดิม นางไม่ได้เอ่ยทักท้วงอันใด