บทที่ 332 สนทนายามค่ำคืน

พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง

ลมราตรีโบกพัด สาวใช้รีบก้าวเดินไปปิดบานหน้าต่างลง

“ฮูหยิน จัดเตียงเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ” แม่นมเดินออกมาจากในห้องแล้วพูดขึ้น “ผ้าห่มของแม่นางเฉิงเจ็ดก็นำมาแล้วเจ้าค่ะ”

ฮูหยินรองเฉิงพยักหน้ารับ

“แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น” นางพูดกับแม่นางเฉิงเจ็ด

แม่นางเฉิงเจ็ดที่อาบน้ำเปลี่ยนชุดนอนปล่อยผมสยายหัวเราะชอบใจ

“เช่นนั้นวันหน้าท่านแม่ก็ห้ามตีข้าเพราะผู้อื่นอีกเด็ดขาด” นางเอ่ย

ฮูหยินมองนางตาขวางแสร้งทำเป็นไม่พอใจ

ประตูถูกเปิดออก แม่นมสองนางยกกล่องอาหารเดินเข้ามา

“แม่นางเจ็ด กินของว่างยามดึกเถิดเจ้าค่ะ” พวกนางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

กลิ่นหอมอ่อนๆ อบอวลไปทั่วห้อง

“ท่านแม่ ท่านแม่รักข้าที่สุดใช่หรือไม่”

แม่นางเฉิงเจ็ดเงยหน้าขึ้นมาถาม พลางหยิบช้อนเพื่อเตรียมลงมือกินของว่างยามดึก

ฮูหยินรองเฉิงที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะภายใต้แสงไฟส่งยิ้มให้ ก่อนจะยื่นมือออกไปบิดจมูกนางเบาๆ

“จะไม่ใช่ได้อย่างไร” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นเช่นนั้น และจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป”

แม่นางเฉิงเจ็ดหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อ นางย่นจมูกก่อนจะหัวเราะออกมา จากนั้นจึงอ้าปากกินคำโต

“หญิงเจ็ดคงไม่เข้าใจ ที่แม่ทำเช่นนี้ก็เพื่อเจ้าทั้งนั้น” ฮูหยินรองเฉิงเอ่ยพลางทอดถอนใจ

“ทำเพื่อข้า ก็เลยต้องทำดีกับผู้อื่นอย่างนั้นหรือ” แม่นางเฉิงเจ็ดไม่พอใจ ยู่ปากขมุบขมิบก่อนจะเอ่ยว่า “หญิงเจ็ดไม่เข้าใจเจ้าค่ะ”

“เด็กโง่เอ๋ย” ฮูหยินรองเฉิงเอ่ยแล้วยื่นมือออกไปดีดหน้าผากนาง “เช่นนั้นเรียกว่าทำดีหรือ ให้ข้าวให้น้ำกิน ให้ที่หลับที่นอน ตระกูลเราแม้แต่เลี้ยงหมาเฝ้าบ้านก็ดูแลเช่นนั้นเหมือนกัน ที่ดีกับหมาเฝ้าบ้านก็เพราะหมายให้มันตั้งใจเฝ้าบ้าน ข้าด่าเจ้าเพียงสองสามคำ แปลว่าข้าจะรักหมามากกว่าลูกสาวอย่างเจ้าหรือ”

แม่นางเจ็ดร้องอ๋อแล้วพยักหน้า เมื่อพูดเช่นนี้นางก็เข้าใจในทันที

“เช่นนั้นท่านทำดีกับคนบ้านั้น ก็เพื่อให้นางตั้งใจเฝ้าบ้านหรือ แต่ว่าที่เรือนของเรามีหมาตั้งหลายตัวแล้วนี่เจ้าคะ…” นางยู่ปากเอ่ย

ฮูหยินหัวเราะเพราะคำหยอกล้อนั้น ก่อนจะยื่นมือออกไปดีดหน้าผากลูกสาวอีกครั้ง

“เจ้าเด็กโง่เอ๋ย” นางเอ่ยพลางยิ้ม

แม่นางเฉิงเจ็ดได้แต่ทำปากขยุบขยิบทว่าไม่ได้เอ่ยคำใด พลางยกชามข้าวขึ้นมากินคำใหญ่

“เจ้าเพิ่งจะอายุได้เก้าปี มีเรื่องมากมายนักที่เจ้ายังไม่เข้าใจ” ฮูหยินรองเฉิงมองดูผิวขาวนวลที่ปรากฏสีแดงระเรื่อขึ้นเรื่อยๆ ของลูกสาวยามอยู่ภายใต้แสงไฟ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงอันเปี่ยมไปด้วยความรัก “แม่น่ะ อยากจะหาคนดีๆ มาแต่งงานกับเจ้า แต่ยามนี้คนดีๆ นั้นหายากนัก”

“เช่นนั้นข้าก็จะอยู่ปกป้องท่านแม่ไปชั่วชีวิต” แม่นางเฉิงเจ็ดเอ่ยเสียงอู้อี้เพราะข้าวเต็มปาก

“แม่น่ะทอดทิ้งนางไม่ได้หรอก” ฮูหยินรองเฉิงเอ่ยด้วยรอยยิ้มก่อนจะพูดต่อ “เจ้าฟังคำแม่ ทำดีกับพี่สาวคนบ้าของเจ้าสักหน่อย เอาใจนาง ทำให้นางมีความสุข ให้นางรู้สึกว่าเจ้าคือน้องสาวที่ดีที่สุดในโลก พวกเราคือคนที่หวังดีกับนางมากที่สุด”

“เหตุใดต้องทำเช่นนั้นเจ้าคะ” แม่นางเฉิงเจ็ดเอ่ย สีหน้าไม่พอใจนัก

“เจ้าอยากใส่เสื้อผ้า กินอาหาร หรือว่ามีของใช้ที่ดีกว่าแม่นางเฉิงหกหรือไม่” ฮูหยินรองเฉิงถาม

แน่นอนอยู่แล้ว!

แม่นางเฉิงเจ็ดพยักหน้า!

“เช่นนั้นก็ฟังคำแม่ เอาใจพี่สาวคนบ้าของเจ้าเข้าไว้” ฮูหยินรองเฉิงเอ่ย พอเห็นแม่นางเฉิงเจ็ดยู่ปากก็หัวเราะออกมา “หญิงเจ็ดของข้าทั้งรูปงามทั้งฉลาดหลักแหลมถึงเพียงนี้ จะเอาใจคนบ้าให้เอ็นดูเจ้าไม่ได้เชียวหรือ”

เหตุใดจะทำไม่ได้

ผู้ใดก็ล้วนแต่เอ็นดูหญิงเจ็ดผู้นี้ทั้งนั้น

“รีบกินเถิด หญิงเจ็ดของข้านั้นเก่งที่สุด” ฮูหยินรองเฉิงเอ่ยด้วยรอยยิ้มแล้วเอื้อมมือไปบีบจมูกนางเบาๆ

“เอาล่ะ ลุกมากินข้าวได้แล้ว”

ทางด้านฮูหยินหวังเองก็กำลังมองดูแม่นมยกถาดอาหารเข้ามา

ท่านชายหวังสิบเจ็ดในชุดนอนที่ใส่ประจำ นั่งขัดสมาธิอยู่หน้าโต๊ะเตี้ยก่อนจะยกตะเกียบและชามข้าวขึ้นมากินอย่างอดรนทนไม่ไหว

“ค่อยๆ กิน” ฮูหยินหวังเอ่ย แม้ใบหน้าจะยิ้มแย้มแต่ก็ปวดใจไม่น้อย “เจ้าไม่ได้กินข้าวมากี่มื้อกันเชียว”

ท่านชายหวังสิบเจ็ดกินอย่างตะกละตะกลาม ก่อนจะพูดพึมพำเพราะข้าวเต็มปาก

“กี่มื้อเล่า” ฮูหยินหวังได้ยินไม่ชัดจึงเอ่ยถามอีกครั้ง

ท่านชายหวังสิบเจ็ดกลืนข้าวก่อนจะยืดคอเอียงซ้ายเอียงขวา สาวใช้รูปงามเป็นห่วงเขายิ่งนักจึงยื่นมือออกมาช่วยบีบนวดให้ ส่วนสาวใช้คนงามอีกนางหนึ่งก็ยกช้อนขึ้นมาป้อนถึงปาก

“ไม่รู้สิ เหมือนจะไม่ได้กินอิ่มมานานแล้ว…” ท่านชายหวังสิบเจ็ดเอ่ย

ฮูหยินหวังได้ยินเช่นนั้นก็น้ำตาไหลอีกครั้ง

“เจ้าเด็กโง่เอ๋ย” นางเอ่ยสีหน้าสงสัย “ข้าไปเจอแม่นางเฉิงแล้ว ก็เห็นท่าทางใช้ได้นี่ ระหว่างที่เจ้าเดินทางกลับมากัน เจ้าพบว่านางมีสิ่งใดไม่เหมาะสมหรือ”

พอได้ยินดังนั้นท่านชายหวังสิบเจ็ดที่กินข้าวอยู่ก็ชะงักไป

ระหว่างที่เดินทางกลับพบว่าแม่นางเฉิงมีสิ่งใดไม่เหมาะสมอย่างนั้นหรือ

ลมราตรีโหมกระหน่ำกระแทกประตูหน้าต่างจนเสียงดังโครมคราม ท่านชายหวังสิบเจ็ดสั่นไปทั้งร่าง เขามองออกไปด้านนอก มองดูท้องฟ้าอันมืดมิด

‘มานี่!’

เสียงนั้นดังลั่นขึ้นข้างหูเขา ก่อนจะหันไปเห็นหญิงผู้นั้นเดินก้าวเข้าประตูมาจากด้านนอก ในมือยกคันธนูเล็งมาที่เขา

‘ไม่เชื่อง!’

ศรธนูยาวพุ่งออกมาในพริบตา…

ท่านชายหวังสิบเจ็ดร้องตะโกนตกใจ โยนตะเกียบและชามข้าวในมือจนกระจายไปทั่ว ก่อนจะยกมือกุมหัวแล้วล้มลง

ภายในห้องโกลาหลขึ้นมาในทันใด

“เจ้าพูดจริงหรือ” นายใหญ่หวังฟังบ่าวชราเล่าจนจบ สีหน้าดูตกตะลึงไม่น้อย ก่อนจะถามออกไปราวกับไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน “เด็กบ้าตระกูลเฉิงนั่นคือหมอเทวดาอย่างนั้นหรือ ชุบชีวิตคนตายได้อย่างนั้นหรือ”

บ่าวชราพยักหน้า

“ต้องเป็นนางไม่ผิดแน่” เขาเอ่ย “ตอนที่ข้าไปสืบข่าว แม้คนผู้นั้นจะไม่ได้บอกว่าหมอเทวดาแซ่เฉิง แต่ตระกูลโจวที่อยู่เมืองหลวงมาหลายสิบปีก็ไม่เคยมีชื่อเสียงอันใด จู่ๆ จะมีหมอเทวดาปรากฏตัวขึ้นได้เช่นไร แถมตอนที่หมอเทวดาปรากฏตัวขึ้น ก็เป็นเวลาหลังจากที่ตระกูลโจวมารับตัวแม่นางเฉิงกลับไป”

นายใหญ่หวังเผลอหัวเราะออกมาพลางยกมือขึ้นมาลูบเครา

“เด็กบ้าตระกูลเฉิงเป็นหมอเทวดาอย่างนั้นหรือ” เขาเอ่ย “เป็นไปได้อย่างไร ก็เห็นๆ กันอยู่ว่านางสติไม่สมประกอบ”

บ่าวชราส่ายหน้า

“นายใหญ่ขอรับ นางจะเป็นหมอเทวดาหรือไม่ ข้าเองก็ไม่รู้แน่ชัด เพียงแค่คาดเดาเท่านั้น แต่สิ่งที่ข้าได้เห็นกับตานั้นจริงแท้แน่นอน นางไม่ใช่คนบ้าเป็นแน่” เขาเอ่ยน้ำเสียงจริงจัง “ไม่มีคนบ้าที่ไหนที่ตระกูลโจวจะยอมจัดขบวนมาส่งเสียใหญ่โตเช่นนี้หรอกขอรับ ไม่มีคนบ้าที่ไหนพยากรณ์ฟ้าฝนได้เป็นแน่ ไม่มีคนบ้าที่ไหนหยั่งรู้ได้ว่าคืนนั้นจะเกิดอันตราย และคงไม่มีคนบ้าที่ไหนจะถือธนูขึ้นมายิงคนตายอย่างไม่ลังเลท่ามกลางเหตุเพลิงไหม้เช่นนั้น”

นายใหญ่หวังสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาในทันใด

ก็จริงอยู่ หากเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวอาจเรื่องบังเอิญ หากเกิดขึ้นสองครั้งก็นับว่าโชคดี แต่หากเกิดขึ้นถึงสามครั้งก็ต้องนับว่ามาจากฝีมือ

คนที่ทำให้ตระกูลโจวเคารพนบนอบ คนที่ทำให้นายใหญ่โจวต้องเสียน้ำตา คนที่ตั้งกระโจมบนถนนเทียนเจียได้ คนที่องค์หญิงตระกูลฉินมาส่งลาด้วยตัวเอง คนที่คอยสั่งการทุกอย่างตลอดการเดินทาง คนที่พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส คนที่ยิงธนูฆ่าคนได้อย่างเหี้ยมโหด…

“แม่นางเฉิงผู้นี้ไม่ธรรมดาจริงๆ” เขาเอ่ยพลางพยักหน้า “พวกเจ้าส่งคนไปที่เมืองหลวง ไปสืบเรื่องราวมาให้แน่ชัด…”

พูดถึงเพียงเท่านั้นเขาก็ส่ายหน้า

“ไม่ ไม่ต้องไปสืบแล้ว ไม่มีอันใดต้องสืบอีกต่อไป” นายใหญ่หวังเอ่ยด้วยรอยยิ้มก่อนจะพยักหน้า “หากแต่งงานกันแล้วคงถามได้ความแน่ชัดกว่ามิใช่หรือ”

ขนาดสู่ขอคนบ้าตระกูลหวังยังไม่แม้แต่จะสืบประวัติใดๆ หากจะสู่ขอกับคนที่เหมาะสมเช่นนี้ทั้งทีจะต้องสืบอันใดอีก

บ่าวชราถอนหายใจก่อนจะพยักหน้า เพราะเขาเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน ทว่าพอนึกอะไรขึ้นได้บางอย่างก็เริ่มกังวลขึ้นมาอีกครั้ง

“เพียงแต่ นายใหญ่ขอรับ ท่านชายน้อยท่าทางจะไม่อยากแต่งแล้วขอรับ…” เขาเอ่ย

“ไม่อยากแต่งอย่างนั้นหรือ เหตุใดถึงไม่อยากแต่งแล้วเล่า” นายใหญ่หวังเอ่ยถามตาเบิกโพลง

“เหตุใดถึงไม่อยากแต่งอย่างนั้นหรือ ท่านดูสิว่าชายสิบเจ็ดเสียขวัญถึงเพียงไหน!”

เสียงพูดและเสียงฝีเท้าของฮูหยินหวังดังมาจากนอกประตู

ประตูห้องถูกเปิดออก นางเดินเข้ามาด้วยใบหน้าอ่อนล้า

บ่าวชราก้มหัวคำนับ

“วันพรุ่งนี้ข้าจะไปคุยกับพี่สาว เรื่องยกเลิกการหมั้นหมายครั้งนี้ แต่ข้าจะไม่ทำให้พี่สาวต้องลำบากใจ ข้าจะหาคนที่เหมาะสมให้นางเอง” ฮูหยินหวังเอ่ย

“ไม่ได้” นายใหญ่หวังคัดค้านอย่างหนักแน่น

เดิมทีตอนที่ชายสิบเจ็ดบอกว่าจะสู่ขอเด็กบ้าตระกูลโจวนั่น สามีของนางก็คัดค้านเช่นกัน เพียงแต่คนเป็นพ่อเป็นแม่ที่ไหนก็คงทำเช่นนั้น

ทว่ายามนี้มาบอกว่าจะไม่แต่งแล้ว เหตุใดเขาถึงได้คัดค้านเสียงแข็งเช่นนี้ เหตุใดถึงไม่มีท่าที โล่งอกแล้วพูดว่าข้ารู้แต่แรกแล้วว่าพวกเจ้าก็แค่เล่นสนุก

หรือว่าเขากลัวว่าฮูหยินใหญ่จะตกที่นั่งลำบาก เพราะอย่างไรเสียนางก็เป็นนายหญิงของตระกูล

“ข้าจะไม่ทำให้พี่สาวต้องลำบาก ข้าจะจัดการเรื่องนี้อย่างเหมาะสม ที่ตระกูลเฉิงและตระกูล

โจวทะเลาะกันไม่ใช่เพราะเรื่องสินเดิมหรอกหรือ ข้าจะไปหาคนมา คนที่ไม่ต้องการสินเดิมเหมือนกันก็พอแล้วมิใช่หรือ” ฮูหยินหวังเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“สินเดิมมิใช่เรื่องใหญ่ ตัวนางต่างหากที่สำคัญกว่า” นายใหญ่หวังเอ่ย

ฮูหยินหวังขมวดคิ้ว

“เจ้าฟังข้านะ แม่นางเฉิงผู้นั้นไม่ใช่คนธรรมดา” นายใหญ่หวังเอ่ย พลางเล่าเรื่องที่ได้ฟังจากบ่าวชราโดยคร่าวอีกครั้ง

ฮูหยินหวังได้ยินเช่นนั้นตกตะลึงตาค้าง

“ท่านล้อข้าเล่นหรือ” นางเอ่ย

“เจ้าคิดว่าเรื่องล้อเล่นจะทำให้ชายสิบเจ็ดเสียขวัญได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ” นายใหญ่หวังเอ่ย

ฮูหยินเฉิงไม่เอ่ยคำใดอีกต่อไป

“หญิงผู้นั้นฆ่าคน” นางเอ่ยอย่างร้อนรน

“ฆ่าคนแล้วอย่างไรเล่า แล้วจะรอให้คนอื่นมาฆ่าตนเองหรืออย่างไร” นายใหญ่หวังเอ่ย พ่อค้าท่าเรืออย่างตระกูลหวัง มีเรือลำใดบ้างเล่าที่ไม่เปื้อนเลือด

“แต่ถึงเช่นนั้นก็เถอะ ยามนี้ชายสิบเจ็ดเสียขวัญถึงเพียงนี้ จะทำเช่นไรดี” ฮูหยินหวังยกมือขึ้นมากุมพลางเอ่ยขึ้น

“เขาแค่ยังเด็ก ให้เขาออกไปฝึกสักสองปี เรื่องแค่นี้ก็กลายเป็นเรื่องเล็กแล้ว ถึงยามนั้นค่อยดีใจเถิด” นายใหญ่หวังเอ่ย

ฮูหยินหวังสีหน้าลังเล

“ตระกูลเราคงหวังพึ่งชายสิบเจ็ดให้มาสืบทอดกิจการไม่ได้…” นายเอ่ย

“ยามนี้ไม่ใช่เวลาที่จะกังวลเรื่องชายสิบเจ็ด แม่นางผู้นั้นต่างหากที่สำคัญกว่า” นายใหญ่หวังเอ่ย “คนเช่นนั้นตระกูลใดบ้างจะไม่อยากได้ เจ้าไม่ได้ยินที่กู่ซื่อพูดหรือ แม้แต่องค์หญิงตระกูลฉินยังชื่นชมนางนัก”

“แต่ก็ไม่เห็นองค์หญิงฉินจะมาสู่ขอนางนี่เจ้าคะ” ฮูหยินหวังเอ่ยเสียงฮึดฮัด

“เอาล่ะ ไม่ต้องพูดแล้ว เอาเป็นว่าตกลงตามนี้ก็แล้วกัน” นายใหญ่หวังเอ่ยแล้วมองไปทางฮูหยินหวัง “เจ้าก็วุ่นมาทั้งวันแล้ว รีบไปพักผ่อนเสียเถิด มีเรื่องอันใดพรุ่งนี้ค่อยคุยกัน”

บ่าวชรารีบคำนับก่อนจะเอ่ยลา ฮูหยินหวังยกมือขึ้นมานวดขมับ ก่อนจะพาร่างอันเหนื่อยล้ามาอาบน้ำ ทว่ายังไม่ทันได้เดินเข้าไป ก็ได้ยินเสียงโครมครามดังขึ้นจากด้านนอก

“ฮูหยิน นายท่าน ฮูหยิน นายท่าน แย่แล้วเจ้าค่ะ ท่านชายสิบเจ็ดแขวนคอ…”

เหล่าแม่นมและสาวใช้ตะโกนวิ่งพรวดพราวเข้ามา

ฮูหยินหวังไม่ทันได้หายใจก็กุมอกเป็นลมล้มพับไปเสียก่อน

“ลูกชายของข้า…”

ในค่ำคืนนั้นเรือนตระกูลหวังมีแต่เสียงร้องตะโกนโวยวาย

ราตรีอันมืดมิด สายลมโบกกระทบบานหน้าต่าง ฮูหยินรองเฉิงค่อยๆ ดึงมือของแม่นางเฉิงเจ็ดที่เกาะเกี่ยวลำคอของตนออก ก่อนจะบีบนวดท่อนแขนที่เมื่อยล้าแล้วลุกยืนขึ้น

แม่นมที่เฝ้าเวรได้ยินเสียงขุกขลักจึงเอ่ยถามด้วยเสียงแผ่วเบา

“ฮูหยินจะดื่มน้ำหรือเจ้าคะ”

แม่นางเฉิงเจ็ดที่นอนอยู่บนเตียงบ่นพึมพำก่อนจะเอื้อมมือออกมาดึงผ้าห่มแล้วพลิกตัว

ฮูหยินรองเฉิงส่ายหน้าให้แม่นมในทันใด นางโบกมือให้พลางเอื้อมไปลูบแม่นางเฉิงเจ็ดอย่างแผ่วเบา

แม่นางเฉิงเจ็ดหลับสนิทอยู่ในห้วงนิทรา

“เด็กคนนี้ มานอนกับข้าแล้วยังจะเลือกฝั่งนอนอีก หลับสนิทเชียว” ฮูหยินรองเฉิงเอ่ยเสียงแผ่วเบาพลางหัวเราะ

“ฮูหยินเหนื่อยแย่เลยนะเจ้าคะ” แม่นมเองก็เอ่ยเสียงกระซิบด้วยรอยยิ้ม

“เหนื่อยอันใดกัน คนเป็นแม่ที่ไหนจะบ่นว่าเหนื่อยเพราะลูกกันเล่า” ฮูหยินรองเฉิงเอ่ยด้วยรอยยิ้มก่อนจะนอนตะแคงลง

แม่นมดับตะเกียงลงก่อนจะออกจากห้องไปอย่างเงียบเชียบ พอเหลียวกลับมามองก็เห็นฮูหยิน

รองเฉิงจัดแจงผ้าห่มให้แก่แม่นางเฉิงเจ็ด ก่อนจะปลดม่านลงเพื่อบังสายตา

นางยืนอยู่นอกห้องทว่าไม่ได้ล้มตัวลงนอนในทันใด แต่กลับยืนเหม่อลอยอยู่เช่นนั้น

“เป็นอะไรไป เหตุใดถึงยังไม่นอน” แม่นมเฝ้าเวรยามอีกคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้นเสียงแผ่วเบา

แม่นมนางนั้นนั่งลงก่อนจะถอนหายใจออกมา

“ข้าคิดว่า มีแม่นี่ช่างดีเสียจริง” นางเอ่ย

แม่นมอีกนางชะงักไปเพราะคำพูดของนาง

“พูดจาเหลวไหลอะไรของเจ้า” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

แม่นมนางนั้นก็ยิ้มออกมาเช่นกัน นางทอดสายตาออกไปมองความมืดมิดยามราตรีนอกหน้าต่างก่อนจะล้มตัวลงนอน

ปั้นฉินลืมตาขึ้น ภาพเบื้องหน้าพร่ามัว ยามแรกนางก็ตกใจไม่น้อย ผ่านไปครู่หนึ่งถึงจะนึกขึ้นได้ว่าตนเองอยู่ที่ใด นางกระชับเสื้อแล้วยืนขึ้น ก่อนจะเดินย่องเข้าไปในห้อง

ผ้าห่มผ้าฝ้ายปกคลุมร่างของหญิงสาวที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียง ผ้าห่มนั้นยังคงเรียบตึงดังเดิม ราวกับว่านางมิเคยได้พลิกตัวเลยแม้แต่น้อย

ปั้นฉินปลดม่านลงก่อนจะเดินออกไป