บทที่ 331 ไม่ยินดี Ink Stone_Romance

พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง

ไม่นานฮูหยินใหญ่เฉิงก็ได้รับข่าวจากแม่นม

“นางจะมาพบนายใหญ่อย่างนั้นหรือ” นางถามพลางมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ยามนี้ท้องฟ้าเพิ่งหม่นแสงลง หญิงผู้นี้เพิ่งเข้าประตูเรือนมาไม่ถึงครึ่งวันเสียด้วยซ้ำ

“ข้าว่าไม่ใช่นางหรอกเจ้าค่ะที่อยากพบนายใหญ่” แม่นมเอ่ยเสียงกระซิบ “น่าจะเป็นตระกูลโจวเสียมากกว่าที่อยากพบ”

“ไม่รู้ว่าตระกูลโจวสั่งสอนนางอย่างไร เพิ่งกลับมาถึงก็เรียกร้องต่างๆ นานาทันทีแบบนี้” ฮูหยินใหญ่เฉิงเอ่ย พลางลูบแขนเสื้อไปมา

“ไม่ใช่แค่ตระกูลโจวที่รีบร้อนหรอกเจ้าค่ะ เมื่อครู่ฮูหยินรองก็รั้งตัวนางไว้ คุยกันอยู่นานสองนาน” แม่นมเอ่ย

“ข้าก็อยากจะรู้นัก ว่าพวกนางจะทำอะไร” ฮูหยินใหญ่เฉิงเอ่ยก่อนจะโบกมือให้แม่นม “ไป ไปบอกพวกนาง บอกว่านายใหญ่ออกไปข้างนอก วันนี้คงไม่กลับมา หากมีเรื่องอันใดก็มาคุยกับข้า”

แม่นมขานรับก่อนจะเดินออกไป ไม่นานก็เดินกลับมาอย่างรีบเร่ง ทว่าด้านหลังกลับไม่มีผู้ใดเดินตามมา

“ว่าอย่างไร” ฮูหยินใหญ่เฉิงถามอย่างสงสัย

“นางบอกว่า” แม่นมตอบทว่ากลับเอาแต่จ้องหน้าฮูหยินใหญ่เฉิง ก้มหน้าก้มตาราวกับว่าไม่กล้าเอ่ยออกไป “นางบอกว่าในเมื่อนายใหญ่ไม่อยู่ ไว้วันหลังค่อยมาเจ้าค่ะ”

ไม่ยอมพบนางอย่างนั้นหรือ

ฮูหยินใหญ่เฉิงตกใจไม่น้อย ก่อนจะเดือดดาลขึ้นมาในทันใด หมายความว่าอย่างไรกัน เห็นนางเป็นหัวหลักหัวตอหรืออย่างไร

“ฮูหยิน ฮูหยินเจ้าคะ เหล่าฮูหยินส่งคนมาเจ้าค่ะ”

ขณะที่ฮูหยินใหญ่เฉิงกำลังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ก็มีแม่นมเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน พร้อมทั้งหญิงชรานางหนึ่งที่เดินตามมาด้านหลัง

นางคือสาวใช้ประจำตัวของเหล่าฮูหยินเฉิง ทว่านางกลับไม่โค้งคำนับให้แก่ฮูหยินใหญ่เฉิงเลยแม้แต่นิด

“ฮูหยินใหญ่ เหล่าฮูหยินบอกว่าออกจะไปอยู่ข้างนอก” สาวใช้พูดเข้าเรื่องในทันใด

หา เกิดอะไรขึ้นอีกเล่า

ฮูหยินใหญ่เฉิงลุกขึ้นยืนอย่างลุกลี้ลุกลน

“แม่นางฟู่ เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ” นางถามอย่างร้อนรน

“ฮูหยิน ท่านให้เด็กคนนั้นเข้ามาในเรือนได้อย่างไร” สาวใช้ส่ายหน้าเอ่ยน้ำเสียงไม่พอใจ

เหล่าฮูหยินจงเกลียดจงชังเด็กบ้าผู้นี้เป็นที่สุด…

นางลืมไปได้อย่างไร…

“ไม่ใช่เช่นนั้น แม่นางฟู่ นางกลับมาอย่างกะทันหัน…” ฮูหยินใหญ่เฉิงรีบอธิบาย

“กะทันหันอย่างนั้นหรือ ถึงจะกะทันหันอย่างไร นี่ก็ผ่านมาครึ่งค่อนวันแล้ว ฮูหยินก็ควรจะไปบอกกับเหล่าฮูหยินได้แล้ว” สาวใช้เอ่ยพลางส่ายหน้า “แต่ท่านกลับไม่ทำ นางร้อนใจมาตลอดวัน บอกว่าจะไปวัดไหว้พระสวดมนต์เสียหน่อย แต่จะสวดมนต์ที่ไหนก็คงเหมือนกัน คงจะสู้อยู่ใกล้พระอรหันต์ไม่ได้”

“ใช่ ใช่ ข้าสะเพร่าเอง ข้าไม่ได้คิดจะไล่นางออกไปจริงๆ ถึงได้ลืมไปบอกเหล่าฮูหยิน” ฮูหยินใหญ่เฉิงเอ่ยพลางทอดถอนใจ “เจ้าก็รู้ ว่าญาติฝั่งแม่ของข้าจะมาสู่ขอนาง ข้าเองก็คิดอยู่ นางจะออกเรือนอยู่แล้ว จะให้ไปอยู่ที่อื่นก็คงไม่เหมาะกระมัง”

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ฮูหยินก็รีบไปบอกเหล่าฮูหยินเสีย” สีหน้าของสาวใช้เริ่มดีขึ้นมาสักหน่อย ทว่ายังพูดจาเร่งเร้าเหมือนเดิม

“ได้ ได้” ฮูหยินใหญ่เฉิงรีบเดินตามนางออกไป พลางเอื้อมมือออกไปบีบนวดที่บั้นเอวของตัวเอง

“ฮูหยินเป็นอะไรไปหรือ” สาวใช้ที่เพิ่งสังเกตเห็นท่าทางของนางจึงถามขึ้นอย่างห่วงใย

“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร เมื่อครู่คงลุกขึ้นเร็วไปหน่อยเลยหน้ามืด” ฮูหยินใหญ่เฉิงเอ่ยก่อนจะลดมือลง

“ฮูหยินรักษาตัวเองด้วย ในเรือนยังมีเรื่องให้จัดการมากมาย” สาวใช้เอ่ย

ในบ้านจะมีเรื่องให้จัดการมากเพียงใดนางไม่เคยหวั่น นางเป็นนายหญิงมาตลอดชีวิต หาได้เกรงกลัวปัญหางานบ้านงานเรือนไม่ เป็นนายหญิงนั้นไม่ได้เหนื่อยยากแต่อย่างใด เพราะที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือคำพูดติฉินนินทาที่มีมาไม่หยุดหย่อน

พลาดไปแล้วจริงๆ หากรู้แต่แรกนางคงส่งคนไปรับระหว่างทาง รับชายสิบเจ็ดกลับมาที่นี่ ส่วนนังเด็กบ้านั่นก็ส่งไปวัดเต๋า พอตกลงกันเรื่องสู่ขอเสร็จสรรพ ค่อยรับกลับมาแล้วส่งตัวออกเรือนไป ทว่ายามนี้ทุกคนต่างเห็นแล้วว่านางเข้ามาอยู่ในเรือนแล้ว จะไล่ออกไปเกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องง่าย ผิดแผนไปเสียหมดทุกย่างก้าวจริงๆ

ฮูหยินใหญ่เฉิงเองก็นึกเสียใจไม่น้อย ทว่าจะบอกเรื่องนี้กับเหล่าฮูหยินไม่ได้เด็ดขาด คงทำได้เพียงกัดฟันอธิบายเรื่องแต่งงานไป ความมืดมิดบนท้องฟ้าเริ่มคืบคลานเข้ามา นางเร่งฝีเท้ามุ่งหน้าไปยังเรือนของเหล่าฮูหยิน

ขณะเดียวกันเฉิงเจียวเหนียงและปั้นฉินก็กำลังกลับไปเรือนพร้อมกับฮูหยินรองเฉิง

“พรุ่งนี้นายใหญ่ก็กลับมาแล้ว ท่านพ่อของเจ้าก็กลับมาเช่นกัน วันนี้ไม่ได้พบก็ไม่เป็นไร” ฮูหยิน รองเฉิงเอ่ย

ความจริงแล้วนางเองก็ตกใจไม่น้อย นึกว่านายใหญ่ไม่อยู่แล้วจะไปพบฮูหยินใหญ่แทนเสียอีก นึกไม่ถึงเลยว่าแม่นางน้อยผู้นี้จะเลี้ยวกลับในทันที

ไม่ว่ารู้ว่าตระกูลโจวสั่งสอนนางมาอย่างไร…

สายตาของฮูหยินรองเฉิงมองไปที่ปั้นฉินอย่างอดไม่ได้

สาวใช้นางนี้ตระกูลโจวก็คงจัดหามาให้เหมือนกันสินะ เห็นคอยเตือนอยู่ตลอดเวลาว่าต้องทำอย่างไร พูดเช่นไร

“เจียวเหนียง ที่ข้าบอกกับเจ้าเมื่อครู่ ข้าพูดจากใจจริง” ฮูหยินรองเฉิงคิดอยู่นานก่อนจะเอ่ยออกไป “อย่างไรเสียเจ้าก็เป็นลูกสาวของตระกูลนี้ ลูกสาวจะออกเรือนทั้งที ไม่มีสินเดิมติดตัวไปก็คงไม่ได้ เพียงแต่เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องรีบร้อน รอท่านพ่อเจ้ากลับมาแล้วพวกเราค่อยคุยกัน”

“เรื่องนั้นข้าไม่รีบ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยพลางพยักหน้า

พวกนางพูดคุยกันพลางดินเข้าเรือนไป

“ข้าไม่ยอม ข้าไม่ยอม ข้าจะนอนห้องข้า…”

แม่นางเฉิงเจ็ดร้องไห้งอแงยกมือปิดหน้าอยู่กลางห้องโถง

ฮูหยินรองเฉิงทั้งโมโหทั้งกังวลใจ ก่อนจะคว้าตัวนางไว้แล้วฟาดเข้าสองสามหน

ทันใดนั้นเหตุการณ์ก็โกลาหลเสียยิ่งกว่าผึ้งแตกรัง แม่นางเฉิงเจ็ดร้องไห้สะอึกสะอื้นจนหายใจหอบกระชั้นราวกับจะเป็นลมล้มไป

“หากเรือนของข้าเก็บกวาดเสร็จแล้ว ข้าไปอยู่ที่นั่นก็ได้” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย

“เจ้าอยู่ที่นี่ก็ได้” ฮูหยินรองเฉิงเอ่ย มืออีกข้างก็เอื้อมไปผลักแม่นางเฉิงเจ็ดที่ร้องไห้อยู่ “เจ้านอนห้องน้องสาวเจ้า ส่วนนางไปนอนกับข้าก็ได้”

แม่นางเฉิงเจ็ดร้องไห้เสียงดังยิ่งกว่าเดิม

“ไม่เป็นไร” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยด้วยรอยยิ้มพลางลุกยืนขึ้น “ข้าไม่ชอบเสียงดัง”

ฮูหยินรองเฉิงประหม่าจนทำตัวไม่ถูก นางยกมือฟาดแม่นางเฉิงเจ็ดอีกสองหนแล้วรีบยืนขึ้นตามในทันใด

“เจ้าเพิ่งกลับมา นางคงยังไม่คุ้ยเคยกับเจ้า เจ้าอย่าได้ถือสา” นางเอ่ยแกมขอโทษ

เฉิงเจียวเหนียงค้อมหัวให้เล็กน้อย

“ข้าจะไม่ทำเช่นนั้นได้อย่างไร” นางเอ่ยลาก่อนจะคำนับฮูหยินรองเฉิงที่มาส่ง

ฮูหยินรองเฉิงคำนับกลับอยู่หลายหนก่อนจะสั่งให้แม่นมตามไปส่งถึงที่

พอเดินพ้นจากเรือนฮูหยินรองเฉิง ปั้นฉินจึงเหลียวกลับมามอง ก็เห็นว่าฮูหยินรองเฉิงกำลังกอดปลอบแม่นางเฉิงเจ็ดอยู่ ตะเกียงภายในเรือนถูกจุดจนสว่างไสวไปทั่วให้แสงอันอบอุ่น นางละสายตากลับมามองข้างหน้า ผ้าคลุมที่เฉิงเจียวเหนียงสวมทับพัดปลิวไปตามแรงลมราตรียามนางก้าวเดินไป แสงไฟจากตะเกียงที่อยู่ข้างหน้าเหมือนจะใกล้แต่ก็ดูห่างไกล

เรือนริมสระบัวถูกเก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว ข้าวของเครื่องใช้ของเจียวเหนียงบนรถม้าก็ถูกขนเข้ามาแล้ว ตะเกียงตั้งพื้นในห้องถูกจุดขึ้นเพื่อสร้างความอบอุ่น นอกจากเหล่าแม่นมและสาวใช้แล้ว ยังมีคนผู้หนึ่งรออยู่หน้าประตู

“ชุนหลานคำนับนายหญิงเจ้าค่ะ” ชุนหลานโขกหัวคำนับกับระเบียง

“ชุนหลาน” ปั้นฉินเอ่ยเรียกอย่างดีอกดีใจ

“พี่ปั้นฉิน ขอบคุณท่านนักที่ช่วยดูแลจินเกอร์” ชุนหลานโขกหัวคำนับให้แก่ปั้นฉินอีกครั้ง

“ไม่หรอก ไม่หรอก เขาต่างหากที่ต้องมาดูแลข้า” ปั้นฉินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เขาติดตามนายหญิงมาตลอด ข้าเองก็เพิ่งกลับมาได้ไม่นาน”

ชุนหลานยังคงโขกหัวอยู่ดังเดิม

“ข้า ข้าไม่มีอะไร เพียงแค่อยากจะมาขอบคุณนายหญิงเท่านั้น” นางเอ่ยพลางเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยแล้วมองไปที่เฉิงเจียวเหนียงที่นั่งอยู่กลางโถง ก่อนจะหลบตาก้มหน้าลงในทันใด “วันนี้นายหญิงหายดีแล้ว บ่าวดีใจยิ่งนัก”

เฉิงเจียวเหนียงมองนางก่อนจะเผยยิ้มบาง นางดันถาดเบื้องหน้าออกไปให้อีกฝ่าย

“กินขนมสักหน่อยไหม” นางเอ่ย

ขนมอย่างนั้นหรือ

ชุนหลานชะงักไปครู่หนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวที่อยู่ตรงกลางระหว่างโคมไฟสองดวง นางส่งยิ้มให้ ดวงหน้านั้นช่างงดงามเหลือเกิน

ปั้นฉินเดินออกมาส่งชุนหลานที่กอดถุงขนมอย่างงุนงง นางยืนอยู่หน้าประตูมองดูสาวใช้ที่เอาแต่คำนับขอบคุณไม่หยุดจากไป

นางหญิงหายดีแล้วจริงๆ นายหญิงหายดีแล้วจริงๆ

นายบ่าวในเรือนนี้ คงมีเพียงแค่สาวใช้นางนี้เท่านั้นที่เห็นนายหญิงหายดีและรู้สึกยินดีจากใจจริง แต่ก็ยังมีคนที่ยังไม่ได้เห็น หรือบ้างก็เห็นแล้วกลับรู้สึกไม่ชอบใจ

นายหญิงบอกว่ามนุษย์จิตใจหยาบช้านั้นเป็นเรื่องปกติ ดังนั้นจงทำใจให้ชินเสียเถิด และเพราะเช่นนั้นนายหญิงถึงได้ตอบแทนบุญคุณของทุกคนแม้แต่เรื่องเล็กน้อย

“ปิดประตูลงกลอนเสีย” ปั้นฉินเอ่ยก่อนจะหันหลังเดินกลับไป

….

ณ เมืองทิงโจว เรือนตระกูลหวังแสงไฟส่องสว่าง ฮูหยินหวังเดินเข้ามาในเรือนอย่างรีบเร่ง ไม่สนใจแม้แต่จะกินน้ำกินท่า ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังห้องของท่านชายหวังสิบเจ็ด

“เกิดอะไรขึ้นหรือ เกิดอะไรขึ้นหรือ ป่วยหรือ” นางถามอย่างร้อนรนพลางยกชายกระโปรงเดินมาถึงหน้าประตู

ประตูห้องของท่านชายหวังสิบเจ็ดปิดสนิท เหล่าสาวใช้รูปงามทั้งหลายที่ยืนอยู่ริมระเบียงทางเดินก็เอาแต่ร้องไห้

“ร้องไห้อะไรของพวกเจ้า” ฮูหยินหวังตะโกนเอ่ย

สาวใช้รูปงามหยุดร้องไห้ในทันใด

ฮูหยินหวังก้าวเข้าห้องไปก็เห็นท่านชายหวังสิบเจ็ดที่นอนคลุมโปงอยู่บนเตียง

“เป็นอะไรหรือ เหนื่อยหรือ” นางถามอย่างร้อนใจพลางคุกเข่าลงที่ข้างเตียงแล้วเอื้อมมือลงไปรั้งผ้าหมดลง “ให้แม่ดูหน่อยเร็ว”

ท่านชายหวังสิบเจ็ดกำผ้าห่มแน่นไม่ยอมปล่อย ฮูหยินหวังไม่อย่างจะบังคับจึงทำเพียงตบลงที่ผ้าห่มเบาๆ

“รีบบอกมาเถิด ท่านย่าเจ้าร้อนใจจนเป็นลมไปแล้ว เจ้าจะทำให้แม่ร้อนใจจนเป็นลมไปอีกคนหรือถึงจะพอใจ” นางเอ่ยพลางเช็ดน้ำตา

“ท่านแม่ ลูกอกตัญญูนัก คงจะเลี้ยงดูท่านจนถึงวาระสุดท้ายไม่ได้แล้ว ลูกคงไปก่อน…”

เสียงสั่นเครือของท่านชายหวังสิบเจ็ดดังลอดออกมาจากผ้าห่ม

คำพูดของเขาทำให้เหล่าสาวใช้รูปงามทั้งหลายที่นั่งคุกเข่าอยู่ที่ระเบียงร้องไห้ระงม

“ท่านชาย ท่านชาย ท่านจะทิ้งเสี่ยวหลานไม่ได้นะเจ้าคะ…”

“ท่านชาย ท่านชาย ซู่เหนียงจะขอไปกับท่านด้วย…”

“ออกไปให้หมด!”

ท่านชายหวังสิบเจ็ดที่เวียนหัวเพราะเสียงร้องไห้ฟูมฟายตวาดลั่น

ด้านนอกเงียบสงัดในทันที

“ชายสิบเจ็ด เจ้าอย่าได้เป็นกังวลไป หากเจ้าเป็นอันใดไป แม่ต่างหากที่จะขาดใจเสียก่อน” ฮูหยินหวังนั่งลงข้างเตียง นางเอ่ยพลางเช็ดน้ำตา

“ท่านแม่” ท่านชายหวังสิบเจ็ดโผล่หัวออกมาจากผ้าห่มเพียงครึ่ง ก่อนจะเอ่ยเสียงผะแผ่ว “ท่านต้องช่วยข้า”

ฮูหยินหวังกุมมือของเขาไว้ น้ำตาไหลด้วยความปิติ

“ข้าย่อมช่วยเจ้าอยู่แล้ว ข้ายอมสละชีวิตเพื่อช่วยเจ้า เจ้ารีบบอกมาเถิดว่าเกิดเรื่องอันใด ไม่ว่าเรื่องใดแม่ก็ช่วยจัดการให้เจ้า” นางเอ่ย

“ข้าอยากถอนหมั้น” ท่านชายหวังสิบเจ็ดมองนางสะอึกสะอื้น

ถอนหมั้นอย่างนั้นหรือ

“ถอนหมั้นอันใดกัน เจ้ายังไม่ทันได้หมั้นหมายเสียด้วยซ้ำ…” ฮูหยินหวังเอ่ยขึ้นก่อนจะเข้าใจในทันใด “เจ้าพูดถึงแม่นางตระกูลเฉิงหรือ…”

นางตกใจเสียยิ่งกว่าเดิม

ถอดหมั้นอย่างนั้นหรือ นางหูฟาดไปหรืออย่างไร น่าจะพูดว่าขอหมั้นกระมัง

“ที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เอง” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจ้าวางใจเถิด แม่รับปากเจ้าแล้ว การหมั้นหมายครั้งย่อมสมดั่งใจเจ้าแน่นอน ข้าได้เจอนางแล้ว เจ้านี่สายตาเฉียบแหลมนัก ก่อนปีใหม่นี้ข้าจะจัดการตบแต่งให้เรียบร้อย ไม่สิ เดือนนี้ เดือนนี้เลยดีหรือไม่”

ท่านชายหวังสิบเจ็ดร้องเสียงหลง ก่อนจะขดตัวกลับเข้าไปในผ้าห่ม

“ท่านแม่” ท่านชายหวังสิบเจ็ดตะโกน “หากข้าแต่งงานกับ ข้าต้องตายแน่ๆ”

ฮูหยินหวังชะงักงัน

“เจ้า… ไม่อยากแต่งแล้วหรือ” นางถาม

“ไม่อยากแล้ว ไม่อยากแล้ว” ท่านชายหวังสิบเจ็ดนอนดีดดิ้นอยู่บนหมอน ร้องไห้ฟูมฟาย “หากข้าแต่งงานกับนาง ข้าต้องตายแน่ๆ…”

โบราณว่าไม่เจอกับตัวย่อมไม่มีวันรู้ แม้แม่นางเฉิงจะรูปงามสักเพียงใด ก็ใช่ว่าจิตใจจะงดงามด้วย

แต่ก็ไม่น่าแปลกสักเท่าใด เพราะนางป่วยสติไม่สมประกอบตั้งแต่เด็ก แม้จะรูปงามสักเพียงใด แต่สุดท้ายแล้วก็คง…

“ไม่อยากแต่งก็ไม่แต่ง!” ฮูหยินหวังเอ่ยด้วยรอยยิ้มก่อนจะเอื้อมมือไปลูบท่านชายหวังสิบเจ็ด

“จริงหรือ” ท่านชายหวังสิบเจ็ดกระเด้งตัวลุกขึ้นนั่งในทันใด ใบหน้ายิ้มแย้มดีใจยิ่งนัก

พอเห็นลูกชายเช่นนั้น ฮูหยินหวังก็หลุดหัวเราะออกมา ทั้งโมโหทั้งดีใจ

“เพราะเหตุนี้เองหรอกหรือเจ้าถึงทำเช่นนี้!” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้มก่อนจะยื่นมือออกไปลูบใบหน้าของลูกชาย “ทำเป็นเรื่องใหญ่ไปได้!”

ขณะเดียวกันบ่าวชราก็นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้านายใหญ่หวัง

“เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย” เขาเอ่ยสีหน้าเคร่งขรึม

“มีอันใดต้องกังวล ก็แค่สู่ขอไม่ใช่หรือ” นายใหญ่หวังเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์นัก ก่อนจะยกมือขึ้นนวดขมับ

พอลูกชายกลับมาก็เอาแต่โวยวายจะเป็นจะตาย จนทั้งบ้านวุ่นวายหัวปั่น ท่านแม่เองก็ตกใจจนเป็นลมล้มพับไป พอไปถามดูถึงได้รู้ว่าเป็นเพราะเรื่องงานแต่งงาน

เดิมทีก็แค่ตามใจเพื่อตัดรำคาญ หากไม่แต่งจริงๆ ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี

“นายใหญ่ ขอท่านฟังข้าเล่าเรื่องราวของแม่นางเฉิงให้จบเสียก่อน แล้วท่านค่อยตัดสินใจ” บ่าวชราเอ่ยสีหน้าเคร่งเครียด