แม่นางเฉิงหกดึงตัวแม่นางเฉิงเจ็ดออกมาจากอ้อมอกของแม่นม
“เจ้าเห็นอะไรกันแน่ นางทำอะไรหรือ” นางตะโกนถาม
ในยามนี้พวกนางออกมายืนอยู่นอกเรือนแล้ว ทว่ายังคงหวาดหวั่นไม่คลาย
“ไม่ใช่หรอกกระมัง เมือครู่ตอนที่อยู่ในเรือนท่านป้า ก็ไม่เห็นจะดูน่ากลัวอันใดนี่” แม่นางเฉิงสี่เอ่ยพลางยกมือขึ้นกอดอก
งดงามมากเสียด้วยซ้ำไป…
“หรือว่าจะแสร้งทำยามอยู่ต่อหน้าผู้คน พอไม่มีใครเห็น แววตาก็จะกลับกลายเป็นเหมือนที่แม่นางหกพบเจอครั้งแรก แล้วก็ทำปากแบบนี้…” แม่นางเฉิงห้านึกจินตนาการอย่างหวาดกลัว
ทุกคนหวนนึกถึงยามที่แอบไปดูแม่นางบ้าผู้นั้นครั้งแรกตามทำบอกเล่าของแม่นางเฉิงหก
ตอนนี้สายตาทั้งหมดจับจ้องไปที่แม่นางเฉิงเจ็ด
“พูดสิ” แม่นางเฉิงหกเขย่าตัวแม่นางเฉิงเจ็ด เร่งเร้าให้พูดออกมา
ใบหน้าของแม่นางเฉิงเจ็ดดูตื่นกลัว
“นาง นาง ลืมตายามนอนหลับ” นางเอ่ย
ทุกคนต่างพากันชะงักไปในทันที
ลืมตานอนหลับอย่างนั้นหรือ…
น่ากลัวเสียจริง…
แม่นางเฉิงหกย่ำเท้าพลางเอื้อมมือออกไปผลักแม่นางเฉิงเจ็ด
“เจ้าบ้าไปแล้วหรือ” นางเอ่ยน้ำเสียงหงุดหงิด “ลืมตาอยู่ ก็แสดงว่าไม่ได้หลับน่ะสิ”
เอ๊ะ
นั่นสินะ
ทุกคน ณ ที่นั้นเพิ่งได้สติกลับมา ทันใดนั้นก็รู้สึกทั้งโมโห ทั้งน่าขันยิ่งนัก ทั้งยังเก้อเขินอย่างบอกไม่ถูก
“เจ้านี่จริงๆ เลย เหตุใดถึงได้ขี้ขลาดตาขาวถึงเพียงนี้!” แม่นางเฉิงสี่และแม่นางเฉิงห้าเอ่ยเหน็บแนมอย่างห้ามไม่อยู่
“ขี้ขลาดอย่างนั้นหรือ” ทว่าแม่นางเฉิงหกนั้นเถรตรงเสียยิ่งกว่า ก่อนจะเอ่ยน้ำเสียงเย้ยหยันออกไป “ไม่ใช่ขี้ขลาดหรอก แต่บ้าต่างหาก! เพราะอย่างนั้นนางถึงได้เป็นพี่สาวของเจ้าอย่างไรเล่า”
แม่นางเฉิงเจ็ดยู่ปากไม่พอใจ
“ข้า ข้า… ก็สาวใช้นางนั้นบอกว่านางหลับอยู่นี่…” นางโต้เถียง
“ก็แค่นอนหลับไม่ได้ตายเสียหน่อย จะตื่นขึ้นมาไม่ได้หรืออย่างไร” แม่นางเฉิงหกเอ่ย ยื่นมือออกไปดีดหน้าผากแม่นางเฉิงเจ็ด “ตื่นแล้วหลับตาต่างหากถึงจะเรียกว่าน่ากลัว เข้าใจหรือไม่”
แม่นางเฉิงเจ็ดกุมหน้าผากที่โดดดีดไว้
“โอ๊ย อย่ามาดีดข้านะ” นางตะโกนโวยวาย
แม่นางเฉิงหกมองไปยังประตูเรือน ก่อนจะผลักนางออกไปให้พ้นทาง
“ถอยไป ถอยไป ไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย” นางเอ่ยแล้วสูดหายใจลึก จัดแจงเสื้อผ้าก่อนจะก้าวเท้าเดินเข้าไปข้างใน
แม่นางเฉิงเจ็ดยู่ปากอย่างหงุดหงิด ก่อนจะสาวเท้าตามไปเช่นกัน
แม่นางเฉิงสี่และแม่นางเฉิงห้าที่เหม่อลอยอยู่นั้นก็รีบตามไปติดๆ
ประตูห้องถูกเปิดไว้ก่อนหน้า สาวใช้นางหนึ่งกำลังยกถาดเดินเข้าไป
แม่นางเฉิงหกเก้าเข้ามาในห้อง นางเหลียวซ้ายแลขวาก็เห็นหญิงผู้นึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะเตี้ยริมหน้าต่าง
หญิงสาวที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับนางนั่งหลังเหยียดตรง ชายกระโปรงลายดอกยาวคลุมส้นเท้า เส้นผมยาวคลอเคลียช่วงบ่าและเสื้อคลุมผ้าแพรสีเขียวราวกับหล่อหลอมเป็นหนึ่งเดียวกัน ทิ้งตัวลงลงมาจรดพื้น
แม่นางเฉิงสี่ แม่นางเฉิงห้า และแม่นางเฉิงเจ็ดรวมทั้งคนอื่นเบียดเสียดกันเดินเข้าห้องมา ดวงตาหลายคู่สอดประสานกัน บรรยากาศภายในห้องเงียบงันอย่างน่าประหลาด
ทั้งๆ ที่เป็นห้องของตนเองแท้ๆ ของประดับตกแต่งก็เหมือนดั่งเดิมทุกอย่าง แถมเช้านี้นางยังนั่งปักผ้าเช็ดหน้าอยู่ในห้องด้วยซ้ำ ทั้งเข็มด้ายและสะดึงที่ยังไม่ทันได้เก็บก็วางอยู่ที่ริมหน้าต่าง เหตุใดจู่ๆ ถึงได้รู้สึกแปลกตานัก ราวกลับกลายเป็นห้องของคนอื่นอย่างไรอย่างนั้น
แม่นางเฉิงเจ็ดเดินเท้าก้าวไปข้างหน้า ยกมือชี้นี้ไปที่โต๊ะไม้เตี้ยราวกับกำลังประกาศตนว่าเป็นเจ้าของแห่งนี้
“นี่ ข้าก็แค่ให้เจ้าพักอยู่ชั่วคราวเท่านั้น เจ้า เจ้าห้ามแตะต้องของของข้า” นางเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงหันไปมองนาง แววตานั้นนิ่งสงบ
“ได้” นางตอบก่อนจะวางถ้วยน้ำในมือลง พลางมองดูหญิงสาวทั้งสี่ที่ยืนอยู่กลางห้องแล้วผายมือออกไป “นั่งสิ”
แม่นางเฉิงหกและอีกสี่คนคำนับก่อนจะย่อตัวนั่ง ทว่ายังไม่ทันได้นั่งก็นึกบางอย่างขึ้นได้
ล้อกันเล่นหรือ พวกนางต่างหากที่เป็นลูกสาวบ้านนี้ ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มาแสนนาน เหตุใดคนนอกที่มาได้ไม่ถึงวันอย่างนาง ถึงได้ว่าท่าราวเป็นเจ้าของเรือนต่อหน้าพวกนางเช่นนี้
“เจ้า หายดีแล้วจริงๆ หรือ” แม่นางเฉิงเจ็ดยกมือขึ้นถาม
เฉิงเจียวเหนียงไม่ตอบ แม่นางเฉิงหกฟาดมือนางลง
“ท่านป้าของข้าเคยถามแล้วสินะ” นางเอ่ยเสียงแผ่วเบา
เฉิงเจียวเหนียวเพียงแค่หัวเราะเบาๆ ให้กับกิริยาไร้มารยาทของเหล่าเด็กสาว
“ข้ากลับมาเมื่อคราวก่อน ก็หายดีแล้ว” เฉิงเจียวเหนียงตอบ “เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าคิดว่าคนบ้าจะเดินทางปิ้งโจวกลับมาเจียงโจวเองได้อย่างนั้นหรือ”
หากคิดว่าคนบ้าทำเช่นนั้นได้ คนที่คิดเช่นนั้นต่างหากที่บ้า
“ก็สาวใช้ของเจ้าจ่ายเงินจ้างคนมาส่งไม่ใช่หรือ” นางเอ่ยพลางมองไปที่ปั้นฉินที่นั่งอยู่ข้างๆ
“แม่นางชมบ่าวเกินไปเจ้าค่ะ” ปั้นฉินคำนับแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
แน่นอนว่าเฉิงเจียวเหนียงไม่คิดจะเปลืองน้ำลายอธิบายให้กระจ่าง ทั้งยังไม่พูดตอบ ก่อนจะหยิบหวีขึ้นมาแปรงผม ปั้นฉินก็รีบร้อนลุกขึ้นมาปักปิ่นให้ในทันใด
พอเห็นท่าทางแสนผ่อนคลายของสองนายบ่าวแล้ว เหล่าแม่นางเฉิงหกและคนอื่นก็รู้สึกทำตัวไม่ถูก
“จะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าคนบ้าไม่ได้บ้าแล้ว” นางเอ่ยถามเสี่ยงแผ่วเบา
แม่นางเฉิงสี่และแม่นางเฉิงหน้าสีหน้ากระอักกระอ่วนขึ้นมาในทันใด
“ยังต้องพิสูจน์อีกหรือ” พวกนางตอบกลับเสียงเบา พลางมองดูเฉิงเจียวเหนียงที่กำลังหวีผมอยู่ตรงหน้า เมื่อผมถูกรวบขึ้น ก็ยิ่งเห็นหน้าผากอวบอิ่มนั้นอย่างชัดเจน ดวงตาดำขลับเปล่งประกาย ทั้งๆ ที่ไม่ได้สวมใส่เครื่องประดับใด แต่กลับดึงดูดสายตาคนยิ่งนัก
หากคนเช่นนี้เป็นบ้า หญิงสาวทั่วหล้าก็คงยินยอมที่จะเป็นบ้าเหมือนกัน…
“แม้นางจะหน้าตาเช่นนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวว่าจะเป็นคนบ้าหรือไม่ เพราะนั่นมาจากพ่อแม่ของนางต่างหาก” แม่นางเฉิงหกส่งเสียงเย้ยหยัน เหลียวไปมองแม่นางเฉิงเจ็ดที่อยู่ข้างกาย ก่อนจะเชิดคางขึ้น “อย่างเช่นที่แม่นางเจ็ดเกิดมาอัปลักษณ์ ก็ไม่ใช่ความผิดของนาง”
“ข้าอัปลักษณ์ตรงไหน” แม่นางเฉิงเจ็ดร้องโวยวาย
“ข้าก็แค่สมมติ”
“สมมติว่าเจ้าอัปลักษณ์”
“แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าก็อัปลักษณ์จริงๆ นั่นแหละ แต่เพราะเป็นลูกหลานในตระกูลจะว่าอย่างไรได้เล่า”
เสียงร้องไห้ขอแม่นางเฉิงเจ็ดดังขึ้นในห้อง เหล่าแม่นมที่อยู่นอกประตูจึงพากันกรูเข้ามา
“หยุดโวยวายได้แล้ว หยุดโวยวายได้แล้ว…” แม่นางเฉิงหกเอ่ยพลางผลักแม่นางเฉิงเจ็ด “นางไปแล้ว นางไปแล้ว”
ทุกคนเงยหน้าขึ้นมามอง ก็เห็นว่าเฉิงเจียวเหนียงกำลังเดินผ่านพวกนางไป
“นี่” แม่นางเฉิงหกตะโกน
เฉิงเจียวเหนียงหยุดเดินแล้วเหลียวมองนางจากมุมสูง
“มีเรื่องอันใด” นางถาม
“เจ้า เจ้าจะไปไหน” แม่นางเฉิงหกถาม
“ข้าจะไปพบนายใหญ่ของบ้านนี้” เฉิงเจียวเหนียงตอบ
นายใหญ่ของบ้านนี้อย่างนั้นหรือ
“นายใหญ่เฉิงเจ้าค่ะ” ปั้นฉินที่อยู่ข้างๆ เอ่ยเสริม
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้าก่อนจะยกเท้าเดินต่อ
พอเห็นว่านางเดินออกประตูไปแล้ว เหล่าแม่นางเฉิงหกที่เพิ่งได้สติก็ร้องโวยวายกันขึ้นมา
“ถึงอย่างไรข้าก็คิดว่า นาง…นางยังเป็นบ้าอยู่ แปลกคนนัก” แม่นางเฉิงหกเอ่ย
แม่นางเฉิงสี่และแม่นางเฉิงห้าต่างพยักหน้า มองดูแผ่นหลังของหญิงสาวที่อยู่ด้านนอก
“บ้าหรือไม่ข้าไม่รู้ แต่ว่าแปลกชอบกลนัก” พวกนางเอ่ย
“แต่ว่านางช่างงามนัก” แม่นางเฉิงเจ็ดเอ่ยพลางยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตา “มีพี่สาวเช่นนี้ หากออกไปข้างนอก คงดูมีสง่าราศีไม่น้อย”
พอสิ้นเสียงก็ได้ยินเสียงของฮูหยินรองเฉิงดังออกมาจากข้างนอก
“เกิดอะไรขึ้น เกิดอะไรขึ้น เจียวเหนียงออกไปที่ใดกัน แม่นางเจ็ด แม่นางเจ็ด นี่เจ้าเสียงดังรบกวนเวลาพักผ่อนของพี่สาวเจ้าหรือ ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าอย่างเอะอะรบกวนนาง ต้องลงโทษเสียให้เข็ด!”
แม่นางเฉิงเจ็ดหน้าเศร้าในทันที
“ข้าไม่อยากมีพี่สาวแล้ว!” นางกระทืบเท้าตะโกน
ฮูหยินรองเฉิงรั้งเฉิงเจียวเหนียงเอาไว้
“เจ้าจะไปไหนหรือ” นางถามอย่างตื่นตระหนก
“ไปพบนายใหญ่เฉิง” เฉิงเจียวเหนียงตอบ
“ไม่ต้องรีบไปคำนับก็ได้ เจ้าพักผ่อนก่อนสักคืน วันพรุ่งนี้ค่อยไปพบทั้งฮูหยินใหญ่และนายใหญ่พร้อมกัน” ฮูหยินรองเฉิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ข้าจะเอาของบางสิ่งจากเขา” เฉิงเจียวเหนียงตอบ
เอา…ของบางสิ่งอย่างนั้นหรือ
ฮูหยินรองเฉิงตาเป็นประกายในทันใด นางคว้ามือของเฉิงเจียวเหนียงไว้อย่างแผ่วเบา
ที่แท้ตระกูลโจวคงมีเป้าหมายบางอย่างถึงได้ส่งนางกลับมาสินะ…
แผนการไม่เลวนี่ตระกูลโจว ถึงว่าละไม่มีข่าวคราวอันใดเลย มารับคนไปจากนั้นก็สั่งสอน จับแต่งองค์ทรงเครื่องเสียหน่อย แล้วก็พามาปรากฏตัวให้ผู้คนได้เห็นว่านางนั้นหายดีแล้วและรูปงามเพียงใด
ในเมื่อหายดีแล้ว ไม่ได้เป็นบ้าแล้ว ดังนั้นทุกคนก็ย่อมฟังคำพูดของนาง ไม่ใช่ว่าตระกูลโจวจะพูดเองเออเองตามใจได้อีกต่อไป
“เจียวเหนียง เจ้ามากับข้าก่อน ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า” ฮูหยินรองเฉิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
เฉิงเจียวเหนียงมองนาง
“เรื่องอันใดหรือ” นางถาม
“เจียวเหนียง ข้าน่ะ แม้จะเป็นเพียงแม่เลี้ยงของเจ้า แต่ข้านั้นหวังดีกับเจ้าเสมอ…” ฮูหยินรองเฉิงเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงและปั้นฉินมองไปที่นาง
“ท่านหวังดีกับข้าเสมออย่างนั้นหรือ” เฉิงเจียวเหนียงถาม
แม้ฮูหยินรองเฉิงจะถูกจ้องจนขนลุกไปทั้งตัว ทว่าสีหน้ายังคงไม่แปรเปลี่ยน ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมา
“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่เชื่อ” นางเอ่ยพลางหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับหัวตา “แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็เป็นแม่เลี้ยงของเจ้านะ…”
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้าแล้วเอ่ยตัดบทนาง
“ข้าเชื่อ” นางตอบ
จริงหรือ ฮูหยินรองเฉิงแปลกใจไม่น้อยก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองนาง
เฉิงเจียวเหนียงมองนางด้วยรอยยิ้ม
“ข้าเชื่อจริงๆ” นางตอบ “หากท่านเชื่อว่าเช่นนั้น ข้าก็เชื่อเช่นนั้น”