เมื่อเทียบกับความวุ่นวายในเรือนฝั่งนี้ ด้านหน้าเรือนทรงเตี้ยที่ตั้งอยู่ท้ายตรอกนอกเรือนใหญ่ของตระกูลเฉิงนั้นครื้นเครงกว่าเป็นเท่าตัว
“ไหนมาให้ข้าดูเร็วเข้า ไหนมาให้ข้าดูเร็วเข้า ผอมลงหรือไม่ โดนทุบตีหรือเปล่า” ชุนหลานร้องไห้พลางจับจินเกอร์หมุนซ้ายหมุนขวาเพื่อมองสำรวจ
พ่อแม่ของจินเกอร์ที่อยู่ด้านข้างก็พากันหัวเราะพลางปาดน้ำตา
“โธ่ อะไรของพี่เนี่ย” จินเกอร์เอ่ยพลางสะบัดชุนหลานออก ก่อนจะเหวี่ยงท่อนแขนของตัวเองไปมา “ข้าแข็งแรงจะตายไป ตัวสูงขึ้นอีกต่างหาก”
เขาเอ่ยพลางเหลียวหลังกลับไป
“ท่านพี่ทั้งสองวางของไว้ตรงนั้นเถิด พวกท่านก็รีบไปพักผ่อนเสีย”
ครอบครัวของชุนหลานเพิ่งเห็นว่ามีชายสองคนยืนอยู่ ในมือถือห่อผ้าสองใบ รูปร่างสูงใหญ่ สวมใส่เสื้อผ้าเหมือนกับจินเกอร์ ทว่ากลับดูสง่าผ่าเผยกว่าจินเกอร์หลายเท่าตัว
ชุนหลานจำพวกเขาได้ และรู้ว่าพวกเขาเป็นใคร
แม้ยามนี้ท่านชายสี่จะไม่อยู่ที่เรือน แต่นางก็ใช่ว่าจะว่างงาน เพราะถูกสั่งให้ไปทำงานอื่น พอได้ยินข่าวว่าเด็กบ้าผู้นั้นจะกลับมา ชุนหลานก็ดีใจไม่น้อย นางรีบวิ่งตามคนอื่นไปที่หน้าประตูเรือนเช่นกัน เพียงแต่นางมาช้าไป จึงเห็นเพียงแค่แผ่นหลังของเฉิงเจียวเหนียงที่ถูกห้อมล้อมด้วยผู้คนพากันเดินเข้าเรือนไป
แน่นอนว่านางไม่ได้มาดูแม่นางบ้าผู้นั้น แต่มาหาน้องชายของตนต่างหาก เป็นเพราะนางไม่ได้วิ่งตามเข้าไปดูเหมือนคนอื่นๆ ทว่ากลับถามหาแต่จินเกอร์ พอเห็นเหล่าผู้ติดตามของตระกูลโจวท่ามกลางเหล่าบ่าวที่รวมตัวกันอยู่กลางลานบ้าน นางก็ตกตะลึงกับความสง่างามของแถวเรียงรายนั้นเช่นกัน
พอเข้าไปถามไถ่จึงได้รู้ว่าจินเกอร์กลับบ้านไปแล้ว นางถึงได้รีบร้อนกลับมาในทันใด
เมื่อเห็นการแต่งกายของชายทั้งสอง นางก็จำได้ในทันทีว่าคือผู้ติดตามจากตระกูลโจว
“ได้เลย จินเกอร์ เช่นนั้นพวกข้าขอตัวก่อน” ทั้งสองเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะยื่นมือมาตบบ่าจินเกอร์เบาๆ
ท่าทางนั้นแสนอ่อนโยน ดูแล้วคงสนิทสนมกันไม่น้อย แม้จะถูกปล่อยให้ยืนโดยไม่มีผู้ใดสนใจอยู่นานสองนานแต่กลับไม่มีท่าทีหงุดหงิดเลยสักนิด
“พวกท่านกลับไปก่อนเถิด วันพรุ่งนี้ข้าจะพาพวกท่านไปเที่ยวเอง” จินเกอร์เอ่ยพลางหัวเราะคิกคัก
ทั้งสองหันมาคำนับให้แก่พ่อแม่ของจินเกอร์และชุนหลาน สองเฒ่ารับคำนับกลับในทันใดพลางมองทั้งสองคนเดินจากไป
พอทั้งสองคนเดินจากไป เหล่าเพื่อนบ้านรอบข้างก็พากันกรูเข้ามา
“จินเกอร์… พวกเขาเป็นคนของตระกูลโจวหรือ”
“จินเกอร์ เมืองหลวงสนุกไหม”
เสียงซักถามจากผู้คนมากมายดังจอแจ
จินเกอร์ยิ้มก่อนจะตอบคำถามทีละข้อ ทั้งยังเรียกให้ทุกคนเข้ามาในเรือน
“ข้าเอาของขวัญมาฝากทุกคนด้วย” เขาเอ่ย
หน้าใหญ่ใจโตถึงขนาดนั้นเชียวหรือ พอเหลือบมองถุงผ้าสองใบในมือของจินเกอร์ แววตาของทุกคนก็เปล่งประกายในทันใด ก่อนจะโห่ร้องกันออกมาแล้วพาจินเกอร์เข้าไปในบ้าน
ชุนหลานและพ่อแม่เองก็รีบเดินตามไป
“เด็กคนนี้นี่ ไม่มีจะกินอยู่แล้วยังทำหน้าใหญ่ใจโตอีก” ชุนหลานเอ่ยอย่างหงุดหงิดไม่น้อย ไปอยู่เมืองหลวงกลับมาก็วางท่ายกใหญ่ ไม่รู้ว่าของเหล่านั้นไปยืมเงินใครเขามาซื้อหรือเปล่า นางได้แต่นึกเสียใจที่ไม่ได้ห้ามปราม ทำได้เพียงรีบเดินตามเข้าไป
ภายในเรือนนั้นช่างแสนคึกครื้น จินเกอร์เปิดห่อผ้าออกพลางหยิบของขวัญส่งให้ที่ละชิ้น
“นี่คือผ้าแพรที่มีชื่อที่สุดในเมืองหลวง พวกท่านเอาไปตัดเย็บเสื้อผ้าเถิด….”
“นี่คือเหล้าจากทางการที่มีชื่อที่สุดของเมืองหลวง พวกท่านเอาไปลองชิมดู…”
พอได้ยินคำบอกเล่าของจินเกอร์ ทั้งเรือนก็ส่งเสียงโห่ร้องดีใจ ชุนหลานและพ่อแม่กลับหัวใจเต้นถี่รัวมากขึ้นเรื่อยๆ
ลูกน้อยของข้า… ทั้งหมดนี่เป็นเงินมากมายเท่าใดกัน
“จินเกอร์ นี่ นี่ราคาเท่าใดหรือ” เพื่อนบ้านเอ่ยถาม
จินเกอร์ส่ายหน้า
“ไม่รู้เหมือนกัน พี่ปั้นฉินเป็นคนเตรียมให้ข้า” เขาเอ่ยพลางประสานมือทำท่าคำนับทุกคน “ตอนข้าไม่อยู่ ต้องลำบากพวกท่านดูแลท่านพ่อท่านและพี่สาว”
ผู้คนพากันหัวเราะกับคำพูดของเขา
“ใช่ที่ไหนกัน ใช่ที่ไหนกัน…”
“แหม จินเกอร์ได้ไปเมืองหลวงหกสักหนก็ถือว่าดียิ่งนักแล้ว”
“นี่ ดูจินเกอร์ แล้วดูเจ้าสิ เทียบไม่ติดเลย…”
“จินเกอร์ช่างเก่งกาจเสียจริง…”
ได้ยินคำชมมากมาย พลางมองดูสีหน้าของเหล่าเพื่อนที่บ้างก็ยินดี บ้างก็ดูอิจฉาริษยา พ่อแม่ของจริงก็ขยับนั่งยืดอกขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ริมฝีปากคลี่ยิ้มหัวเราะเบาๆ
“เจ้าเด็กคนนี้ พูดจาเช่นนี้เป็นกับเขาด้วยหรือ” ชุนหลานเองก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มแล้วยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตา
พอจากบ้านไปพบเจอความลำบากก็รู้ความมากขึ้นจริงๆ
เหล่าเพื่อนบ้านพากันแยกย้าย ภายในเรือนเหลือเพียงพ่อแม่ลูกสี่คน พอเห็นลูกชายไม่ได้โดนทุบตี ไม่ต้องอดยาก คนทั้งบ้านก็คลายกังวล ทว่าพอหันไปเห็นสองห่อผ้าที่ว่างเปล่าก็ปวดใจขึ้นมา
“เป็นเงินเท่าใดกันแน่” ชุนหลานเอ่ย
“ข้าไม่รู้จริงๆ คงแพงมากกระมัง พี่ปั้นฉินมักซื้อแต่ของชั้นดี เลือกสิ่งใดก็เลือกแต่สิ่งที่ดีที่สุด” จินเกอร์เอ่ยพลางดื่มชาที่ท่านแม่เป็นคนต้มให้
พอได้ยินชื่อนั้นเป็นครั้งที่สอง ชุนหลานก็ชะงักไป
“ปั้นฉินผู้นั้น กลับมาติดตามคนบ้า… นายหญิงแล้วหรือ” นางถาม
“ไม่ใช่ปั้นฉินนั้น นางคือ… ปั้นฉินใหญ่ แต่พี่ปั้นฉินคนนั้นก็ยังติดตามนายหญิงอยู่เช่นกัน คนที่กลับมาด้วยคราวนี้ก็คือนาง” จินเกอร์เอ่ย
ชุนหลานฟังแล้วมึนงง คนไหนเป็นคนไหน ตกลงเป็นใครกันแน่
“มีพี่ปั้นฉินอยู่สามคน พี่ปั้นฉินใหญ่เก่งที่สุดอยู่ที่เมืองหลวง พี่ปั้นฉินรองตอนนี้อยู่กับตระกูลอื่น พี่ปั้นฉินคนแรกก็คือพี่ปั้นฉินคนนี้…” จินเกอร์ยกนิ้วนับพลางเอ่ย พอเห็นพี่สาวงุนงงยิ่งกว่าเดิมแล้วโบกปัดมือขึ้น “เอาเป็นว่าพูดไปแล้วท่านพี่ก็ไม่รู้จักอยู่ดี ไม่ต้องสนใจหรอกผู้ใดคือผู้ใดกันแน่”
ชุนหลานรับคำ ก็จริงอย่างที่ว่า ถึงอย่างไรก็เป็นสาวใช้เหมือนกันทั้งนั้น ขอเพียงแค่ไม่สับสนว่านายเป็นผู้ใดก็พอ
“แล้วตระกูลโจวเป็นคนออกเงินให้หรือ” นางถาม
“นายหญิงของข้ามีเงินเป็นของตัวเอง ไม่ชายตามองเงินของตระกูลโจวหรอก” จินเกอร์เอ่ยอย่างภาคภูมิใจ
นายหญิงมีเงินอย่างนั้นหรือ
พ่อแม่และชุนหลานต่างสบตากัน
“คนบ้านั่นไปหาเงินมาจากไหนกัน” พวกเขาเอ่ยขึ้นพร้อมกัน
“นายหญิงของข้าไม่ใช่คนบ้าเสียหน่อย” จินเกอร์เอ่ยอย่างไม่พอใจนัก สีหน้าบึ้งตึง “พวกท่านอย่าได้พูดเช่นนี้อีก เรื่องที่พวกข้าต้องพบเจอในเมืองหลวง พวกท่านต้องคาดไม่ถึงเป็นแน่ หากนายหญิงเป็นคนบ้า วันนี้ข้าคงไม่ได้กลับมาแล้ว”
ทั้งสามคนในห้องตกตะลึงยิ่งกว่าเดิม
“พบเจอเรื่องอันใดหรือ” พวกเขาถาม
ภายในเรือนทรงเตี้ย เด็กหนุ่มสีหน้าเคร่งเครียดนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะรองผืนเก่าโทรม สายตามองออกไปข้างนอก ราวกับกำลังรำลึกเรื่องราวในอดีต
ภายในห้องเงียบสงัด ที่แปลกก็คือชุนหลานและพ่อแม่กลับรู้สึกอึดอัดขึ้นมาเสียอย่างนั้น พวกเขาไม่กล้าเอ่ยถามต่อ แม้คนที่ถูกถามจะเป็นคนใกล้ชิดอย่างลูกชายหรือน้องชายก็ตาม
เด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าราวกับเป็นคนละคนที่จากบ้านไปได้ปีกว่า
“พวกท่านไม่ต้องถามหรอกว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น พี่ปั้นฉินกำชับมาว่าไม่ให้ข้าพูด” จินเกอร์เอ่ยพลางยิ้มบาง “พวกข้าติดตามนายหญิง ลงมือทำให้เยอะ พูดให้น้อยเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว”
เขาเอ่ยพลางล้วงกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อแล้วยื่นให้สองเฒ่าข้างหน้า
“ข้าไม่ได้ซื้อของขวัญอะไรให้ท่านพ่อ ท่านแม่ แล้วก็ท่านพี่ นี่เป็นเงินที่พี่ปั้นฉินให้ข้าไว้ใช้จ่ายประจำเดือน พวกท่านรับไว้เถิด” เขาเอ่ย
พ่อแม่ของจินเกอร์เพิ่งเคยเห็นสิ่งของเช่นนี้เป็นครั้งแรกจึงรู้สึกงุนงงไม่น้อย ชุนหลานที่ติดตามท่านชายสี่ก็พอมีความรู้อยู่บ้าง นางรู้ว่าสิ่งนี้คือตั๋วแลกเงิน
“มีเงินไม่เท่าไหร่ ก็ทำตัวเช่นนี้เสียแล้ว ซื้อของแจกชาวบ้านไปทั่ว” นางเอ่ยพลางยื่นมือออกไปหยิบขึ้นมา พอเห็นตัวเลขบนนั้นอย่างชัดเจนก็ชะงักไป ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาด้วยความตกตะลึง
“หนึ่งพันก้วน!”
พ่อแม่ของจินเกอร์ตกตะลึงกับจำนวนนั้นเช่นกัน
เงินเดือนของพวกเขาเพียงแค่ห้าสิบเหวินเท่านั้น ยามนี้เงินหนึ่งก้วนที่เจียงโจวก็ขึ้นสูงถึงเจ็ดร้อยยี่สิบเหวินแล้ว แล้วเงินหนึ่งพันก้วนนี่เท่ากับกี่เหวิน
ในหัวของสองชายชราขาวโพลนไปหมด สองหูอื้ออึง คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออกเสียที
“เหตุใดถึงมากมายเช่นนี้” ชุนหลานถือตั๋วเงินด้วยมืออันสั่นเทา ถามออกไปด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
จินเกอร์ฉีกยิ้ม
“พี่ปั้นฉินบอกว่าเงินเดือนของข้าเท่ากับเงินเดือนของบัณฑิตหลงถู” เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
บัณฑิตหลงถูอย่างนั้นหรือ
แม้จะไม่แน่ใจว่าคือสิ่งใด แต่ฟังดูแล้วคงเป็นขุนนางตำแหน่งใหญ่โต
เงินเดือนของบ่าวคนหนึ่งจะเท่ากับเงินเดือนของขุนนางในราชสำนักได้อย่างไร ล้อกันเล่นหรือ!
“พี่ปั้นฉินบอกว่าคนเราน้อย แต่ละคนจึงได้มากหน่อย ทั้งยังบอกว่าข้าจากบ้านมาไกล ตอนนี้ข้าขับรถม้าเป็นแล้ว ทั้งยังต้องเฝ้าประตูเรือน แถมยังต้องผ่าฟืนปัดกวาดเช็ดถูอีก ทำงานคนเดียวแทนหลายๆ คน ก็ควรได้รับเงินมากๆ” จินเกอร์เอ่ยพลางยิ้มกว้าง ก่อนจะยกมือลูบหัวตัวเองอย่างภาคภูมิใจอยู่ไม่น้อย
ที่แท้เขาทำงานเป็นมากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ
ทั้งยังพูดถึงพี่ปั้นฉินผู้นั้นอีก
“แล้วตกลงพี่ปั้นฉินเป็นนายเจ้า หรือนายหญิงเป็นนายเจ้ากันแน่” ชุนหลานถามออกไปอย่างอดไม่ได้
“นายหญิงก็ต้องเป็นนายข้าอยู่แล้ว เพียงแต่เรื่องเล็กพวกนี้นายหญิงไม่สนใจหรอก ให้พี่ปั้นฉินจัดการก็เพียงพอแล้ว” จินเกอร์ปัดมือพลางเอ่ยอย่างเกียจคร้าน
เรื่องเล็กพวกนี้อย่างนั้นหรือ
หากเรื่องเงินเป็นเรื่องเล็ก แล้วเรื่องใดถึงจะเป็นเรื่องใหญ่
“ใช่ไหมล่ะ เรื่องเล็กจะตายไป” จินเกอร์เอ่ยพลางยกชาขึ้นดื่มต่อ
กำจัดพวกคนที่จ้องจะรังแกพวกเขาต่างหากคือเรื่องใหญ่ที่นายหญิงเป็นคนจัดการ
เรื่องวุ่นวายในเรือนฮูหยินเฉิงก็ดี เรื่องน่ายินดีใจของจินเกอร์ก็ดี ล้วนแต่ไม่ส่งผลใดต่อเฉิงเจียวเหนียงเลยสักนิด
นางไม่มีทางรู้ แม้รู้นางก็ไม่สนใจอยู่ดี
เฉิงเจียวเหนียงพักอยู่ที่เรือนของแม่นางเฉิงเจ็ดที่ฮูหยินรองเฉิงจัดเตรียมไว้ให้ นางอาบน้ำชำระร่างกายก่อนจะนอนหลับพักผ่อน พอตื่นขึ้นมาก็เห็นว่าปั้นฉินที่นั่งอยู่บนเบาะกำลังก้มหน้าพับเสื้อผ้าที่เพิ่งเปลี่ยน แสงอาทิตย์ยามอัสดงสาดส่องเข้ามาในห้อง บรรยากาศช่างเงียบสงบยิ่งนัก
ด้านนอกประตูมีเสียงฝีเท้าและเสียงพูดคุยแผ่วเบาลอยเข้ามา ไม่นานก็มีคนชะโงกหัวเข้ามาจากนอกประตู
ปั้นฉินได้ยินก็ลุกยืนขึ้นในทันใดก่อนจะเดินไป พลางโบกมือให้คนผู้นั้น
“นายหญิงยังไม่ตื่นเจ้าค่ะ” นางเอ่ยเสียงแผ่วเบา
แม่นางเฉิงเจ็ดได้ยินนางพูดเช่นนั้น สายตาก็มองเข้ามาในห้อง เฉิงเจียวเหนียงที่นอนตะแคงกายอยู่บนเตียงก็มองมาเช่นกัน ดวงตาทั้งสี่สอดประสานกัน
ดวงตากลมโตล้ำลึกที่เปล่งประกายแวววาวนั้นไม่แม้แต่จะกระพริบไหว
ยังไม่ตื่นอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นนาง… นอนหลับทั้งที่ยังลืมตาอยู่งั้นหรือ
นอนลืมตาจริงๆ ด้วย! น่ากลัวชะมัด!
แม่นางเฉิงเจ็ดกรีดร้องเสียงแหลมก่อนจะถอยไปหลบข้างหลัง เสียงร้องของนางทำให้แม่นางเฉิงหกและคนอื่นๆ ตกใจจนพากันกรีดร้องออกมาเช่นกัน นางพลาดเหยียบชายกระโปรงจนเซไปชนผู้อื่น ก่อนจะพากันล้มลงไปกองบนพื้น
เหล่าแม่นมและสาวใช้ที่ตามมาไม่รู้ว่าพวกนางตกใจเรื่องอันใดกัน ก็ตะโกนร้องแล้วเข้าไปพยุงในทันที
ภายในเรือนโกลาหลขึ้นมาในทันใด