ตอนที่ 6.2 ผู้เข้าคัดเลือกผู้อาวุโส (2)

หนทางรอดของนักบุญหญิงตัวปลอม

ที่พักของนักบวชเดลเลอร์เงียบสงบมาก ความหรูหรามีไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าห้องของนักบุญหญิงสมกับเป็นที่พักของผู้อาวุโส แต่ภายในห้องของเขากลับมีเพียงสิ่งของที่จำเป็นเท่านั้นจนมองเผินๆ แล้วไม่ต่างจากห้องของราธบัน แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะรู้ว่าเดลเลอร์เป็นคนอย่างไร

“เช่นนั้นทุกท่านช่วยออกไปก่อนสักครู่”

ฉันกล่าว จากนั้นพวกเขาก็ค้อมตัว ปิดประตูแล้วออกไป ในห้องได้ยินแต่เสียงลมหายใจบางเบา ฉันเดินเข้าไปใกล้ผู้อาวุโส

ขณะที่เข้าไปใกล้ กลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ของคนไข้ก็เข้ามาปะทะจมูก กลิ่นที่คุ้นเคย กลิ่นอายที่จะโชยออกมาเมื่อเข้าใกล้ความตาย เป็นกลิ่นที่ต่อให้อาบน้ำอย่างสะอาดสะอ้านเพียงใดก็ไม่อาจหายไปได้

ฉันยืนพิจารณาผู้อาวุโสเงียบๆ ด้วยชื่อเดลเลอร์ ทำให้ฉันคาดเดาไปว่าผู้อาวุโสเป็นผู้ชาย แต่ที่จริงแล้วผู้อาวุโสเป็นผู้หญิง ฟังคำพูดของเหล่านักบวชที่ดูแลนาง เห็นว่ากินอะไรไม่ได้เลยตั้งแต่เมื่อวาน และตอนที่ได้ยินว่าวันนี้กระทั่งน้ำก็ดื่มเข้าไปไม่ค่อยได้แล้ว ฉันก็รู้ทันที

‘ทนได้อีกไม่นานแล้ว’

หนึ่งในเรื่องที่เรียนรู้ได้ในโรงพยาบาล คนที่กินข้าวไม่ได้แล้วจะตายในไม่ช้า หากแพทย์ยืนยันถึงเรื่องนั้นแล้ว ก็จะแจ้งให้ทางครอบครัวเตรียมพร้อมสำหรับจุดจบอย่างเงียบๆ

ฉันนั่งลงข้างเตียงที่นางนอนอยู่ จากนั้นก็จับมือนางเอาไว้ มือหยาบกร้านที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น แม้ฉันจะจับมือไว้แต่นางก็ไม่ลืมตา บางทีคงกำลังหลับอยู่ แถมยังเป็นการนอนหลับที่ลึกและยาวนาน

ฉันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ขณะที่จับมือนางไว้

‘ขอโทษค่ะ’

ฉันวิงวอนขอขมากับผู้อาวุโสจากใจจริง ที่ฉันมาหาผู้อาวุโสผู้ที่กำลังจะจากโลกใบนี้ในอีกไม่ช้าไม่ใช่เพราะแค่อยากมาทักทายเป็นครั้งสุดท้ายเท่านั้น

‘…ฉันอยากรู้’

หลังจากเริ่มใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ได้ ฉันก็ใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ทุกคืนจนกว่าจะหมดแรงสลบไป บางทีอาจเป็นเพราะเรื่องนั้นเลยทำให้น้ำหนักลดลงไป นั่นทำให้ฉันสามารถควบคุมขนาดและรูปร่างของพลังศักดิ์สิทธิ์ได้ระดับหนึ่ง ไม่เงอะงะเมื่อเทียบกับครั้งแรกที่ใช้แล้ว

ฉันสงสัยว่าพลังศักดิ์สิทธิ์มันครอบครองพลังมากถึงขนาดไหน พอได้เห็นว่ามันสามารถรักษาบาดแผลลึกที่ถูกกริชบาดได้ในครั้งเดียวแล้วฉันจึงสงสัยว่าแท้ที่จริงแล้วพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้รักษาซึ่งฉันครอบครองอยู่จะแสดงให้เห็นถึงพลังที่ยิ่งใหญ่เพียงใดกัน

‘ขอโทษจริงๆ ขอโทษจริงๆ นะคะ”

อันที่จริง นี่ไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายสำหรับผู้อาวุโส ว่ากันว่าพลังศักดิ์สิทธิ์แทบจะไม่ส่งผลอะไรกับความอ่อนแอจากความชราภาพเลย ทว่าบางทีหากเป็นพลังศักดิ์สิทธิ์ของนักบุญหญิงก็อาจจะช่วยให้ทุเลาลงบ้างสักเล็กน้อย แม้สภาพจะดีขึ้น แต่สุดท้ายสิ่งที่ฉันทำก็คือการทดลองค้นหาพลังของพลังศักดิ์สิทธิ์อยู่ดี ดังนั้นจึงไม่อาจลบความรู้สึกผิดที่มีต่อผู้อาวุโสได้

ฉันจับสองมือของผู้อาวุโสแน่นก่อนจะตั้งสมาธิ

ฉันสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิอบอุ่นใต้ฝ่ามือ และในตอนที่กำลังหายใจอย่างแรงอีกครั้งนั่นเอง

วาบ!

เปลวเพลิงสีฟ้าครามขนาดใหญ่ที่โอบล้อมมือฉันกำลังกระเพื่อม ฉันมองไปที่มันอย่างสงบนิ่งมากที่สุดและวาดรูปร่างที่ต้องการอยู่ในใจ ทันใดนั้นเปลวเพลิงก็อ่อนลง ก่อนจะเปลี่ยนรูปร่างในไม่ช้า ตอนนี้พลังศักดิ์สิทธิ์มิใช่เปลวเพลิงอีกต่อไปแต่เปลี่ยนเป็นมีรูปร่างคล้ายเชือกเส้นหนาสีฟ้าคราม มันพุ่งออกจากมือของฉันแล้วค่อยๆ ไปโอบล้อมร่างกายของผู้อาวุโส

“…!”

ชั่วขณะพลันเกิดอาการวิงเวียนและสัมผัสได้ว่าพลังกำลังไหลผ่านมือของฉันออกไปจนหมด

ทั้งๆ ที่วันนี้เพิ่งใช้พลังศักดิ์สิทธิ์เป็นครั้งแรก แต่กลับรู้สึกเหนื่อยล้าอย่างมากแล้ว

มีหนังสือในห้องหนังสือที่เขียนเล่าถึงพลังศักดิ์สิทธิ์อยู่บ้าง มันเป็นหนังสือที่ยาวมาก แต่ว่าเนื้อหาที่จำเป็นสำหรับฉันตอนนี้กลับไม่ยาวถึงขนาดนั้น

พลังศักดิ์สิทธิ์คือพลังที่พระเจ้าประทานให้ ดังนั้นจึงไม่อาจละเมิดกฎเกณฑ์ที่พระเจ้ากำหนดขึ้นได้ เพราะฉะนั้นพลังศักดิ์สิทธิ์จึงไม่สามารถชุบชีวิตคนตายได้ และไม่สามารถทำให้คนที่ชราแล้วกลับมาเป็นหนุ่มสาวได้ สิ่งที่พลังศักดิ์สิทธิ์สามารถช่วยรักษาได้คือ บาดแผล พิษ และโรคติดต่อ

นอกเหนือจากนั้น พลังศักดิ์สิทธิ์คือพลังที่ใช้ในการคุ้มกันร่างกาย นักบุญหญิง ผู้อาวุโสและนักบวชระดับสูงส่วนหนึ่ง ร่วมกันใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ที่พวกตนครอบครองในการสร้างเกราะป้องกันขึ้น เป็นเกราะป้องกันที่อาวุธธรรมดาก็ไม่อาจทำลายได้ รวมทั้งยังป้องกันการโจมตีจากปีศาจได้อีกด้วย

แม้ผู้คนจะมองไม่เห็นได้ด้วยตา แต่ทวีปคือดินแดนที่ถูกปกปักรักษาด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ของนักบุญหญิง ดังนั้นในตอนที่พลังศักดิ์สิทธิ์ของนักบุญหญิงอ่อนแอลง เหล่าปีศาจจะเข้ามาในทวีปและโจมตีผู้คนได้

เพราะฉะนั้น นอกจากวันที่ถูกระบุไว้ในวิหารหลวง นักบุญหญิงจะไม่ใช้พลังในการรักษาคน นั่นเพราะหากนักบุญหญิงต้องดูแลผู้ป่วยทั้งหมดในทวีปและอ่อนแอจนถึงขนาดที่ไม่ฟื้นฟูกลับมาได้ ทั่วทั้งทวีปก็จะเกิดอันตรายขึ้น

‘แต่ใช้ในระดับนี้ยังโอเคอยู่’

แม้จะเหน็ดเหนื่อยจากการฝึกในทุกครั้งที่มีเวลาว่าง แต่เมื่อนอนตื่นมาพลังศักดิ์สิทธิ์ก็จะฟื้นฟูกลับมาอีกครั้ง ดังนั้นพลังที่ใช้ในการปกปักรักษาทวีปจึงยังคงสมบูรณ์

โชคดีที่ไม่นานอาการวิงเวียนก็ทุเลาลง และพลังศักดิ์สิทธิ์ที่โอบล้อมตัวผู้อาวุโสก็สงบลงแล้ว ความซาบซึ้งใจพลันแล่นผ่านเป็นครั้งแรกหลังจากเห็นประกายแสงนั้น พลังศักดิ์สิทธิ์ให้ความรู้สึกปลอดภัยและสงบอย่างน่าประหลาดทุกครั้งที่ได้มอง ขณะเดียวกันมันก็ทำให้รู้สึกว่านี่มันไม่ใช่พลังที่มนุษย์สามารถสร้างขึ้นได้

‘ดูเหมือนจะเกิดความศรัทธาที่ไม่เคยมีมาก่อนสะแล้ว’

ผู้คนที่อยู่ในโรงพยาบาลถูกแบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ๆ คนที่ยึดติดพระเจ้าราวกับคนเสียสติ และคนที่ปฏิเสธการมีอยู่ของพระเจ้าอย่างแรงกล้า ฉันเป็นประเภทหลัง ตอนหลังยังได้ยินมาว่าผู้คนที่นอนรอความตายอยู่ในโรงพยาบาลตั้งแต่อายุยังน้อยมีจำนวนมากที่เป็นประเภทหลัง

แต่ตอนนี้ฉันผู้นั้นถึงกับเกิดจิตใจที่อยากจะสวดภาวนาแม้เพียงสั้นๆ ขณะมองพลังศักดิ์สิทธิ์

“…!”

ฉันมองดูผู้อาวุโสอยู่เงียบๆ ก็พลันสัมผัสได้ว่ามือของนางกำลังกระตุกและขยับ ไม่นาน นางก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นพลางมองไปรอบข้าง จากนั้นก็มีสีหน้าประหลาดใจเมื่อเห็นฉัน

“ท่าน… นักบุญหญิง?”

“อรุณสวัสดิ์ค่ะ ผู้อาวุโสเดลเลอร์ รู้สึกอย่างไรบ้าง?”

นางกะพริบตาอย่างเชื่องช้าเมื่อได้ยินคำทักทายของฉัน จากนั้นก็มองแสงที่ปกคลุมร่างของตนอยู่แล้วยิ้มอย่างขมขื่น

“นี่ท่าน…ใช้พลังศักดิ์สิทธิ์กับข้านี่เอง”

น้ำเสียงของนางแฝงไปด้วยความขำขันและตำหนิบางเบาว่าฉันทำเรื่องที่ไร้ประโยชน์แบบนี้ไปทำไม แม้ว่านางอาจจะไม่รู้แต่สำหรับฉันนี่ไม่ใช่เรื่องไร้ประโยชน์

‘นี่คือพลังที่พลังศักดิ์สิทธิ์ครอบครอง’

คนที่กำลังนอนรอความตายไม่มีสติจนถึงเมื่อครู่ก่อน สามารถลืมตาขึ้นมาสนทนาด้วยสติชัดแจ้งได้ แน่นอนว่ามันไม่อาจคงอยู่ได้นาน แต่ถึงอย่างไรก็ยืนยันได้ว่ามันคือพลังที่น่าทึ่ง

ผู้อาวุโสพูดเช่นนั้นแล้วทอดสายตามาที่ฉัน

“…ดูเหมือนจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปนะคะ”

“…!”

ร่างกายพลันสั่นสะท้านเมื่อได้ยิน

“…อะไรเปลี่ยนไปอย่างนั้นหรือคะ?”

หรือว่าผู้อาวุโสตระหนักได้ทันทีว่าฉันไม่ใช่อีเบลลีน่า? หัวใจของฉันเต้นแรง

“เอาเป็นว่า…แค่ท่านไม่ถามข้าว่าทำไมยังไม่ตายอีกก็เปลี่ยนไปมากแล้วล่ะค่ะ”

“…”

ฉันรีบย้อนดูความทรงจำของอีเบลลีน่าทันที ขณะจมอยู่ในความคิดสักพัก ภาพความทรงจำเกี่ยวกับผู้อาวุโสซึ่งฝังอยู่ในส่วนลึกพลันผุดขึ้นมา

ความทรงจำย้อนกลับไปสมัยที่อีเบลลีน่ายังเป็นเด็ก บางทีคงเป็นสมัยที่ยังมาวิหารได้ไม่นานนัก? ผู้อาวุโสเองก็ยังดูสาวกว่าตอนนี้มาก ผู้อาวุโสในความทรงจำใจดีมากและแน่นอนว่าอีเบลลีน่าก็ติดตามนางอย่างดี ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้อาวุโสและนางยังคงดำเนินต่อไปแม้ว่านางจะเติบโตขึ้นแล้วก็ตาม

‘แล้วทำไมความสัมพันธ์กับผู้อาวุโสถึงได้กลายเป็นเหินห่างแบบนี้ได้’

ฉันคิดพลางค้นดูความทรงจำยิ่งกว่าเดิม ทันใดนั้นภาพลักษณ์ของผู้อาวุโสก็พลันเปลี่ยนไป ต่างจากความทรงจำก่อนหน้าโดยสิ้นเชิง ใบหน้าของผู้อาวุโสมีรอยเหี่ยวย่นและร่างกายก็อ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัด และอีเบลลีน่ากำลังร้องตะโกนใส่ผู้อาวุโสผู้นั้น

ข้าเพิ่งรู้ว่าผู้อาวุโสทำเรื่องตามใจตนเองถึงเพียงนี้ นี่ท่านส่งหน่วยอัศวินแห่งวิหารไปโดยไม่ได้รับอนุญาตจากข้าอย่างนั้นหรือ? อยู่ตำแหน่งนั้นมานาน ตอนนี้เจ้าเลยคิดจะขึ้นมานั่งบนหัวของนักบุญหญิงแล้วใช่หรือไม่?”

ผู้อาวุโสและเหล่านักบวชต่างก็ลำบากใจมากเมื่อได้ยินดังนั้น

“แต่ว่าท่านนักบุญหญิง! หากละเลยที่แห่งนั้นแบบนี้ทุกคนจะตายกันหมดนะคะ”

“…ถ้าเช่นนั้นก็สมควรตายแล้วมิใช่หรือ”

“ท่านนักบุญหญิง!”

“ข้าจะไม่มีวันส่งหน่วยอัศวินไปที่นั่นเด็ดขาด! หากตายก็ถือเสียว่านี่เป็นประสงค์ของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ บอกให้พวกเขาอดทนไปเสีย!”

นักบุญหญิงและผู้อาวุโสโต้เถียงกันด้วยปัญหาที่ต้องไปช่วยเหลือที่ไหนสักแห่ง ความทรงจำของเหตุการณ์นั้นจบลงตรงนั้น ความทรงจำกับผู้อาวุโสที่หลงเหลืออยู่อย่างเลือนลางหลังจากนั้นล้วนมีแต่ความเย็นชาไม่มีที่สิ้นสุด

‘เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่’

ไม่มีความทรงจำช่วงกลางหลายปีเลย ราวกับหนังสือที่ถูกฉีกตรงกลางออก ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าอะไรคือเหตุผลที่ทำให้ความสัมพันธ์แย่ลงจนถึงกับต้องร้องกะโกนใส่ผู้อาวุโสที่ติดตามสมัยยังเด็กราวกับมารดา

มือของผู้อาวุโสบีบมือฉันแน่นในตอนที่กำลังดูความทรงจำของอีเบลลีน่าอยู่แบบนั้น

“ได้ยินว่าจัดพิธีสวดภาวนาขึ้นในตอนที่ข้าหลับไหลอยู่ ทุกคนเหนื่อยมากแท้ๆ แต่ข้ากลับขี้เกียจและยังกลับไปอยู่ข้างพระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ คงทำให้หลายคนต้องลำบากกันมาก ข้าควรจะรีบสละตำแหน่งนี้ได้แล้ว”

“…”

“…ท่านได้กำหนดไว้หรือยังว่าผู้อาวุโสคนถัดไปเป็นใคร?”

น้ำเสียงที่กล่าวออกมาของผู้อาวุโสเต็มไปด้วยความกังวล ความห่วงใยในวิหารหลวงและนักบุญหญิงจากใจจริงสามารถอ่านได้จากสายตาคู่นั้นของนาง

“…มีผู้เข้าคัดเลือกเป็นจำนวนมาก ยังตัดสินใจไม่ได้ค่ะ”

“อย่างนี้เอง…”

น้ำเสียงของผู้อาวุโสคลุมเครือ ตอนนั้นเอง ฉันนึกถึงชื่อของคนผู้หนึ่งขึ้นมาได้

“ในจำนวนเหล่านั้น มีหลายเสียงที่แนะนำนักบวชคาร์ลค่ะ”

ผู้อาวุโสเบิกตากว้างขึ้นมากะทันหัน และหลังจากนั้นน้ำตาก็ไหลรินเป็นสายออกมาจากตาของนาง นางจับมือฉันแน่นพลางกล่าว

“โอโอ พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ในที่สุดท่านก็คืนดีกับนักบวชคาร์ลแล้ว เขากลับมายังวิหารหลวงแล้วสินะ นักบวชผู้น่าสงสารที่ถูกทอดทิ้งไว้ที่ดินแดนแร้นแค้น!”

นี่เป็นข้อมูลแรกที่ได้ยินเกี่ยวกับคาร์ล แต่ในตอนที่ฉันกำลังจะเอ่ยปากถามเรื่องเขากับผู้อาวุโสนั่นเอง

“…!”

ร่างกายเริ่มสั่น มันไม่ใช่ปฏิกิริยาของฉัน อีเบลลีน่ากำลังเกิดการตอบสนองเหมือนกับครั้งแรกที่ได้ยินชื่อของนักบวชคาร์ล ฉันใช้พลังทั้งหมดในการทำให้ร่างกายสงบลง และแสร้งทำเป็นที่เยือกเย็นสุดก่อนจะถาม

“ท่านอยากให้เขาเป็นผู้อาวุโสคนถัดไปหรือ?”

“แน่นอนสิคะ จะมีใครเหมาะสมไปมากกว่าเขาอีกหรือ ท่านนักบุญหญิง ท่านคิดถูกแล้ว คิดถูกแล้ว ต่อให้ตอนนี้พระเจ้าเรียกข้ากลับไปก็ไม่เสียใจแล้ว แม้ข้าจะไม่อาจอยู่ด้วยได้…แต่ก็หวังว่าจะภาพของนักบุญหญิงและนักบวชคาร์ลแบบเมื่อก่อนจะหวนกลับมา ช่วงเวลาที่งดงามและสงบสุข”

ฉันวางมือของผู้อาวุโสที่จับไว้ลง ตอนนี้ร่างกายของอีเบลลีน่ากำลังสั่นจนไม่อาจปิดบังไว้ได้แล้ว

‘ทำไม’

ทำไมอีเบลลีน่าถึงมีปฏิกริยาแบบนี้เพียงแค่ได้ยินเรื่องของคาร์ล? ที่จริงแล้วเขาคือใครกันแน่?

ฉันจับร่างที่กำลังสั่นไว้แน่น

ไม่รู้เพราะอะไร เหมือนกำลังได้ยินเสียงของอีเบลลีน่ากำลังกรีดร้องอยู่ไกลๆ

***

ตอนที่ก้าวออกมาจากห้องของผู้อาวุโสก็เป็นตอนที่เวลาผ่านไปสักพักแล้ว นางเอาแต่ร้องไห้และพึมพำว่าดีแล้วจนหลับไปอีกครั้ง ฉันเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์กลับคืนมาเมื่อเห็นเช่นนั้น จากนั้นก็กล่าวลากับนางผู้ที่เพิ่งเคยพบกันครั้งแรก

ฉันสามารถรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณ บางทีพรุ่งนี้ผู้อาวุโสก็คงจะหมดลมหายใจแล้ว

‘แม้จะเป็นพลังศักดิ์สิทธิ์ของนักบุญหญิงเองก็สามารถยื้อคนที่กำลังจะตายได้เพียงแค่เท่านี้สินะ’

ฉันคิดขณะมองมือ มือคู่นี้ยังคงสั่นระรัว ร่างกายของอีเบลลีน่ายังคงมีอาการคล้ายคนที่ตกตะลึงด้วยความหวาดกลัว

‘อีเบลลีน่าและคาร์ลเคยเข้ากันได้ดี’

ผู้อาวุโสถึงกับกล่าวว่า ‘ช่วงเวลาที่งดงามและสงบสุข’ ด้วยซ้ำ หลังจากนั้นผู้อาวุโสก็หลุดพูดถึงข้อมูลของคาร์ลบ้างเป็นครั้งคราว

เขามีร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง เป็นคนนิ่งเงียบและสุขุมมาก เป็นนักบวชที่ทะนุถนอมอีเบลลีน่าที่เข้ามาในวิหารตั้งแต่ยังเด็ก และอีเบลลีน่าส่งเขาไปยังพื้นที่แร้นแค้นด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง

พอเงยหน้ามาก็มีผู้คนที่กำลังรอคอยให้ฉันออกมาอยู่

“ผู้อาวุโสเพิ่งเข้านอนไปเมื่อครู่ แล้วก็…เตรียมการส่งนางกลับไปอยู่เคียงข้างพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ด้วย”

“…เข้าใจแล้วขอรับ/ค่ะ”

เหล่านักบวชทำสำคัญมหากางเขนและประสาทพรสั้นๆ ก่อนจะเริ่มเดินทาง ส่วนฉันเองก็ทำสำคัญมหากางเกงสั้นๆ ให้กับผู้ที่เพิ่งพบกันเป็นครั้งแรกวันนี้ และจากกันในวันนี้ด้วยเช่นกัน