ตอนที่ 6.3 ผู้เข้าคัดเลือกผู้อาวุโส (3)

หนทางรอดของนักบุญหญิงตัวปลอม

เดินมาได้สักพักก็ถึงจัตุรัสกลางวิหาร ที่นี่เป็นสถานที่ที่ใช้จัดพิธีสวดภาวนาจึงชวนให้รู้สึกคุ้นเคย ทันทีที่เดินเข้าประตูของอาคารขนาดใหญ่และหรูหรา สายลมเย็นสบายที่เป็นเอกลักษณ์ของอาคารที่สร้างขึ้นจากหินก็เข้ามาปะทะใบหน้า

“กำลังรออยู่เลยขอรับ เชิญท่านทางด้านนี้”

เมื่อเดินตามพวกเขาไปไม่นานก็พบกับสถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่และโอ่อ่าตั้งแต่ประตูทางเข้า ฉันรู้ว่าที่นี่คือที่ไหน ห้องที่ใหญ่และหรูหราที่สุดแม้อยู่ในจัตุรัสกลาง และมีเพียงนักบวชที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นที่สามารถเข้าไปได้ พอเปิดประตูออกไปก็เห็นโต๊ะตัวยาวและเหล่านักบวชที่ยืนรออยู่ด้านหน้านั้น

ทันทีที่ฉันก้าวเข้าไปและประตูถูกปิดลง พวกเขาทุกคนก็หันมาค้อมศรีษะให้ฉัน

พวกเขาก็ใส่ชุดเครื่องแบบเหมือนฉันเช่นกัน ทั้งยังเป็นชุดเครื่องแบบที่จะสวมเฉพาะในวันสำคัญเท่านั้น การปักเย็บอย่างประณีตด้วยด้ายสีทองเปล่งประกายบนเสื้อของพวกเขา แสดงให้เห็นว่าผู้คนที่อยู่ในที่แห่งนี้ ณ ตอนนี้คือบุคคลที่มีตำแหน่งสูงมากเพียงใดในวิหารหลวง

ฉันโค้งหัวเล็กน้อย แล้วพูดกับเหล่านักบวชที่กำลังยืนอยู่

“ทุกคนเชิญนั่งได้”

เสียงเลื่อนเก้าอี้ไปด้านหลังพรมดังขึ้น คนที่ยืนอยู่เมื่อครู่นั่งลง ทันใดนั้น ภาพของเหล่านักบวชระดับกลางที่ยืนอยู่ทุกซอกทุกมุมจากที่ไกลๆ ของห้องก็ปรากฏเข้าสู่สายตา นักบวชระดับกลางมิใช่ตำแหน่งที่ต่ำเลย

ในวิหารหลวงแบ่งออกเป็นนักบุญหญิงหนึ่งคน ผู้อาวุโสหนึ่งคน นักบวชระดับสูงสามสิบหกคน นักบวชระดับกลางหนึ่งร้อยสิบคน นักบวชระดับต่ำหนึ่งพันห้าร้อยคน และที่เหลือคือนักบวชทั่วไปที่ยากจะนับจำนวน ผู้คนที่อยู่ประจำในนี้กะคร่าวๆ แล้วยังมีมากกว่าสี่หมื่นคน นักบวชระดับกลางเป็นร้อยสิบคนในจำนวนเหล่านั้น เป็นตำแหน่งที่ไม่ว่าเดินไปที่ไหนในวิหารหลวงก็มีผู้คนก้มหัวให้

แต่ทว่าไม่ใช่ในที่แห่งนี้

นักบวชระดับกลางยืนก้มหัวโดยไม่แม้แต่จะได้รับเก้าอี้ และแน่นอนว่าผู้ที่ได้นั่งก็คือเหล่านักบวชระดับสูงในวิหารหลวงแห่งนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ปกติแล้วนักบวชระดับสูงส่วนหนึ่งยังออกจากวิหารหลวงเพื่อไปช่วยเหลือชาวบ้าน ดังนั้นการจะได้เห็นภาพที่นักบวชระดับสูงทุกคนมารวมตัวกันจึงยิ่งเป็นเรื่องยาก

แม้ทุกคนจะมารวมตัวกันตอนพิธีสวดภาวนา แต่ตอนนั้นต่างคนต่างก็แยกย้ายกันไปอยู่ในตำแหน่งที่รับผิดชอบ จึงมิใช่ภาพปรากฏการณ์ดังเช่นตอนนี้ พอมองเหล่านักบวชระดับสูงที่นั่งอยู่ก็เห็นสีหน้าเป็นกังวลชัดเจน

‘มันแน่นอนอยู่แล้ว’

สาเหตุที่ทำให้นักบวชระดับสูงทุกคนมารวมตัวกันแบบนี้มีเพียงข้อเดียว

นั่นคือเพื่อคัดเลือกผู้อาวุโสคนใหม่

ผู้อาวุโสเป็นตำแหน่งถาวร หากได้รับการแต่งตั้งครั้งหนึ่งแล้วปกติจะไม่เปลี่ยนอีกเลยตลอดหลายสิบปี แน่นอนว่าระยะเวลาที่จะคัดเลือกผู้อาวุโสคนถัดไปอาจสั้นลงได้หากเลือกผู้ที่อายุมากขึ้นรับตำแหน่ง

ฉันพิจารณาเหล่านักบวชระดับสูงที่นั่งอยู่อีกครั้ง มีหลายคนชำเลืองมองและมองตามไปยังปลายสายตาฉัน ที่นั่นมีเก้าอี้ที่ไม่มีเจ้าของอยู่

‘ที่นั่งของคาลูซ’

ไม่รู้เพราะอะไรแต่ใบหน้าของนักบวชระดับสูงที่มองไปตรงนั้นถึงได้ดูคล้ายว่ากำลังกลั้นยิ้ม

คาลูซยังคงอยู่ในคุกใต้ดินของวิหารหลวง ความจริงที่ว่าเขาถูกขังอยู่ในคุกใต้ดินนั้นไม่ได้เผยแพร่แก่ภายนอกเพราะมันไม่ใช่เรื่องดีที่จะเปิดเผยว่านักบวชระดับสูงได้ตัดสินใจทำร้ายนักบุญหญิง แม้คงเปิดเผยในสักวันแต่ก็ต้องรอให้ผ่านไปสักพัก เป็นตอนที่หลงเหลือคนที่จดจำว่ามีนักบวชที่ชื่อคาลูซอยู่ไม่มากแล้ว

อย่างไรก็ตาม เหล่านักบวชระดับสูงส่วนใหญ่ก็กำลังยินดีที่คาลูซหายไป

‘นั่นเพราะเขาถือเป็นผู้เข้าคัดเลือกที่แข็งแกร่ง’

ด้วยเพราะคาลูซขยันประจบประแจงอีเบลลีน่า ทำให้เขาเป็นนักบวชที่อีเบลลีน่าเรียกหาอยู่บ่อยครั้ง ยิ่งเขากับอีเบลลีน่าพบกันบ่อยมากเท่าไร ความกังวลใจของเหล่านักบวชระดับสูงก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น พวกเขาคงคิดว่าโอกาสที่พวกเขาจะได้เป็นผู้อาวุโสนั้นอยู่ห่างไกลออกไปทุกที

แต่คาลูซผู้นั้นกลับหายไป แล้วมันจะยินดีขนาดไหนกัน

‘แต่ถึงอย่างไรก็เป็นกลุ่มคนที่ไม่ต่างจากคาลูซเลย’

อีเบลลีน่าเพิ่มเหล่านักบวชระดับสูงส่วนใหญ่จากคนที่ตนพึงพอใจ ดังนั้นนักบวชระดับสูงจำนวนมากในที่แห่งนี้จึงเป็นกลุ่มคนที่ไม่เหมาะสมกับตำแหน่ง อาจเป็นเพราะหากมีแต่คนที่ไม่เอาไหน อย่างไรก็คงจะวุ่นวาย จึงโชคดีที่นางยังแต่งตั้งนักบวชระดับสูงที่เป็นปกติอีกหลายคนอยู่บ้าง

คนเหล่านั้นทำเพียงนั่งอยู่เฉยๆ ด้วยสีหน้ากลัดกลุ้มใจเท่านั้น

‘นั่นทำให้ฉันแยกได้ง่ายขึ้นเลย’

ผู้คนที่เป็นกังวลเมื่อได้รู้ว่าชีวิตของผู้อาวุโสเดลเลอร์เหลืออีกไม่นาน และผู้คนที่อยากให้ตำแหน่งนั้นว่างไวๆ แม้พวกเขาจะพยายามเก็บสีหน้าอย่างสุดความสามารถ แต่มันก็ไม่ได้อ่านยากถึงขนาดนั้น ฉันจดจำผู้คนที่จะเก็บไว้ในตำแหน่งนักบวชระดับสูงและผู้คนที่จะกำจัดออกอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกล่าว

“ข้าเชื่อว่าทุกท่านคงรู้เหตุผลที่ข้าเรียกนักบวชระดับสูงทุกคนมารวมตัวกันในวันนี้แล้ว ครู่ก่อนข้าได้ไปพบผู้อาวุโสเดลเลอร์มา น่าเสียดายแต่ตอนนี้นางเหลือเวลาอยู่กับพวกเราอีกไม่นานแล้ว อีกไม่นานพระเจ้าคงเรียกหาและจากไป”

“โอ นี่มัน…”

“พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ โปรดมอบความสงบสุขแก่นาง”

พวกเขาเปล่งคำพูดเศร้าใจออกมาอย่างชำนาญต่างจากอารมณ์ที่อ่านได้ผ่านสีหน้า มองดูต่อไปก็ทำให้อารมณ์แย่ลง ฉันจึงรีบพูดต่ออย่างรวดเร็ว

“ข้ารู้ดีว่าตำแหน่งของผู้อาวุโสที่ว่างมานานแล้วทำให้ตลอดเวลาที่ผ่านมา ภาระงานหลายอย่างในวิหารจัดการได้ไม่ง่าย เพราะฉะนั้นข้าจึงอยากเร่งดำเนินการแต่งตั้งผู้อาวุโสให้เร็วที่สุด และข้าได้รับใบรายชื่อของคนที่ตรงตามเงื่อนไขมาเมื่อไม่นานมานี้”

ใบหน้าของเหล่านักบวชระดับสูงที่ฟังคำพูดของฉันยังคงผ่อนคลาย นั่นเพราะอย่างไรนักบวชระดับสูงก็ถูกส่งชื่อเข้าคัดเลือกอย่างไม่มีเงื่อนไข

“ก่อนอื่น…ข้าคิดว่าควรมาแลกเปลี่ยนเรื่องราวเกี่ยวกับคนเหล่านี้กับทุกคนก่อน แน่นอนว่าการสนทนานี้ข้าไม่จำเป็นต้องทำเป็นพิเศษแก่ทุกท่านที่นี่ก็ได้ เพราะอย่างไรก็เป็นกลุ่มคนที่ข้าเคยพบหน้ามาอย่างยาวนานคงจะรู้ดีกว่าใครอยู่แล้ว”

โกหก แม้จะดูความทรงจำของอีเบลลีน่าทั้งหมดก็ยังไม่อาจรู้ได้แน่ชัดว่าเขาเป็นคนอย่างไร แต่ดูเหมือนนอกจากผู้แสดงความเสียใจต่อข่าวของผู้อาวุโสเดลเลอร์แล้วก็ไม่จำเป็นต้องรู้อยู่ดี

“กลุ่มคนที่ข้าอยากสนทนากับทุกท่านก็คือ…กลุ่มคนที่อยู่นอกวิหารหลวง อย่างไรก็ตาม ยังมีคนไม่รู้จักอีกมาก”

ตอนนี้เอง ดวงตาของนักบวชระดับสูงก็เริ่มเปล่งประกาย

***

“นักบวชโรชัวมีข่าวลือไม่ดีมากมาย มีจดหมายตำหนิมาตลอดในทุกวิหารที่เขาไปมิใช่หรือ”

“แต่นั่นก็เป็นปัญหาที่เกิดจากการที่เขาพยายามที่จะรักษากฎระเบียบของวิหารส่วนใหญ่อย่างเคร่งครัดมิใช่หรือ ดังนั้นข้าจึงคิดว่านั่นไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด”

ฉันเฝ้ามองการโต้เถียงอันเร่าร้อนของเหล่านักบวชระดับสูงเงียบๆ

ทันทีที่ใบรายชื่อหมุนเวียนไปและรายชื่อเริ่มถูกอ่านจากด้านบน เหล่านักบวชระดับสูงก็เริ่มพูดคุยกันในหมู่พวกเขาอย่างขะมักเขม้น

รูปแบบการสนทนาคล้ายคลึงกัน หากมีคนบอกว่าจะส่งรายชื่อขึ้นไปเพราะแบบนี้ๆ ก็จะมีบางคนออกมาพูดถึงสาเหตุที่เขาขาดคุณสมบัติ จากนั้นก็จะมีคนมาโต้แย้งเกี่ยวกับความจริงที่ได้รับข้อพิสูจน์แล้ว

‘ยังเหลืออีกสี่สิบคนเลยนะ…’

ฉันเริ่มรู้สึกเหนื่อยเมื่อคิดว่าต้องฟังแบบนี้ต่อไปอีกสักพัก จากนั้นเรื่องราวของนักบวชคนหนึ่งก็จบลงและถึงคิวของคนถัดไป

“คนต่อไป นักบวชคาร์ล”

ในที่สุดก็ถึงคนที่ฉันเฝ้าคอย ฉันปรับท่าทางเตรียมรับฟังเรื่องราวจากพวกเขา แต่ทว่า

“…”

“…”

เหล่านักบวชต่างก็สังเกตกันและกัน ไม่มีใครเปิดปากพูดออกมา การกระทำที่ไม่เคยเห็นมาก่อนจนถึงตอนนี้ทำให้ฉันเอ่ยปากถาม

“ไม่มีเรื่องอะไรจะพูดเกี่ยวกับนักบวชคาร์ลหรือ?”

“หากเป็นนักบวชคาร์ลล่ะก็….”

“มิใช่ว่าท่านนักบุญหญิงรู้จักเขาดีกว่าพวกเราหรือ”

ท่าทางของเหล่านักบวชที่กล่าวเช่นนั้นดูระมัดระวัง น่าทึ่งมาก หากเป็นคนที่พวกเขาไม่ถูกใจ พวกเขาก็จะหาข้อบกพร่องที่เล็กราวกับฝุ่นมาบอกว่าเพราะเป็นเช่นนี้จึงไม่เหมาะสม เพราะเป็นเช่นนั้นจึงไม่ดี แต่นี่พวกเขากลับกำลังหลีกเลี่ยงนักบวชคาร์ลรวมถึงยังไม่มีใครในที่แห่งนี้พูดถึงเรื่องไม่ดีเกี่ยวกับเขาสักคน

ตอนนั้นเอง นักบวชระดับสูงทางด้านหลังผู้หนึ่งที่สวดไว้อาลัยให้แก่ผู้อาวุโสอย่างจริงใจก็เปิดปากขึ้นอย่างระมัดระวัง นางคือสตรีวัยกลางคนที่ถูกกำหนดให้เป็นผู้แทนผู้อาวุโสชั่วคราวในพิธีสวดภาวนาครั้งนี้

“อันที่จริง…หากเป็นท่านนักบวชคาร์ลล่ะก็ จนถึงตอนนี้ข้าคิดว่าเขาเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดท่ามกลางคนที่อยู่ในรายชื่อเหล่านั้น ตอนที่ยังอยู่ในวิหารหลวงก็เป็นคนที่ได้รับการเคารพจากทุกคน ส่วนตอนนี้…”

นางพูดถึงตรงนั้นก็ชายตามองฉัน ก่อนจะพูดต่อ

“…เขายังคอยดูแลชาวบ้านอยู่ที่วิหารที่อยู่ปลายสุดของทวีปซึ่งไม่ต่างจากดินแดนของปีศาจอยู่ตลอดมิใช่หรือคะ ได้ยินมาว่าที่นั่นเขาก็ได้รับความเคารพและความรักมากเช่นกัน แล้วก็อันที่จริงไม่นานมานี้ข้าได้รับจดหมายมาจากเขา ดูเหมือนสุขภาพจะแย่ลง หากท่านสั่งให้เขากลับมาวิหารหลวงสักระยะดูจะเป็นเรื่องที่ดีค่ะ…”

เพิ่งได้ยินเรื่องสุขภาพที่ไม่แข็งแรงเป็นครั้งแรกเลยแฮะ ฉันผงกศีรษะเมื่อได้ยินคำพูดของนาง ทันใดนั้นใบหน้าของนางก็ขึ้นสีแดง

“ที่จริงแล้วในจดหมาย ท่านผู้นั้นเขียนเอาไว้ว่าคิดถึงท่านนักบุญหญิงมาก ท่านเห็นว่าอย่างไรหากจะส่งจดหมายเรียกตัวกลับมาวิหารหลวงตอนนี้เลย?”

ฉันมองมือเมื่อได้ยินดังนั้น มันเกิดขึ้นอีกแล้ว ร่างกายของอีเบลลีน่ากำลังเกิดการตอบสนอง ฉันกำมือสุดแรงพลางตอบกลับไป

“ทำตามที่พูดมาได้เลย”

หากเป็นแบบนี้ ต่อให้ไม่ใช่เพราะเรื่องที่เกี่ยวกับการแต่งตั้งผู้อาวุโส ฉันก็อยากรู้ว่าคนที่ชื่อคาร์ลนั้นเป็นใคร และทำไมอีเบลลีน่าถึงได้ลบความทรงจำเกี่ยวกับเขาทิ้งไปทั้งหมด แต่สิ่งที่มั่นใจได้เหนือสิ่งอื่นใดก็คือความจริงที่ว่าอีเบลลีน่าหวาดกลัวเขา

‘ถ้าเช่นนั้น…บางทีคนผู้นั้นอาจจะเป็นอาวุธที่ใช้โจมตีอีเบลลีน่าได้’

อย่างน้อยก็อาจจะได้รู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับความทรงจำที่หายไปของอีเบลลีน่าแล้ว ดังนั้นต้องรีบทำให้เขากลับมายังวิหารหลวงให้เร็วที่สุด ก่อนที่อีเบลลีน่าจะเรียกฉันไปข่มขู่อีกครั้ง

***

ธงสีขาวถูกแขวนไปทั่ววิหารหลวงเพื่อให้รู้ถึงการจากไปของใครบางคน

เมื่อมองเห็นธงขาวที่ถูกแขวนไว้ ผู้คนต่างก็หยุดฝีเท้าที่กำลังเร่งรีบและค้อมศีรษะก่อนจะสวดไว้อาลัย

ข่าวการตายของผู้อาวุโสเดลเลอร์ถูกประกาศให้ทราบอย่างรวดเร็ว เพราะเป็นการตายที่เตรียมการไว้นานตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วจึงไม่เกิดความอลหม่าน ภายในวิหารหลวง ทุกคนต่างก็เปลี่ยนไปใส่ชุดไว้อาลัยทำให้มองผ่านๆ แล้วไม่อาจรู้ได้เลยว่าใครเป็นใคร

สำหรับชุดไว้อาลัย เพื่อสื่อว่าทุกคนเท่าเทียมกันเมื่อตายไปแล้ว ดังนั้นทุกคนจึงสวมใส่ชุดที่เหมือนกันโดยไม่คำนึงถึงตำแหน่งในวิหารหลวง อีกทั้งยังเป็นชุดเครื่องแบบที่มีฮู้ดซึ่งสามารถปกคลุมใบหน้าได้อีกด้วย

หากเป็นปกติ เราจะสามารถค้อมศีรษะให้กันได้โดยแยกแยะตำแหน่งของฝ่ายตรงข้ามจากชุดเครื่องแบบในวิหารหลวง แต่เมื่อไม่อาจมองเห็นใบหน้าและทุกคนสวมชุดเหมือนกันจึงทำให้ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ในตำแหน่งใดจนทำให้เกิดความวุ่นวายเล็กๆ ขึ้นในหลายๆ แห่ง แม้คนส่วนใหญ่จะถือความวุ่นวายนั้นเป็นเรื่องน่ารำคาญใจ แต่ก็มีหลายคนที่ยินดีเช่นกัน

นักบวชระดับสูงราดีซเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ยินดีในเรื่องนี้

นางขยับฝีเท้าด้วยความเร่งรีบภายใต้ฮู้ดที่ปิดบังใบหน้า หากปกติที่นางสวมชุดนักบวชระดับสูงแสนหรูหราแล้วมาเดินในที่เปล่าเปลี่ยวภายในวิหารหลวงเช่นนี้จะต้องมีคนจับได้ทันทีแน่ แต่ทว่าวันนี้กลับไม่ใช่

‘ต้องขอบคุณเลยจริงๆ ขอให้ท่านได้ไปที่ๆ ดี’

ราดีซย้อนนึกถึงใบหน้าสงบสุขของผู้อาวุโสเดลเลอร์ที่ได้เห็นเมื่อกลางวันนี้พลางเอ่ยคำขอบคุณจากใจจริง ไม่นานนางก็มาถึงอาคารที่อยู่ในซอกหลืบ

เขตภายนอกของวิหารหลวงมีอาคารที่ถูกปล่อยทิ้งไว้ราวกับห้องเก็บของซึ่งอยู่ในสภาพที่ไม่อาจหาประโยชน์ใช้สอยเป็นพิเศษได้แล้ว สถานที่ที่ปกติถูกล็อกเอาไว้ วันนี้กลับเปิดออกหลังจากหมุนที่จับไม่นาน

‘ห้องที่สี่ ชั้นสาม’

สถานที่ที่แม้แต่นางผู้อยู่ในวิหารหลวงมาอย่างยาวนานยังไม่รู้จัก แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับเชิญนางมาที่นี่ราวกับเป็นบ้านของตนเอง เสียงทางเดินไม้ที่ดังเอี๊ยดอ๊าดกำลังส่งเสียงตะโกนแทนหัวใจของนางที่เต็มไปด้วยความกังวล

ก๊อก ก๊อก

หลังจากเคาะประตูเบาๆ นางก็หมุนลูกบิดประตู ประตูเปิดออกพร้อมเสียงกึก นางมองเห็นคนสามคนกำลังนั่งอยู่ในห้อง พวกเขาก็ใส่ชุดไว้อาลัยอยู่เช่นกัน แต่ราดีซรู้ว่าคนเหล่านั้นมิใช่คนของวิหารหลวง

หลังจากปิดประตู ราดีซค้อมหัวเล็กน้อยเพื่อแสดงมารยาทแก่ฝ่ายตรงข้าม

“ขออภัยที่มาสายเพคะ องค์ชายรัชทายาทเลออน”

เลออนที่นั่งอยู่ลุกขึ้นและถอดฮู้ดออกเมื่อได้ยินคำทักทาย เส้นผมสีทองที่สั่นไหวอย่างนุ่มนวล นัยน์ตาสีฟ้าใส และมุมปากที่ยกขึ้นเล็กน้อยจนทำให้ดูเหมือนใบหน้างดงามกำลังอมยิ้มบาง

ราดีซเหม่อมองใบหน้าของเลออนโดยไม่รู้ตัว

“ขอโทษอะไรกัน พูดอะไรเช่นนั้น ข้าสิต้องขอบคุณที่ท่านเสียสละเวลามาแม้อยู่ในช่วงที่ยุ่งวุ่นวายแบบนี้”

เลออนพูดเช่นนั้นพลางผายมือไปทางเก้าอี้ที่ว่างอยู่แล้วกล่าว

“เช่นนั้น ดูท่าต้องสนทนากันอีกยาว เชิญท่านนั่งตามสบายแล้วเริ่มกันเลยดีหรือไม่?”