บทสนทนายาวอย่างที่เลออนพูดไว้
“บุญคุณอะไรกัน ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลยเพคะ การดูแลคนบาดเจ็บมันเป็นหนึ่งในหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรานักบวชทุกคนอยู่แล้วเพคะ”
เลออนส่ายหน้าเมื่อได้ยินคำพูดถ่อมตนของนาง
“ถึงจะว่าแบบนั้น แต่บุคคลสำคัญของหน่วยอัศวินแห่งจักรวรรดิของพวกเราก็สามารถกลับสู่อ้อมอกของจักวรรดิได้อย่างปลอดภัยเพราะท่านนักบวชเลย ข้าอยากตอบแทนเรื่องนั้นมาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว”
“นี่มันค่อนข้าง…”
ราดีซมีสีหน้าลำบากใจ แน่นอนว่านั่นคือเสแสร้ง
“ไม่จำเป็นต้องรู้สึกลำบากใจหรอกครับ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”
เลออนกล่าวเช่นนั้นแล้วพลางให้สัญญาณมือไปทางทหารคนสนิทที่อยู่ด้านหลัง ทันใดนั้นทหารคนสนิทก็นำถุงผ้าขนาดเล็กถุงหนึ่งวางลงบนโต๊ะอย่างระมัดระวัง เลออนหยิบมันขึ้นมาแล้วนำของที่อยู่ด้านในวางลงบนฝ่ามือ
“นี่คือ…?”
บนใบหน้าของราดีซที่ย้อมไปด้วยความคาดหวังพลันมีความผิดหวังที่มิอาจปกปิดได้ปรากฏขึ้น เพราะของที่อยู่บนฝ่ามือของเลออนคือก้อนหินที่เปรอะเปื้อนไปด้วยดินเหนียว เลออนอมยิ้มราวกับรู้ว่านางจะทำสีหน้าแบบนั้นแล้วออกแรงบีบก้อนหินด้วยมือเดียว ทันใดนั้นดินเหนียวที่เปื้อนอยู่ด้านนอกก็แตกออก แสงประกายระยิบระยับพลันปรากฏจากด้านใน
“…!”
“เหล่าอัศวินที่ท่านนักบวชช่วยรักษาคือผู้คนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสในตอนที่บุกโจมตีแอสเทียร์ นี่คือของที่พวกเขาเก็บมาเป็นของที่ระลึกระหว่างทางกลับจากที่นั่น แม้จะเป็นหินที่ไม่สลักสำคัญอะไรแต่มันก็มีสีสวยมาก หวังว่าท่านจะรับไป”
ราดีซรู้ว่าแอสเทียร์โด่งดังเรื่องอะไร โอปอล[1]ที่แอสเทียร์ส่งมาเป็นเครื่องบรรณาการคือหนึ่งในของที่หรูหรามากที่สุดที่ถูกส่งมาถวายให้วิหารหลวง อัญมณีที่โอบกอดประกายแสงทั้งหมดบนโลกใบนี้ สิ่งที่เลออนยื่นให้คือหินอัญมณีไม่ผิดแน่ ราดีซรีบมองดูขนาดของหินอัญมณีในมือของเลออนอย่างรวดเร็ว
‘พระเจ้าช่วย…’
ต่อให้เติบโตขึ้นมาอย่างไร้เดียงสาแต่ก็สามารถรับรู้มูลค่าของสิ่งนี้ได้ ราดีซมองมันนิ่งๆ จากนั้นก็เบนสายตาไปมองเลออน
‘เขาไม่กลับไปและพักอยู่ที่นี่นานมาก’
แม้พิธีสวดภาวนาและพิธีเข้าพบนักบุญหญิงจะจบลงแล้ว แต่การที่องค์ชายรัชทายาทแห่งจักรวรรดิอาศัยอยู่ในวิหารหลวงต่อทำให้รู้สึกไม่สบายใจเหมือนมีเสี้ยนหนามอยู่ในปาก แต่หากว่าความแหลมคมของหนามนั้นไม่ได้หันมาที่ตน แต่หันไปหาคนอื่นล่ะก็…ราดีซย้อนนึกถึงจดหมายที่เลออนเคยส่งมา
มันไม่ได้มีเนื้อหาที่น่าตกใจอะไร เป็นจดหมายที่เขียนไว้ว่าตนรู้สึกขอบคุณที่นางคอยช่วยรักษาอัศวินแห่งจักรวรรดิมาตลอดและอยากตอบแทนบุญคุณนั้นโดยไม่เป็นที่สะดุดตาที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะเป็นจดหมายที่จะได้รับบ่อยๆ เมื่อรักษาราชวงศ์หรืออัศวินของแต่ละประเทศ ดังนั้นในตอนแรกนางจึงอ่านด้วยความเบิกบานใจเล็กน้อยพลางคิดว่าองค์ชายรัชทายาทจะมอบอะไรให้
ทว่าในตอนท้ายของจดหมายมันกลับจบประโยคไว้ว่า ‘แด่ผู้อาวุโสในอนาคต’
ชั่วขณะที่ยืนยันเรื่องนั้นได้ หัวใจของราดีซพลันเต้นแรง
องค์ชายรัชทายาทแห่งจักรวรรดิหวังว่าตนจะได้เป็นผู้อาวุโส
‘ทำไม เพราะอะไรถึงเป็นฉัน’
ราดีซมิใช่คนโง่ ไม่ใช่แค่ความศรัทธาที่จริงใจเท่านั้นที่จำเป็นเมื่อต้องขึ้นมาถึงจุดนี้ หากการรู้ทันในเวลาที่เหมาะสมเป็นสิ่งจำเป็นก็ต้องมีความสามารถในการกล้าทำงานที่ผิดกฎระเบียบได้
ดังนั้นนางจึงไม่เข้าใจว่าทำไมองค์ชายรัชทายาทจึงสนับสนุนตนขึ้นเป็นผู้อาวุโส นางเป็นนักบวชระดับกลาง ในบรรดานักบวชระดับสูง แม้ไม่มีนักบวชระดับสูงที่เป็นปฏิปักษ์กันโดยเฉพาะแต่ก็ไม่มีคนที่เรียกได้ว่าอยู่ฝ่ายเดียวกันเช่นกัน ดังนั้นจึงเลี่ยงไม่ได้ที่การดำรงอยู่ของนางจะไม่สำคัญเท่าเหล่านักบวชระดับสูงคนอื่น
‘เพราะอย่างนั้นเลยยอมแพ้เรื่องผู้อาวุโสไปแล้ว…’
นี่เป็นความรู้สึกที่เหมือนจู่ๆ ก็มีลำแสงสายหนึ่งตกลงมาด้านหน้าตน
“เอาเป็นว่า ข้าหวังว่าท่านจะรับมันไป เศษหินก้อนนี้”
ราดีซยิ้มพลางยื่นมือออกไปเมื่อได้ฟังคำพูดของเลออน
***
“ฮู…”
หลังจากกลับมาที่พักตนเอง เลออนถอดฮู้ดของชุดไว้อาลัยออก รอยยิ้มที่เคยอยู่บนใบหน้าของเขาตอนพบกับราดีซหายไปนานแล้ว เหล่าทหารคนสนิทรีบจัดเก็บรอบข้างและค้อมตัวเมื่อเห็นสีหน้าไร้อารมณ์ของเลออน
“พวกเราออกไปก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ แล้วก็มีจดหมายที่ส่งมาหาพระองค์วางอยู่บนโต๊ะนะพ่ะย่ะค่ะ”
“จดหมาย? ใครจะบอกจะมาฆ่าข้าอีกหรือไง?”
หลังจากมาวิหารหลวง การได้รับจดหมายที่เขียนด้วยเลือดจากเชื้อพระวงศ์ของประเทศอื่นกลายเป็นเรื่องที่เขาเคยชินไปเสียแล้ว
“องค์จักรพรรดิส่งมาหาพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
“…”
เลออนนิ่วหน้าพลางยกฝ่ามือขึ้นลูบหน้าเมื่อได้ยินคำ
“เข้าใจแล้ว ออกไปเถอะ”
เหล่าทหารคนสนิทรู้ดีว่าหากพวกเขาชักช้าอืดอาดในช่วงเวลาเช่นนี้จะไม่ได้ยินคำพูดดีๆ แน่ จึงรีบปิดประตูแล้วจากไป เลออนถอนหายใจอยู่ในห้องที่เงียบงันอยู่หลายครั้งก่อนจะเดินเข้าไปใกล้โต๊ะที่วางเครื่องดื่มไว้ เขารินเหล้ารสเข้มที่อยู่ในขวดลงแก้วแล้วดื่มลงไป
“เฮ้อ…”
ความรู้สึกที่เหมือนกลืนกินไฟกำลังปั่นป่วนหลอดอาหารและแผ่กระจายไปทั่วอก เขาเหลือบสายตามองบนโต๊ะ มองเห็นจดหมายหนึ่งฉบับวางอยู่บนถาดเหมือนที่เหล่าทหารคนสนิทบอกไว้ หากเป็นเวลาปกติเขาคงจะเปิดดูทันที แต่วันนี้เขาไม่อยากทำ
‘ไม่ต้องดูว่าเขียนอะไรมาก็ได้’
วันเวลาที่เขาพำนักอยู่ในวิหารหลวงนานขึ้นกว่าที่คิด อีกทั้งเหล่าทหารคนสนิทยังรายงานว่าเขาทำอะไรบ้างที่นี่ให้องค์จักรพรรดิทราบอย่างละเอียดแล้ว ในฐานะขององค์จักรพรรดิ รวมถึงฐานะของบิดา เขาคงตำหนิที่ตอนนี้ลูกชายกำลังหลงนักบุญหญิงจนตั้งสติไม่ได้แน่
‘บางทีอาจเป็นคำสั่งให้กลับไปทันที’
หลังจากลองคิดว่าคำพูดที่เลวร้ายที่สุดในจดหมายคืออะไร เขาก็รู้สึกหมดคำพูดกับความคิดของตนเอง นี่เขากำลังหวาดกลัวคำสั่งให้กลับไปอย่างนั้นหรือ
‘นี่เราบ้าไปแล้วรึ?’
เลออนเองก็ไม่เข้าใจสภาพของตนเองเช่นกัน
เขาไม่ใช่คนโง่เง่าดังนั้นจึงยอมรับได้อย่างรวดเร็ว ใช่แล้ว ตอนนี้เขากำลังตกหลุมรักนักบุญหญิงเข้าให้แล้ว
เขากระดกเหล้าที่เหลืออยู่ในแก้วจนหมด จากนั้นก็เดินเข้าไปใกล้โต๊ะ จดหมายมีตราสัญลักษณ์ขององค์จักรพรรดิผนึกไว้อยู่ เขาถอนหายใจพลางแกะตรานั้นออก องค์จักรพรรดิมิใช่คนที่จะกล่าวอะไรยาวๆ บางทีเพราะแบบนั้นเนื้อความในจดหมายจึงสั้นพอๆ กับนิสัยของเขา จดหมายมีเพียงประโยคเดียวเท่านั้น
การเตรียมพิธีอภิเษกสมรสยิ่งเร็วเท่าไรก็ยิ่งดี รีบติดต่อมาเสีย
เพียงแค่ประโยคเดียวก็สัมผัสได้ว่าองค์จักรพรรดิรู้เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่นี่ เรื่องที่เขาตกหลุมรักนักบุญหญิงจนถึงกับต้องการจะแต่งกับนาง เลออนเก็บจดหมายลงซองอย่างเรียบร้อยอีกครั้ง จากนั้นก็ทิ้งตัวลงบนโซฟา
ทันใดนั้นใบหน้าของนักบุญหญิงที่ได้เห็นเช้าวันนี้พลันแวบเข้ามา
“อีเบลลีน่า”
เลออนเปล่งเสียงเรียกชื่อนั้นออกมาเงียบๆ
เรื่องที่ผู้อาวุโสจากโลกนี้ไปมิใช่เรื่องที่สำคัญเท่าไรสำหรับเขา สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเลออนคือการที่เรื่องนั่นทำให้เขาได้มองดูนักบุญหญิงสวดไว้อาลัยจากที่ไกลๆ อีกครั้งต่างหาก
นักบุญหญิงสวมชุดไว้อาลัยเรียบง่าย นางเข้าไปใกล้โลงศพ จากนั้นก็ถอดฮู้ดออก เส้นผมปล่อยยาวถักเป็นเปียเดียวอย่างประณีตพริ้วไหวไปตามแผ่นหลัง แม้เป็นเพียงชุดเครื่องแบบสีขาวธรรมดาๆ แต่เส้นผมสีทองประกายนั้นกลับสะดุดตาเขายิ่งกว่างานปักด้ายทองที่หรูหรางานไหนๆ ที่เขาเคยเห็นมาจนถึงตอนนี้
หลังจากเห็นนักบุญหญิงขึ้นสวดไว้อาลัยเช่นนั้น เลออนก็กัดฟันกรอด เขานึกถึงเรื่องคืนนั้นทันทีที่เห็นนาง สตรีผู้สุภาพเรียบร้อยและสูงส่งถึงขนาดนั้น ในคืนนั้นนางเคยร้องครวญครางและสิ้นท่าอยู่ใต้ร่างของตน
ชั่วขณะที่นึกถึงความเสียวซ่านในตอนที่เข้าไปข้างในตัวนาง เขากัดริมฝีปากและค้อมเอวลง
‘ไอ้คนบ้า’
นี่เขาถึงกับเกิดความใคร่เมื่อมองดูหญิงสาวที่กำลังไว้อาลัยให้คนตายอยู่
เลออนงงงันกับตัวเขาผู้นั้นยิ่งกว่าใคร เขาไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน สำหรับเขา งานของจักรวรรดิต้องมาเป็นอันดับแรกเสมอ ดังนั้นแม้เขาจะนอนเกลือกกลิ้งอยู่บนเตียงหลายวันแต่ก็ไม่เคยผลัดวันที่จะกลับไปยังพระราชวังมาก่อน
เขานึกถึงนักบวชราดีซที่พบกันวันนี้ ที่จริงเขาไม่ได้พบเพียงแค่ราดีซ ตลอดระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา เขาได้พบกับนักบวชระดับสูงหลายคน
‘ไม่สนหรอกว่าจะเป็นคนแบบไหน’
เลออนตั้งใจจะไปพบทุกคนที่ถูกพิจารณาว่าเป็นผู้เข้าคัดเลือกผู้อาวุโส และในบรรดาคนพวกนั้น หากมีใครสักคนขึ้นเป็นผู้อาวุโสล่ะก็…
เลออนหลับตา จินตนาการสั้นๆ แวบผ่านในหัวของเขา อยากดึงเข้ามากอดอีกครั้ง อยากครอบครองร่างกายนั้นอีกครั้ง แค่ยามค่ำคืนมันไม่เพียงพอ เขาต้องการเวลาที่ยาวนานกว่านี้ เขานึกถึงร่างกายของนางที่ปรากฏใต้แสงจันทร์ เขาอยากจะเห็นร่างนั้นโอบกอดจักรพรรดิองค์ถัดไปของจักรวรรอาเพเลียส
***
ควันไฟสีดำพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ที่เผาศพของวิหารหลวงวุ่นวายกันตั้งแต่เช้าตรู่ พิธีศพของผู้อาวุโสพบเห็นได้ไม่บ่อย พิธีศพของผู้ที่มีตำแหน่งสูงถัดจากนักบุญหญิงในวิหารหลวงแห่งนี้ไม่มีทางจัดการอย่างเรียบง่าย
โชคดีที่ชุดงานศพเรียบง่ายและสะดวกสบาย ทว่ากำหนดการของพิธีศพกลับไม่เป็นเช่นนั้น พิธีสวดไว้อาลัยเริ่มตั้งแต่เช้ามืดจนถึงช่วงเย็น เทียนที่สลักชื่อของนางซึ่งอยู่ในห้องภาวนาที่จัตุรัสกลางของวิหารจะต้องลุกโชนอยู่ตลอดพร้อมกับการสวดภาวนาที่ต้องทำอย่างต่อเนื่องตลอดหนึ่งปี
ไฟถูกจุดขึ้นรอบๆ โลงศพเมื่อทุกคนเริ่มท่องบทสวดภาวนา
“…!”
หลังจากเห็นภาพนั้น ฉันอดไม่ได้ที่จะสะดุ้งเบาๆ และก้าวถอยหลัง ความร้อนรุนแรงพัดผ่านใบหน้าพร้อมกับสายลม ความร้อนที่สัมผัสได้แม้อยู่ห่างไกลทำให้เหงื่อออกที่แผ่นหลัง
คนตายคงได้นอนพักผ่อนในเปลวเพลิงนี้ แต่ถ้าเป็นคนที่ยังมีชีวิตอยู่ล่ะ?
ฉันย้อนนึกถึงช่วงเวลาสุดท้ายของอีเบลลีน่าที่ถูกเขียนไว้ในหนังสือ นางยังคงเอาแต่ตะโกนว่าตนคือนักบุญหญิงจนถึงตอนสุดท้ายในอีกฝากของเปลวเพลิง
พอย้อนถึงอนาคตในหนังสือ ฉันก็ลองพิจารณาสถานการณ์ในตอนนี้อีกครั้งด้วยอารมณ์ที่สงบลง
‘…มีเรื่องที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่บ้าง’
เรื่องแรกที่นึกออกเลยคือองค์ชายรัชทายาท จนถึงตอนนี้ ตัวละครที่เปลี่ยนไปจากเรื่องแต่งในหนังสือมากที่สุดก็คือเขา ฉันได้มีความสัมพันธ์กับองค์ชายรัชทายาทอย่างกะทันหัน เขายังกล่าวอีกว่าอยากรู้จักฉันให้มากขึ้นและยังคงพักแรมอยู่ในวิหารหลวง เทียบกับในนิยายแล้วมันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เรียกได้ว่าแหวกแนวเลยทีเดียว
‘ทว่าก็ไม่อาจเชื่อถือได้’
เขาในหนังสือเป็นคนที่ดูเหมือนจะเป็นมิตรแต่ก็เยือกเย็นเสียจนน่ากลัวหากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับจักรวรรดิ
‘แต่อีริสเป็นข้อยกเว้น’
ฉันจำท่าทีขององค์ชายรัชทายาทที่มีต่ออีริสในหนังสือได้ ลองคิดดูแล้ว ส่วนที่ฉันอ่านถึง อย่าว่าแต่เขาได้นอนกับอีริสเลย กระทั่งมือยังไม่ได้จับดีๆ ด้วยซ้ำ แม้เป็นแบบนั้นเขาก็ยังตกหลุมรักนางและเริ่มให้นางมาก่อนผลประโยชน์ของจักรวรรดิเป็นครั้งแรกในชีวิตของเขา
‘…ต่างกับฉันจริงๆ’
อันที่จริง ความสัมพันธ์กับองค์ชายรัชทายาทที่เปลี่ยนไปก็ทำให้ฉันเกิดความสงสัย เขาค่อนข้างเป็นคนที่เป็นมิตรกับคู่รักคนก่อนๆ ดังนั้นฉันจึงสงสัยว่าบางทีเขาอาจจะมีความเมตตาให้กับฉันที่เคยหลับนอนกันครั้งหนึ่งบ้างสักเล็กน้อยเช่นกัน
อีกทั้งยังมีความคาดหวังว่าบางทีเขาอาจจะตกหลุมรักฉันแทนอีริสก็ได้ เพราะให้พูดตรงๆ ตอนนี้ฉันรู้สึกเหมือนกำลังถูกเกาะติดจากองค์ชายรัชทายาทเลย
‘ไม่สิ มันต่างกันมาก’
นึกถึงตัวเขาในนิยายแล้วอย่างไรก็ต่างกันมาก สำหรับเขา ฉันเป็นคู่นอนที่ดีแต่ไม่ใช่คนที่เขาอยากจะปกป้องดูแล
‘แต่อย่างไรก็ตาม องค์ชายรัชทายาทก็ดี…’
ฉันคิดเช่นนั้นพลางหันศีรษะ ราธบันกำลังมองไปยังเปลวไฟด้วยสีหน้าไร้อารมณ์อยู่ฝั่งตรงข้าม อาจเพราะเขาสัมผัสได้ถึงสายตาที่ฉันมองเขา เขาจึงหันหน้ามาทางฉัน สายตาของเขากับฉันสบกัน ควรผงกหัวทักทายหน่อยดีไหม ขณะที่กำลังคิดเช่นนั้น เขาก็หมุนศีรษะกลับไปราวกับไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น
“…”
แย่ที่สุด
‘กลับไปเหมือนตอนแรกเลย’
ใครจะคิดว่าการไม่ฟังคำเตือนของเขาแล้วพาองค์ชายรัชทายาทเข้าห้องจะต้องมาเสียใจแบบนี้
จู่ๆ ก็รู้สึกไม่ยุติธรรมขึ้นมา หลังจากเข้ามาในร่างนี้ ฉันก็พยายามมาตลอด ยอมรับฟังเงื่อนไขที่ไม่น่าขำขันของอีเบลลีน่า และยังปฏิบัติงานของนักบุญหญิงมาตลอด ซึ่งเรื่องที่ลำบากที่สุดในบรรดาเรื่องเหล่านั้นก็คือการเผชิญหน้ากับราธบันและองค์ชายรัชทายาท
‘เพราะพวกเขาเป็นตัวละครเอก’
พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของอีเบลลีน่าอย่างใกล้ชิดมากที่สุด ดังนั้นในทุกครั้งที่เผชิญหน้ากับพวกเขาฉันจึงพยายามเพื่อที่จะมอบความประทับใจที่ดีที่สุดให้ พอคิดว่ามันกลายเป็นการพยายามโดยเสียเปล่าจิตใจก็พลันอึดอัดขึ้นมา
‘หรือต้องพยายามมากขึ้นอีก?’
แล้วต่อให้พยายามไปจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นให้ย้อนกลับไปเป็นแบบเดิมอีกหรือเปล่า ฉันคิด เหมือนกับที่ชื่อเสียงของนักบุญหญิงที่ยังคงต่ำเตี้ยเรี่ยดินแบบนี้
เห็นเปลวไฟที่ลุกโชนแล้วฉันก้มลงก็มองมือตนเอง
‘การใช้พลังศักดิ์สิทธิ์เองก็ด้วย’
ฉันพยายามมากขึ้นเพื่อจะได้ใช้พลังศักดิ์ให้ชำนาญ แต่หลังจากคราวที่ฟื้นฟูพลังกายของผู้อาวุโสกลับมาได้ชั่วครู่ มันก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรอีกเลย
‘พลังรักษาดีก็จริง แต่พลังที่ฉันต้องการจริงๆ มันคือพลังอื่น’
ตอนที่ฉันเริ่มใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ สิ่งที่ฉันคาดหวังในใจคือพลังที่สามารถสร้างเกราะป้องกันได้ เพราะมันจะได้ปลอดภัยเวลาที่ฉันออกไปด้านนอกวิหารหลวง แต่ฉันยังไม่อาจใช้พลังส่วนนั้นได้
‘หรือต้องใช้มันอย่างถี่ถ้วนกว่าพลังรักษาอย่างนั้นเหรอ?’
ฉันลองอ่านหนังสือที่อยู่ในห้องหนังสือดูแล้วแต่ยังไม่พบหนังสือที่เป็นประโยชน์ถึงขนาดนั้น
ขณะที่คิดแบบนั้น เสียงถล่มของกองฟืนที่สุมอยู่ในเปลวเพลิงก็ดังขึ้น สติของฉันพลันกลับมาเมื่อได้ยิน บางทีมันคงเป็นเสียงที่ฉันอาจจะได้ฟังด้านในเปลวเพลิงสักวันหนึ่งก็ได้
***
[1] โอปอล (단백석) ราชินีแห่งอัญมณี อัญมณีในตระกูลควอตซ์ มีลักษณะโปร่งใสถึงทึบแสง มีหลายสีด้วยกัน เช่น สีขาว แดง เหลือง เขียว ม่วง ดำ