ไฟจะเผาอยู่อีกสองวัน ฉันเปลี่ยนไปใส่ชุดลำลองเมื่อกลับมาถึงที่พัก จากนั้นก็ไปบอกเหล่านักบวชที่เฝ้าหน้าประตูว่าฉันจะงีบสักพัก สองสามชั่วโมงนี้ถ้ามีใครมาหาก็ไม่ให้บอกว่าฉันอยู่ที่ไหน หลังจากมีประสบการณ์เรื่ององค์ชายรัชทายาทแล้วครั้งหนึ่ง พวกเขาจึงผงกศีรษะด้วยสีหน้าแน่วแน่
“ดีล่ะ”
พอปิดประตู ฉันก็ตรงเข้าไปหาลิ้นชักที่อยู่ตรงหัวมุมทันที ฉันดึงลิ้นชักชั้นล่างสุดออก ด้านในมีชุดนักบวชที่ถูกพับไว้อย่างเรียบร้อยวางอยู่ มันคือเสื้อผ้าของราธบันที่ฉันยืมมาใส่ในคืนที่มีสัมพันธ์กับเลออน
‘ต้องเอาไปคืนแล้ว’
เป็นเพราะฉันยุ่งมากเลยทำให้ยังไม่ได้ซักมันจนถึงตอนนี้ หลังจากพิธีศพของผู้อาวุโสจบลง ตารางงานก็จะรัดตัวไปอีกสักระยะ เพราะฉะนั้นในตอนที่มีเวลาว่างก็ควรจะรีบซักมันทิ้งเอาไว้ก่อนจะดีกว่า
ฉันถือเสื้อผ้าของเขาเข้าไปในห้องอาบน้ำแล้วแช่ลงในน้ำ เสื้อผ้าที่เก่าแล้วทำให้ฉันกังวลว่าหากออกแรงขยี้เกินไปแล้วอาจจะทำให้เสื้อขาดได้ จึงใช้มือถูอย่างระมัดระวัง
‘มันก็ไม่ได้สกปรกอะไรขนาดนั้น…’
ฉันคิดแบบนั้นก่อนจะถอนหายใจยาว
“ก็แค่…ไม่ใช่ว่าพอฉันใส่ก็คิดว่ามันสกปรกแล้วเหรอ?”
พอนึกถึงท่าทีของราธบันที่ได้เห็นตรงที่เผาศพ ฉันก็คิดว่าหากเขาจะคิดแบบนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่เกินไปเลย
ถ้าเขาแสดงสีหน้าเหมือนคนอื่นออกมาบ้างก็คงจะดี พอเขามีสีหน้าไร้อารมณ์ถึงขนาดนั้น มันก็ยากที่จะอ่านได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
นึกถึงราธบันแล้วอารมณ์ก็พลันดิ่งลงอีกครั้ง ฉันจึงพยายามคิดถึงเรื่องอื่น
‘ออกคำสั่งไปแล้วว่าให้นักบวชคาร์ลรีบกลับมาให้เร็วที่สุด…แต่ว่ามันจะใช้เวลาเท่าไรนะ?’
ระหว่างนั้น ฉันก็ได้รับข้อมูลใหม่ๆ เกี่ยวกับนักบวชคาร์ลมาด้วย
ได้ยินมาว่าเขามีอายุสี่สิบกลางๆ เป็นคนที่มีอุปนิสัยใจคอเรียบง่ายและอบอุ่นมาก ตอนที่ยังเด็ก เขาถูกทอดทิ้งในวิหารและได้รับการเลี้ยงดูด้วยมือของนักบวชที่เก็บเขาได้ เมื่อโตขึ้น เขาสำแดงพลังศักดิ์สิทธิ์ออกมาจนได้กลายเป็นนักบวชโดยสวัสดิภาพ หลังจากเป็นนักบวชแล้วความรอบรู้ของเขาก็เพิ่มขึ้นเร็วจนน่ากลัว เขาเรียนรู้พระคัมภีร์ที่ไม่ธรรมดาทั้งหมดในวิหารหลวงตั้งแต่เด็ก และเขายังมีความรู้ในสาขาอื่นๆ อย่างลึกซึ้งนอกเหนือจากพระคัมภีร์ด้วย
‘เพราะแบบนี้เขาก็เลยได้รับหน้าที่เป็นผู้ให้ความรู้แก่นักบุญหญิง’
บางทีอดีตที่ผู้อาวุโสพูดถึงก็คงเป็นเรื่องราวในตอนนั้น
‘พอลองสืบค้นหลายอย่างแล้ว…เขาก็เป็นคนที่เหมาะสมกับตำแหน่งของผู้อาวุโสที่สุดแล้วจริงๆ’
ถึงจะอยากเจอตัวจริงก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ แต่อันที่จริงภายในใจฉันก็ได้เลือกเขาไปเรียบร้อยแล้ว
‘แต่ต่อให้เขาไม่ได้เป็นผู้อาวุโสก็ไม่สำคัญอะไร’
ดูจากความหวาดกลัวที่อีเบลลีน่ามีต่อเขาแล้ว ฉันคิดว่าถ้าฉันทำให้เขาพักอยู่ในวิหารหลวงต่อไปเรื่อยๆ บางทีนางคงจะไม่เรียกฉันไปอีก
“โอ้ย”
ขณะที่คิดเรื่องคาร์ลและขยับมืออยู่นั้น ก็พลันรู้สึกเจ็บแปลบด้านในต้นขาขึ้นมา ฉันสะบัดน้ำแล้วลองม้วนเสื้อขึ้นดู ความรู้สึกเจ็บปวดมาจากบริเวณที่มีรอยทรงกลมเหมือนเดิม
ฉันกดมือลงไปบนรอย แล้วลองใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ออกมาเล็กน้อย
“…?”
ตอนนั้นเอง ภาพปรากฏการณ์แปลกประหลาดพลันปรากฏเข้าสู่สายตา ปกติแล้วหลังจากใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ รูปร่างของพลังจะค่อยๆ จางหายไปคล้ายหมอกสลาย แต่ทว่าตอนนี้พลังศักดิ์สิทธิ์ที่ไหวกระเพื่อมอยู่ด้านบนรอยกลับสลายไปเหมือนถูกดูดเข้าไปที่ไหนสักแห่ง
“อะไรกัน”
ฉันลองใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ดูอีกครั้ง ไม่ได้มองผิดไปจริงๆ
“นี่มัน…คืออะไร”
ฉันเคยคิดว่ามันเป็นแค่รอยที่จดจำไม่ได้ แต่มั่นใจได้แล้วว่านี่มันไม่ใช่แค่รอยธรรมดาทั่วไป แต่ไม่ว่าจะลองแตะแล้วใช้พลังศักดิ์สิทธิ์กับรอยนั้นอย่างไรมันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง พอฉันใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ออกมาเรื่อยๆ ก็มีแต่ทำให้เหนื่อยลงเท่านั้น
“…พอเถอะ”
ทำแบบนี้ต่อไปดูท่าว่าคงได้เป็นลมไปก่อนจะซักเสื้อนักบวชของราธบันเสร็จแน่ๆ
เพราะไม่มีผงซักฟอก ฉันเลยใช้สบู่ที่วางอยู่บนอ่างล้างหน้าแทน ทำให้ชุดนักบวชส่งกลิ่นหอมเข้มข้นออกมา
“ไม่ทันได้คิดเลย…”
ฉันนึกถึงสบู่ธรรมดาที่ได้เห็นในบ้านพักของเขา สบู่ที่ส่งกลิ่นหอมเบาบาง มองดูเสื้อด้วยสายตาเป็นกังวลอยู่สักพัก ฉันก็เอามันแช่ลงในน้ำอีกครั้ง หลังจากซักด้วยน้ำเปล่าอยู่หลายครั้งกลิ่นนั้นก็ดูเหมือนจะจางลงเล็กน้อย
“แต่มันก็ยังพอมีกลิ่นอยู่ดี…”
แต่จะเอาแช่ในน้ำทิ้งไว้ต่อไปก็ไม่ได้อยู่ดี ราธบันอาจจะไม่ชอบใจแต่ก็ช่วยไม่ได้แล้ว ฉันบิดชุดนักบวชอย่างระมัดระวังแล้วบีบน้ำออก จากนั้นนำกลับไปที่ห้องแล้วใช้ผ้าขนหนูซับน้ำออกอีกเล็กน้อย
“แขวนต่ออีกแปปนึงก็คงแห้งแล้ว”
ตอนนี้ก็เหลือแค่ปัญหาที่ว่าจะเอากลับไปคืนเขายังไง
***
วันถัดมา ฉันกำลังเปิดทางลับ
‘ไม่มีปัญหาใช่ไหมนะ?’
ในอ้อมกอดมีชุดนักบวชที่พับไว้อย่างเป็นระเบียบอยู่ ทันทีที่ก้าวออกมายังสวนผ่านทางลับที่ไม่ได้ใช้มานานก็สัมผัสได้ถึงอากาศเย็นสบายยามค่ำคืน ฉันขยับฮู้ดของชุดไว้อาลัยให้ปิดหน้ากว่าเดิมพลางขยับฝีเท้า ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปช่วงเวลาไว้อาลัยแบบเป็นทางการก็จะจบลงแล้ว ดังนั้นนักบวชส่วนใหญ่จะกลับมาสวมชุดเครื่องแบบปกติ
‘ถ้าผ่านวันนี้ไปจะยิ่งไม่มีโอกาสแล้ว’
นักบุญหญิงไม่สามารถไปหาราธบันพร้อมกับป่าวประกาศไปทั่วละแวกได้ว่าไปบ้านพักส่วนตัวของผู้บัญชาการอัศวิน ดังนั้นในวันนี้ที่ทุกคนยังสวมชุดเหมือนกันและใส่ฮู้ดได้จึงเป็นโอกาสสุดท้าย
ไม่ใช่เรื่องยากที่จะหาว่าบ้านพักส่วนตัวของราธบันอยู่ทางทิศไหน เพียงแต่ปัญหาก็คือที่นั่นอยู่ห่างไกลกว่าที่ฉันจำได้อีกเล็กน้อย
ฉันรีบเดินไปด้วยความร้อนใจเพราะอยากจะรีบไปรีบกลับ แต่ผ่านไปได้ไม่นานก็หายใจหอบแล้ว
‘ด้านในป่าตรงนู้น…’
แม้จะดีใจที่ได้เห็นภาพภูมิศาสตร์ที่คุ้นเคย แต่พอรู้ว่ายังต้องเดินต่อไปอีกสักพักใหญ่ ฉันก็ถอนหายใจออกมา
‘ยิ่งไปกว่านั้น…ราธบันจะอยู่บ้านหรือเปล่า?’
ได้ยินว่ามาเขามักจะใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่หน่วยอัศวิน เพราะฉะนั้นต่อให้ไปหาที่บ้านตอนนี้ก็ดูเหมือนจะไม่มีใครอยู่
‘งั้นเอาเสื้อวางไว้ที่ไหนดีล่ะ? วางไว้หน้าประตูได้ไหม?’
วันนั้นไปบ้านเขาแบบไร้สติมาก นอกจากเตียงนอน ห้องนั่งเล่น แล้วก็โซฟาในบ้านนั้น ฉันก็นึกอะไรไม่ออกอีกเลย ระหว่างที่กำลังกลัดกลุ้มใจนั่นเอง ก็มองเห็นบ้านของราธบันจากที่ไกลๆ
หากบอกว่าเป็นบ้านพักส่วนตัวของผู้บัญชาการอัศวินก็คงดูเหมือนว่าน่าจะมีการเฝ้ายามอย่างแน่นหนา แต่อันที่จริงแล้วกลับกลายเป็นว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่มีการป้องกันหละหลวมที่สุดในวิหารหลวง
‘ก็นะ ใครจะมาลักขโมยบ้านของผู้บัญชาการกัน’
ที่นี่เป็นบริเวณคนทั่วไปไม่อาจลุกล้ำเข้ามาได้ หากบอกว่าในวิหารหลวง แน่นอนว่าก็คงไม่น่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นได้ แต่คนที่มีสติดีอยู่ในวิหารหลวงก็คงไม่กล้าขโมยอะไรในบ้านของผู้บัญชาการอัศวินแห่งวิหารหรอก
‘อีกทั้งบ้านของราธบันก็ไม่มีอะไรให้น่าขโมยเอาไปได้ด้วย’
ย้อนนึกถึงความโล่งขนาดที่ใครเห็นก็คงสงสัยว่านี่ไม่ใช่ห้องเก็บของที่ปล่อยว่างหรือ บางทีเฟอร์นิเจอร์ที่วางอยู่ทั้งหมดในนั้นคงมีแต่ของที่เก่าที่ใช้มานานแล้วทั้งนั้น
“เงียบจังเลย”
พอมาแถวบ้านพักของอัศวินก็มองเห็นเพียงแค่สองสามคนที่เดินอยู่ไกลๆ เท่านั้น ไม่ค่อยมีคนเดินผ่านไปผ่านมา อีกทั้งที่นี่ยังเป็นบริเวณที่ตั้งอยู่ด้านในผืนป่าเก่าแก่ ทำให้ระหว่างบ้านพักมีต้นไม้โตขึ้นอย่างหนาแน่นขวางกั้นกันเอาไว้
‘เป็นส่วนตัวดีมากเลยไม่ใช่เหรอ?’
ฉันคิดขึ้นได้เมื่อมายืนอยู่หน้าบ้านราธบัน บ้านของเขาที่อยู่ด้านในสุดถูกอำพรางอยู่ในหมู่ต้นไม้ ทำให้ไม่เห็นบ้านหลังอื่นรอบข้างเลย
‘เพราะแบบนี้ถึงได้กล้าพาฉันมาที่นี่นี่เอง’
ถ้าเป็นที่แบบนี้ล่ะก็ อย่างไรก็ช่วยหลีกเลี่ยงสายตาของผู้คนได้อย่างดี อีกทั้งสถาณการณ์ตอนนั้นจะพาฉันผู้มีสภาพไม่น่าดูไปยังตึกของหน่วยอัศวินก็ไม่ได้ด้วย
ฉันพิจารณามองดูบ้านของเขา ทว่าไม่นานความผิดหวังก็ถาโถมลงบนบ่า
“ว่าแล้วเชียว…”
ไม่มีที่ให้วางของไว้เลย บ้านหลังอื่นที่ได้เห็นตอนมาที่นี่ ยังมีของจำพวกของตกแต่งชิ้นเล็กหรือไม่ก็กล่องใส่ของวางไว้อยู่บ้าง แต่บ้านของราธบันกลับไม่มีอะไรเลย
‘ต้องวางไว้บนพื้นเหรอ’
โชคดีที่ปากทางเข้าหน้าประตูบ้านทำขึ้นจากหิน หากวางไว้ตรงนั้นก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่ให้วางเสื้อที่ซักมาแล้วลงบนพื้นแบบนี้มันจะไม่เป็นการเสียมารยาทหรอกเหรอ
‘รู้งี้น่าจะบอกให้เขามาเอา’
เป็นเพราะเร่งรีบออกมาเลยไม่ได้คิดว่าจะมาเจอเรื่องแบบนี้มาก่อน ขณะที่กำลังกังวลว่าจะทำอย่างไรดี สุดท้ายก็ตัดสินใจวางทิ้งไว้
ฉันควรทำให้พื้นสะอาดขึ้นหน่อยด้วยการปัดเศษดินบนพื้นหินออกก่อนแล้วค่อยวางมันลงไป ระหว่างที่คิดแบบนั้นแล้วกำลังค้อมตัวลง
หมับ!
“ใคร”
มีใครบางคนจับไหล่ฉันแล้วเอ่ยถาม ฉันเหงื่อแตกทันทีเมื่อได้ยินเสียงนั้น นี่ไม่ใช่เสียงของราธบัน
‘อัศวินที่ยืนเฝ้ายามเหรอ?’
ระหว่างที่คิดแบบนั้นและไม่รู้จะทำอย่างไรดี มือที่จับไหล่ก็ออกแรงหมุนตัวฉันอย่างหยาบคาย เบื้องหน้าพลันปรากฏอัศวินที่สวมชุดหน่วยอัศวินแห่งวิหารอยู่
“…!”
เป็นใบหน้าที่อยู่ในความทรงจำ
‘ชีเดล!’
อัศวินที่ได้พบตอนที่กำลังจะไปพบผู้อาวุโสเดลเลอร์คราวก่อน อัศวินที่ถูกอัศวินรอบข้างห้ามเอาไว้ อัศวินหนุ่มที่แสดงความเป็นปฏิปักษ์กับฉันอย่างแรงกล้า
‘ทำไมต้องเป็นคนนี้ด้วย!’
ไม่ใช่ว่าหากเป็นอัศวินคนอื่นแล้วการที่ฉันมาอยู่หน้าบ้านราธบันแล้วจะไม่มีปัญหา แต่ดูเหมือนว่าจะมีเพียงคนๆ นี้เท่านั้นที่ไม่ควรถูกพบ
“ถอดฮู้ดออก”
เขาออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น และยังจ้องเขม็งมาด้วยสายตาที่สื่อว่าหากไม่ทำตามก็จะจู่โจมทันที ฉันจับฮู้ดอย่างลังเลเมื่อเห็นท่าทีของเขา
‘ทำยังไงดี?’
ขณะที่กำลังลังเลว่าควรถอดออกหรือไม่ ชีเดลก็ยื่นมือออกมาอย่างกะทันหัน
“ไม่นะ!”
แม้จะคว้าฮู้ดเอาไว้ได้อย่างรวดเร็วแต่ก็ไม่อาจต้านแรงของเขาได้ เส้นผมที่ถูกมัดอย่างลวกๆ ด้านในฮู้ดสยายออกมาเมื่อฮู้ดถูกถอดออก ชีเดลตกใจเมื่อได้เห็นใบหน้าถูกเปิดเผย
“นักบุญหญิง…?”
ฉันก้มศีรษะลงทันทีที่ได้ยินนำเสียงพึมพำของชีเดล
‘จบเห่แล้ว’
ตอนนี้ฉันต้องอธิบายเหตุผลที่มาอยู่ที่นี่อย่างไรดี ชีเดลจ้องฉันที่กำลังคิดไม่ตกอยู่แบบนั้น ก่อนจะหลุดหัวเราะเย้ยหยัน
“เห มิทราบว่านักบุญหญิงมาทำอะไรที่นี่หรือ?”
“…”
เขามองมาที่ฉันด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความรังเกียจ จากนั้นก็ยกมือที่จับไหล่ออกไป แล้วสะบัดราวกับจับโดนของสกปรก
“ข้าเอาเสื้อ…”
ฉันพูดถึงตรงนั้นก็รีบหุบปาก
‘พูดออกไปตามตรงไม่ได้’
ที่จริงแล้วการมาที่นี่ไม่ใช่ปัญหา เพราะฉันมาที่นี่ก็เพื่อจะคืนเสื้อที่ยืมเขามาก็เท่านั้น
‘แต่ว่า…ถ้าโดนถามว่ายืมมาได้ยังไงก็คงตอบกลับไปไม่ได้’
ฉันคงไม่สามารถเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้นออกไปตามตรงได้ หลังจากที่ฉันหลับนอนกับองค์ชายรัชทายาทเสร็จก็ออกมาจากที่นั่นราวกับวิ่งนี้ แล้วก็ไม่สามารถกลับไปยังที่พักได้เลยมาอาบน้ำที่บ้านของราธบันจากนั้นก็ยืมเสื้อเขา แล้วก็หลับไป…จะพูดแบบนี้ไม่ได้ จริงอยู่ว่าฉันไม่มีความคิดที่จะพูดความจริงให้ฟังเลยสักนิดแต่ตอนนี้ไม่มีข้อแก้ตัวอะไรที่ฉันพอจะนึกออกเลย
ในตอนที่ฉันกำลังคิดไตร่ตรองอยู่นั่นเอง จู่ๆ ชีเดลก็ยื่นแขนมาทางฉันแล้วคว้าคอเสื้อ
“ค่อก!”
ฉันมองเขาด้วยความตกใจกับการกระทำที่มาอย่างกะทันหันของเขา
“แค่เห็นก็รู้แล้ว”
“พูดอะไร…ยังไม่ปล่อยอีก?”
“ข้ารู้นะว่าเจ้ากำลังล่อลวงหัวหน้าของเราอยู่!”
“…อะไรนะ?”
ฉันไม่เข้าใจเลยว่าชีเดลกำลังพูดถึงอะไร ฉันกำลังล่อลวงราธบันอยู่เนี่ยนะ?
“ถ้าไม่เช่นนั้นข้าก็สงสัย ข้าต้องรู้ให้ได้ว่าเจ้าทำอะไรกันแน่ ช่วงนี้หัวหน้าถึงได้กลายเป็นแบบนี้”
นัยน์ตาของชีเดลลุกวาวไปด้วยความโกรธ คราวที่แล้วฉันก็สัมผัสได้ ความรู้สึกที่คนผู้นี้มีต่อราธบันมันเกินคำว่าเคารพไปมากโข เขากำลังทำตัวราวกับว่าราธบันเป็นพระเจ้าของตน
“สตรีน่าไม่อาย ที่เหยียดหยามหัวหน้าไปด้วยวิธีนั้นยังไม่พออีกหรือ?”
ชีเดลเขย่าคอเสื้อฉันอย่างแรง เขาเป็นอัศวินของหน่วยอัศวินแห่งวิหาร ส่วนฉันกำลังสั่นไหวอย่างไร้เรี่ยวแรงราวกับตุ๊กตายัดนุ่นที่เหี่ยวแห้งอยู่ในมือของเขา
คอที่ถูกรัดแน่นกับศีรษะที่สั่นไหวทำให้ฉันไม่มีสติ อีกทั้งภาพการมองเห็นยังหมุนวนไปมาจนทำให้ฉันรู้สึกอยากจะอ้วก ฉันดันมือของเขาที่กำลังจับคอเสื้ออยู่ออก ในขณะที่กำลังฉุดกระชากลากดึงกันอยู่นั้นเอง ชุดนักบวชของราธบันที่อยู่ในอกก็ตกลงบนพื้น
“อ้า!”
ชีเดลมองเสื้อที่ตกอยู่บนพื้นแล้วก้มลงไปหยิบมันทั้งที่ยังจับฉันเอาไว้ หลังจากตรวจสอบแล้วว่ามันคือชุดของใครบางคน เขาก็ยิ่งมีสีหน้าที่โกรธแค้นมากกว่าเดิม
“ชุดนักบวช? คิดจะเอาของสิ่งนี้แอบเข้ามาในบ้านของหัวหน้าล่ะสิ?”
ชีเดลมองเสื้อราวกับมันเป็นของน่าสงสัย จากนั้นก็ปาลงบนพื้นอีกครั้ง
“ไม่นะ…!”
มันเป็นเสื้อที่ซักแล้วนะ! ฉันยื่นมือออกไปหาชุดนักบวชโดยไม่รู้ตัว แต่ตอนนี้ชีเดลใช้มือทั้งสองข้างจับคอเสื้อของฉันแล้วยกขึ้น ทันทีที่เท้ายืนไม่ติดพื้น ฉันก็อยู่ในสภาพตะเกียกตะกายโดยอัตโนมัติ
“คิดไว้แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้”
“อะ อะไร…”
“หนวกหู ข้าบอกว่ารู้อย่างไรเล่าว่าเจ้ากำลังยั่วยวนเพื่อจะพากระทั่งหัวหน้าเราไปที่เตียงของเจ้าอยู่! ถ้าไม่ใช่จะมาถึงที่นี่เพื่ออะไรกัน? แถมยังถึงกับถือเสื้อมาด้วย!”
เหงื่อพลันไหลรินเมื่อได้ยินดังนั้น ดูท่าว่าคนผู้นี้คงจินตนาการเรื่องฉันอยู่ในหัวของตัวเองไปตามใจเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งดูจากสายตา ตอนนี้เขาคงไม่มีสติอยู่กับตัวแล้ว ฉันรู้ดีว่าพูดกับคนแบบนี้ไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร
ฉันยกเท้าขึ้นถีบเข้าที่ท้องของชีเดลสุดแรง
“อ่อก!”
อาจเพราะถูกจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัว มือของเขาเลยอ่อนแรงลง ฉันไม่พลาดโอกาสนั้นหลุดออกมาจากมือของเขา
“แค่กๆ!”
คอที่ถูกจับไว้รู้สึกเจ็บแต่โชคดีที่ดูเหมือนจะไม่ได้รับบาดเจ็บร้ายแรง จังหวะที่กำลังจะหมุนตัววิ่งหนี มือของชีเดลก็เข้ามาคว้าที่ผมของฉัน
“อ้าก…! อึก!”
เสียงร้องตะโกนดังขึ้นได้ไม่ยาว เพราะมือของชีเดลที่เข้ามาด้านหลังอุดปากของฉันไว้
‘ต้องหลุดออกไปให้ได้!’
ฉันรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณจากแรงของเขาที่ใช้อุดปาก หากปล่อยไว้แบบนี้ต่อไปจะต้องเป็นอันตรายแน่ แต่อาจเพราะเขาปล่อยฉันหลุดไปได้ครั้งหนึ่ง ตอนนี้ไม่ว่าฉันจะดิ้นแค่ไหน ชีเดลก็ปักหลักไม่ขยับ มือไม่หลุดออกเลย
‘มีวิธีเดียวเท่านั้น’
ฉันเรียกพลังศักดิ์สิทธิ์ออกมาทันที หากเป็นปกติแล้วคงกังวลว่าจะต้องควบคุมพลังศักดิ์สิทธิ์อย่างไร แต่ว่าตอนนี้ไม่มีเวลาให้คิดเรื่องนั้นแล้ว อาจเพราะเขาสัมผัสได้ถึงความปกติที่ฉันนิ่งเงียบไป จึงได้คว้าเข้าที่คอฉัน
“ปล่อย!”
ชั่วขณะที่มือของเขากำลังจะบีบคอ ฉันก็ตะโกนแล้วผลักเขาไปสุดแรง
พลั่ก!
ทันใดนั้น ร่างกายของเขาก็กระเด็นออกไปพร้อมกับเสียงหนักหยาบ จากนั้นก็ลอยไปกระแทกเข้ากับต้นไม้ที่อยู่ด้านข้างด้วยความเร็วอันน่ากลัว
“อึก…”
ดวงตาของชีเดลที่กระแทกเข้ากับต้นไม้เหลือกขึ้นจนเห็นแต่ตาขาว เขาพิงต้นไม้แล้วค่อยๆ ล้มลงบนพื้น ฉันมองภาพนั้นอย่างเหม่อลอย บนต้นไม้ที่เขาพิงแล้วสลบไปมีเลือดสีแดงเข้มซึ่งยังสามารถมองเห็นได้แม้อยู่ในความมืด ฉันยกมือขึ้นปิดปากทันทีที่เห็นภาพนั้น
“ค คงไม่ใช่ว่า…”
ฉันมองร่างของตัวเอง แสงสีฟ้าครามเลือนรางกำลังเปล่งประกายโอบล้อมอยู่รอบตัวฉัน
‘ไม่ใช่แบบนี้สิ’
ฉันเคยอ่านเจอในหนังสือมาเยอะมากเกี่ยวกับเกราะป้องกัน แต่สิ่งนั้นมันทำเพียงแค่ช่วยป้องกันไม่ให้การโจมตีสัมผัสโดนร่างกายเท่านั้น ไม่ใช่พลังที่จะผลักใครสักคนออกไปอย่างแรงแบบนี้
“ค คงไม่ใช่ว่าตาย…”
ฉันควรจะเข้าไปตรวจสอบให้แน่ชัดแต่เท้ากลับไม่มีแรงเลย พอเห็นชีเดลที่สลบไป ร่างกายก็สั่นด้วยความหวาดกลัว
ทำอย่างไรดี? นี่ฉันฆ่าคนเหรอ?
“นั่นใครน่ะ”
ตอนนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงที่น่ายินดีขึ้น ฉันหันศีรษะกลับไปทางเสียงที่ได้ยินราวกับคนที่ได้พบผู้ช่วยชีวิต
“ใครอยู่ตรงนั้น…ท่านนักบุญหญิง?”
“…ราธบัน”
ฉันเอ่ยเรียกชื่อเขาอย่างเหม่อลอย