ฉันนั่งอยู่บนโซฟา บนตัวมีผ้าห่มผืนหนักคลุมอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นร่างกายก็ยังไม่หยุดสั่น ถ้วยชาที่ถืออยู่ในมือกระแทกกับจานรองส่งเสียงดังกึกๆ ไม่นานราธบันก็เดินเข้ามาฉวยเอาถ้วยชาที่อยู่ในมือฉันออกไป
“มือท่านเป็นอะไรหรือไม่”
“อ่า…”
ตอนนั้นเองฉันถึงได้รู้ว่ามือของฉันมีสภาพเป็นอย่างไรไปแล้ว น้ำชากระเด็นออกมาทั่วมือจนเปรอะเปื้อน ฉันมองมืออย่างเหม่อลอยก่อนจะนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ฉันสร้างเกราะป้องกันขึ้นมากะทันหันและชีเดลก็ปลิวไปอัดเข้ากับต้นไม้เพราะพลังนั้น
“ชี ชีเดลตายหรือไม่”
ฉันมองมือที่สั่นระริกก่อนจะฝืนถาม
“ไม่ต้องกังวลขอรับ ยังไม่ตาย แค่สมองได้รับการกระทบกระเทือนเท่านั้น”
พูดจบ ราธบันกล่าวต่อราวกับไม่เข้าใจ
“เหนือสิ่งอื่นใด ท่านนักบุญหญิงก็รู้ดีกว่าใครมิใช่หรือว่าพลังของนักบุญหญิงฆ่าใครไม่ได้”
“แต่ว่า…”
“ท่านไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรอีกแล้วขอรับ เมื่อชีเดลฟื้นขึ้นมาก็จะถูกลงโทษและถูกปลดออกจากหน่วยอัศวินเช่นกัน”
“…เป็นเช่นนั้น”
ฉันยังไม่โง่เง่าถึงขนาดที่จะไม่เอาผิดเขาแม้ว่าตัวเองจะอยู่ในสภาพนี้แล้ว บางทีนี่อาจเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์เลยที่อัศวินของหน่วยอัศวินแห่งวิหารทำร้ายนักบุญหญิงภายในวิหารหลวง
“…ข้าหวังว่าเจ้าจัดการแบบเงียบๆ”
นี่เป็นการป้องกันไม่ให้ทุกคนในหน่วยอัศวินแห่งวิหารถูกลงโทษด้วยเหตุการณ์คราวนี้ ราธบันค้อมศีรษะเมื่อได้ยินดังนั้น
“ขอบคุณขอรับ”
ความเงียบดำเนินไปอยู่สักพัก ฉันเงยหน้าขึ้น บนโต๊ะตรงหน้ามีชุดนักบวชของราธบันที่อยู่ในสภาพเละเทะวางอยู่ บางทีอาจเป็นเพราะถูกเท้าของชีเดลเหยียบย่ำ มันถึงได้เปื้อนรอยเท้าที่มีคราบดินเหนียวและเสื้อบางส่วนก็ถูกฉีกขาด
‘ทำยังไงดี’
เห็นภาพนั้นฉันก็น้ำตาคลอ
“ขอโทษนะ ราธบัน”
“…”
“ขอโทษ ข้าแค่ตั้งใจจะเอามันมาวางไว้แล้วก็กลับไป ไม่คิดว่าจะกลายเป็นแบบนี้…”
ตอนนั้นเอง มือของราธบันก็เอื้อมมาจับมือฉัน
ฉันมองเขาเพราะตกใจกับอุณหภูมิอบอุ่นที่สัมผัสถูกปลายนิ้ว ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่เขามานั่งคุกเข่าข้างเดียวอยู่ตรงหน้า เขาหยิบผ้าเช็ดมือออกมาจากกระเป๋าเสื้อในชุดเครื่องแบบแล้วบรรจงเช็ดมือ ผ้าเช็ดมือสีขาวที่ไม่มีลวดลายอะไรถูกย้อมไปด้วยสีน้ำตาลเป็นหย่อมๆ เพราะถูกเขานำมาเช็ดน้ำชาที่เปื้อนมือ
“…”
การกระทำที่ไม่คาดคิดมาก่อนของเขา ทำให้ฉันทำได้เพียงมองไปที่เขาเงียบๆ โดยที่ไม่อาจเปล่งเสียงอะไรออกมาได้เลย มันช่างเป็นการเคลื่อนไหวที่ประณีตมาก ไม่รู้เพราะอะไรฉันถึงได้รู้สึกผิดที่เห็นเขาทำแบบนั้น จึงกล่าวขึ้น
“นั่นเป็นชุดนักบวชสมัยเด็กที่สำคัญมากแท้ๆ…”
ได้ยินดังนั้นราธบันก็เหลือบตามองชุดนักบวชที่วางอยู่บนโต๊ะ จากนั้นก็หันศีรษะกลับมาตอบด้วยสีหน้าเฉยเมย
“เป็นของที่ทิ้งไปก็ได้ขอรับ”
ไม่มีทาง หากเป็นเช่นนั้นจริง ด้วยนิสัยของเขา คงจะทิ้งมันไปตั้งนานแล้ว
“แต่มันก็เป็นของที่เจ้าเก็บมาจนถึงตอนนี้…”
“เอาเป็นว่าโชคดีที่ดูเหมือนว่าท่านจะไม่เป็นแผลน้ำร้อนลวก”
ราธบันคงไม่อยากพูดถึงเรื่องชุดนั่นอีก เขาจึงเปลี่ยนเรื่องทันควัน จากนั้นก็เช็ดมือให้ฉันต่อจนทั่ว สักพักเขาก็ถอนหายใจออกมาสั้นๆ ฉันมองไปยังจุดโฟกัสสายตาของเขาด้วยความสงสัยว่าเพราะอะไร
“…ดูเหมือนครู่ก่อนท่านจะถูกข่วนนะขอรับ”
ตรงนั้นมีรอยข่วนบางเบาและยาวที่แทบจะเรียกไม่ได้ว่าเป็นบาดแผลอยู่ เป็นรอยที่หลังจากนี้อีกหนึ่งชั่วโมงก็คงจะจางลงจนไม่รู้ว่าเคยมีรอยแบบนี้เกิดขึ้นตอนไหน แต่ดูแล้วเหมือนจะเป็นรอยที่เกิดขึ้นตอนถูกชีเดลจับแล้วฉันพยายามขัดขืน
ลมหายใจสั้นๆ ของเขาสัมผัสโดนปลายนิ้ว
“ทำไมท่านไม่ใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ออกมาให้เร็วกว่านี้หน่อยล่ะขอรับ”
“…”
แม้ฉันไม่ได้ตอบกลับไปแต่เขาก็ไม่ถามอะไรต่อ ยังคงนั่งคุกเข่าข้างเดียวและก้มศีรษะอยู่เช่นนั้น
“ตอนนี้ท่านอาจจะเบื่อคำขอโทษของข้าเช่นนี้แล้วแต่ว่า…ขอโทษขอรับ”
“…”
“หน่วยอัศวินแห่งวิหาร เป็นผู้คนที่มีขึ้นเพื่อท่านผู้เป็นตัวแทนของพระผู้เป็นเจ้าซึ่งอาศัยอยู่บนดินแดนแห่งนี้”
ราธบันว่าพลางก้มศีรษะลงต่ำกว่าเดิม
“แม้ท่านจะสามารถช่วยรักษาทุกคนได้ก็จริง แต่ในความเป็นจริงแล้วท่านไม่อาจรักษาตนเองได้ ดังนั้นพวกเราจึงมีอยู่เพื่อรับบาดแผลแทนท่าน…แต่พอเป็นเช่นนี้ สุดท้ายก็ไม่อาจรู้ได้แล้วว่าพวกเรามีอยู่ไปเพื่ออะไร”
น้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยออกมาของเขาแฝงไปด้วยความละอายใจ
เป็นอย่างที่เขาพูด หน่วยอัศวินแห่งวิหารถูกสร้างขึ้นเพื่อปกป้องนักบุญหญิง แต่ด้วยเพราะปัญหาที่ใหญ่กว่าในตอนนี้อย่างการปราบปีศาจจึงทำให้ดูเหมือนว่าพวกเขาดำรงอยู่เพื่อสิ่งนั้น แต่อันที่จริงแล้ว หน้าที่ซึ่งเป็นพื้นฐานที่สุดของพวกเขาคือการคุ้มครองนักบุญหญิง
ทว่าอัศวินของหน่วยอัศวินกลับทำอันตรายแก่นักบุญหญิง อีกทั้งผู้บัญชาการยังบกพร่องในการอารักขาอีกบ่อยครั้ง จึงไม่แปลกที่จะทุกข์ใจ หลังจากนิ่งเงียบไปสักพัก เขาปล่อยผ้าเช็ดมือที่ถูกจับอยู่ในมือฉันอย่างเป็นธรรมชาติก่อนจะยืนขึ้น ฉันตกใจและกำลังจะยื่นมันกลับไปให้ เขาส่ายหน้า
“แต่ว่า…”
เขากล่าวขึ้นขณะที่ฉันลังเล
“ไม่ต้องกังวลไปเลยขอรับ อันนั้นไม่ต้องคืนก็ได้”
“…!”
ชั่วขณะนั้นเอง ฉันที่มองเขาอยู่ก็เบิกตากว้างออกมาด้วยความตกใจโดยอัตโนมัติ พระเจ้าช่วย ใบหน้าของราธบันกำลังเจือรอยยิ้มบางเบา เขายิ้ม ดูเหมือนนี่จะเป็นครั้งแรกที่ได้เห็น ฉันถามออกไปเพราะตกใจกับสีหน้าแบบนั้นของเขา
“เซอร์ราธบัน เจ้าไม่ได้โกรธข้าหรอกหรือ”
“…?”
เขาทำสีหน้าราวกับถามว่านั่นหมายความว่าอย่างไรอยู่ครู่หนึ่งเมื่อได้ยินคำถาม
“เอ่อ คือ…ตอนนั้นที่หลังจากเข้าพบกับองค์ชายรัชทายาท เจ้าได้มาเตือนข้าไว้ใช่ไหมล่ะ ว่าอย่าไปอยู่ใกล้องค์ชายรัชทายาท เจ้าไม่โกรธหรือที่ข้าไม่ฟังคำเตือน”
สีหน้าของราธบันพลันแข็งทื่อขึ้นมากะทันหัน รอยยิ้มจางๆ ที่เคยมีอยู่จางหายไปไม่เหลือแม้แต่ร่องรอย จู่ๆ เขาก็ยืนนิ่งไม่กล่าวอะไรทั้งสิ้นราวกับคนไม่ได้สติ ผ่านไปสักพักจึงตอบกลับ
“ไม่ได้โกรธท่านนักบุญหญิงขอรับ องค์ชายรัชทายาทเลออนเขา…”
“ก็คือโกรธใช่หรือไม่?”
“…”
สีหน้าเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อฉันถามอีกครั้ง ราวกับเพิ่งตระหนักได้ตอนนี้เองว่าตนเป็นแบบนั้น ไม่ช้าสีหน้าเขาก็หม่นลง เขาเปิดปากพูดก่อนที่ฉันจะได้กล่าวอะไรต่อ
“…ท่านจะกำหนดบทลงโทษเมื่อไรหรือขอรับ”
“คะ? บทลงโทษของชีเดลก็ตัดสินตามกฎระเบียบของวิหารหลวง…”
“ไม่ใช่ขอรับ ข้าหมายถึงบทลงโทษของข้า”
“…”
บทลงโทษที่ราธบันกล่าวถึง คือบทลงโทษเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนพิธีสวดภาวนา หลังจากเหตุการณ์นั้น ในทุกครั้งที่เขาอยากเปลี่ยนเรื่องก็มักจะยกเรื่องเกี่ยวกับบทลงโทษมาพูดไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
‘ไม่ได้การล่ะ’
ฉันคิดเช่นนั้นก่อนจะเอ่ยปาก
“ใช่แล้ว บทลงโทษ”
ในที่สุดก็นึกบทลงโทษที่พอใช้ได้ออก
“เตรียมใจไว้หรือยัง”
“คืออะไรหรือขอรับ? ไม่ว่าจะเป็นอะไรข้าก็ยอมรับแต่โดยดี”
เขาคงคิดว่าครั้งนี้ฉันจะไม่ปล่อยผ่านไปแบบง่ายๆ ราธบันจึงดูประหม่าขึ้นมาทันทีที่ได้ยินคำถามของฉัน ฉันเปิดปากพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“เซอร์ราธบัน ผู้บัญชาการหน่วยอัศวินแห่งวิหาร ข้าได้กำหนดบทลงโทษตามความผิดพลาดในการอารักขาเมื่อเรื่องคราวก่อนแก่เจ้า”
“รับบทลงโทษ”
“ต่อจากนี้ไปเจ้าต้องสอนข้าใช้ดาบ”
“ขอรับ?”
เขาที่ก้มหัวฟังอยู่เงยหน้าขึ้นมามองฉันด้วยความตกใจ ฉันมองเห็นความงงงันราวกับจะถามว่านี่ตนกำลังได้ยินอะไรอยู่บนใบหน้าของเขา
“แต่ว่า ดาบ…”
“ข้ารู้ หากข้าเริ่มเรียนรู้ตอนนี้ไปอย่างไรก็ไม่มีทางเทียบเคียงกับเหล่าอัศวินได้ ไม่สิ ก่อนหน้านี้ก็ดูเหมือนจะไม่เคยจับดาบเลยสักครั้ง”
“แล้วทำไม…”
“แม้จะบอกว่าดาบ แต่ที่จริงแล้วน่าจะเรียกว่าศิลปะป้องกันตัวมากกว่า”
หลังจากพูดเช่นนั้น ฉันก็จงใจลูบคอตนเองอีกครั้งหนึ่ง ทันใดนั้น สีหน้าของราธบันพลันดำมืดอีกครั้ง นั่นเพราะร่องรอยที่ชีเดลจับคอเสื้อฉันแล้วเขย่าเมื่อครู่ก่อนยังคงหลงเหลืออยู่บนคออย่างชัดเจน
“ไม่ใช่ว่าหน่วยอัศวินแห่งวิหารเชื่อถือไม่ได้ ทว่าข้าอยากพัฒนาทักษะที่จะช่วยป้องกันตัวขั้นพื้นฐานได้หากเกิดเรื่องที่เป็นอันตรายต่อข้าในภายภาคหน้า”
แค่ฉันสามารถถ่วงเวลาได้สักเล็กน้อยในตอนฉุกเฉินนั่นก็เพียงพอแล้ว อีกทั้งหลังจากนี้อีกสองปีหากฉันออกไปจากที่นี่ได้อย่างปลอดภัย มันก็อาจกลายเป็นทักษะที่เป็นประโยชน์ต่อฉันมากที่สุดก็เป็นได้
‘เพียงแต่แค่นี้มันยังไม่พอ…’
มองดูราธบันที่กังวลฉันก็จมเข้าสู่ความคิด อย่างแรกเลยที่เขาบอกว่าตลอดหลายวันที่ผ่านมาเขาไม่ได้โกรธฉันแต่โกรธองค์ชายรัชทายาททำให้ฉันรู้ว่าเขาไม่ได้เกลียดฉัน
‘ถ้าอย่างนั้นแล้ว…’
ดูเหมือนการพยายามสานความสัมพันธ์กับราธบันต่อไปจะเป็นเรื่องที่ดีแล้ว แม้ในตอนนี้เขาจะนับถือฉันในฐานะ ‘นักบุญหญิง’ แต่หากฉันพัฒนาอีกสักหน่อยและได้กลายเป็น ‘เพื่อน’ ด้วยนิสัยของเขาแล้วคงไม่ปล่อยให้ฉันตายอย่างน่าเวทนาเหมือนอย่างเช่นเนื้อหาเดิม
ฉันรอคำตอบของเขาเงียบๆ ราธบันตอบรับพร้อมกับค้อมศีรษะให้หลังจากผ่านไปสักพัก
***
“วันวันหนึ่งมันช่างยาวยิ่ง…”
แค่ตั้งใจจะเอาเสื้อไปคืนเฉยๆ แต่ทำไมเรื่องทั้งหมดถึงได้กลายเป็นแบบนี้ไปได้ ตอนที่ฉันกลับมาถึงห้องนอนก็เป็นเวลากลางดึกแล้ว
แม้จะยังรู้สึกกลัวอยู่บ้างเมื่อนึกถึงภาพที่ชีเดลสลบไป แต่โชคดีที่ความสัมพันธ์กับราธบันไม่ได้แย่เท่าที่คิดเอาไว้ นั่นเลยทำให้ฉันอารมณ์ดีขึ้น
‘ถ้าอย่างนั้น…ก็สนิทกับราธบันขึ้นระดับหนึ่งแล้ว ส่วนกับองค์ชายรัชทายาทก็ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่เป็นศัตรูกัน…’
นับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าตกใจเมื่อเทียบกับอีเบลลีน่าในนิยาย
ฉันเคยคิดว่าถึงจะพยายามไปอย่างไรมันก็คงจะกลับไปเป็นเหมือนเนื้อเรื่องเดิม แต่พอรู้ว่าราธบันไม่ได้เป็นถึงขนาดนั้น อนาคตของฉันดูจะไม่สิ้นหวังถึงขนาดนั้น
‘เอาเป็นว่านอนก่อนแล้วค่อยคิดละกัน’
แม้รอยแผลจะไม่หลงเหลืออยู่แล้ว แต่สภาพจิตใจของฉันยังเหนื่อยล้าอยู่มากเพราะตกใจที่เห็นชีเดลสลบไป อาจเป็นเพราะแบบนั้น ฉันจึงเข้าสู่ห้วงนิทราทันทีที่ล้มตัวลงบนเตียงราวกับหมดสติ
แล้วฉันก็ต้องลืมตาขึ้นมาอีกครั้งเพราะเสียงดังปึงปัง
‘เสียงอะไรกัน…’
ตอนแรกคิดว่าฟังผิดไป หรือไม่ก็เป็นเสียงที่เกิดขึ้นจากลม ทว่าขณะที่ได้ยินเสียงแกร๊กพร้อมกับประตูที่เปิดออก ฉันก็ตระหนักได้ถึงอันตรายได้โดยสัญชาตญาณ
‘ทำยังไงดี?’
ห้องของฉันอยู่ชั้นห้า แถมด้านนอกยังไม่มีของอย่างเช่นต้นไม้ที่สามารถปีนขึ้นมาที่นี่ได้ด้วย ขณะที่ตระหนักได้ว่าเสียงนั้นไม่ใช่เพราะหูแว่วไปเอง ความง่วงสลายไปในชั่วพริบตา ฉันเตรียมเรียกพลังศักดิ์สิทธิ์ออกมาแม้ไม่ขยับตัว และขณะที่เห็นแสงสีฟ้าครามปรากฏขึ้นบนปลายนิ้ว ฉันก็เด้งตัวขึ้นจากที่นอนและส่งเสียงตะโกนไปทางเสียงที่ได้ยินจากหน้าต่างทันที
“ใคร…!”
ฉันยังไม่อาจเปล่งคำพูดออกไปได้จนจบ
มีชายหนุ่มผู้หนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น
เส้นผมสีแดงของชายผู้นั่นกำลังปลิวไสวไปตามลมใต้แสงจันทร์ที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่าง แม้มันจะกำลังเปล่งประกายอย่างงดงามแต่ฉันกลับขนลุกเมื่อได้เห็น นัยน์ตาของเขากำลังเปล่งประกายท่ามกลางความมืด ดวงตาสีแดงเลือดกำลังจ้องมองมาทางฉัน ฉันไม่อาจเอ่ยคำใดเลย
“อา…”
ชั่วขณะที่ได้สบสายตากับดวงตาคู่นั้น ร่างกายก็เหมือนถูกแช่แข็ง สิ่งที่ฉันทำได้มีเพียงเปล่งเสียงร้องเบาหวิวและยืนตัวสั่นเท่านั้น
ดวงตาเป็นประกายคู่นั้นไม่ใช่ดวงตาของมนุษย์แน่นอน
สิ่งที่ยืนอยู่คือชายผู้หนึ่ง แต่ฉันกลับรู้สึกเหมือนกำลังเผชิญหน้ากับปีศาจขนาดยักษ์
เขาก้าวมาทางฉันหนึ่งก้าว เหงื่อไหลลงมาที่หน้าผากโดยไม่รู้ตัว
‘พระเจ้าช่วย’
แม้เป็นคนที่เพิ่งเคยพบกันครั้งแรก แต่ฉันก็รู้ว่าเขาคือใคร
“แอสรัน…”
แอสรัน ตัวเอกชายอีกคนในโลกใบนี้และเป็นจักรพรรดิเวทมนตร์ เป็นเขาไม่ผิดแน่ และขณะที่ตระหนักถึงตัวตนของเขาได้
“ทำไม ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่…”
พลังศักดิ์สิทธิ์ของอีเบลลีน่ายังไม่ถ่ายโอนไปหาอีริส ดังนั้นเขาน่าจะต้องยังอยู่ในเกาะของเหล่าจอมเวท แล้วเขามาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าฉันตอนนี้ได้อย่างไร
พอฉันบ่นพึมพำแบบนั้นและก้าวถอยหลัง ดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นมาทันที
“…!”
วินาทีต่อมา เขามายืนตรงหน้าฉัน ฉันทรุดฮวบลงไปด้วยความหวาดผวา ทันใดนั้นเขาก็โค้งตัวลงมา แล้วกล่าว
“ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่หรือ เจ้าน่าจะได้รับจดหมายที่ข้าส่งมาแล้วนี่?”
ฉันหลุดเปล่งเสียงอุทาน อา เมื่อได้ยินคำว่าจดหมาย จดหมายที่ถูกเผาและหายไปทันทีที่ฉันอ่านในห้องทำงาน ในตอนนั้นฉันก็คิดว่าอาจจะเป็นเขา และมันก็เป็นจดหมายที่เขาส่งมาจริงๆ
ฉันย้อนนึกถึงเนื้อหาในจดหมาย มันเขียนไว้ว่า*‘การแลกเปลี่ยนสำเร็จแล้ว คงรู้นะว่าเอาคืนไม่ได้ อีกไม่นานข้าจะไปพบ’*
ปัญหาก็คือฉันไม่รู้เลยสักนิดว่าการแลกเปลี่ยนนั้นคืออะไร ฉันเอ่ยถามอีกฝ่ายที่มองมาที่ฉันซึ่งนั่งทรุดอยู่บนเตียง เขาโน้มตัวลงมาคล้ายกำลังพินิจพิจารณา
“คือ… ข้อแลกเปลี่ยน…”
เขายื่นสองมือมาทางฉัน มือของเขาสัมผัสเข้าที่หัวเข่า จากนั้นก็ค่อยๆ เลื่อนขึ้นมาจับบนต้นขาในไม่ช้า และกล่าว
“ใช่ ข้อแลกเปลี่ยน”
แววตาของแอสรันวูบไหวไปด้วยอันตราย
“นักบุญหญิง ข้อแลกเปลี่ยนที่เจ้าต้องมาเป็นตัวเมียของข้าไงล่ะ”