บทที่ 375 สังหาร (1)
ปราณจริงแท้ถูกใส่เข้าไปในตัวกระบี่อย่างช้าๆ ค่อยเป็นค่อยไป ลู่เซิ่งเห็นคมกระบี่มีระลอกคลื่นกึ่งโปร่งแสที่ชัดเจนกว่าเดิมกำลังกระเพื่อมบนผิว
ปราณจริงแท้ของเขามาจากวิชาจริงแท้ของสำนักพันอาทิตย์ที่ฝึกฝนเอง จึงมีคุณสมบัติบริสุทธิ์ถึงขีดสุด ทั้งยังมีความยิ่งใหญ่เร่าร้อนในความสว่างไสวเจิดจ้า
นี่เป็นลักษณะโดยธรรมชาติของปราณจริงแท้หลังจากฝึกฝนวิชาอาทิตย์เวโรจน์สำเร็จ
วิชาอาทิตย์เวโรจน์ในตอนนี้ของเขาไปถึงระดับที่หกแล้ว สามระดับต่อจากนั้นจำเป็นต้องใช้สภาพแวดล้อมพิเศษถึงจะเลื่อนระดับได้ แต่ว่าวิถีนภาวิญญาณกับวิชาหลอมแกนกลางโลกที่เหลืออยู่ล้วนฝึกถึงระดับสูงสุดแล้ว
ตอนนี้ค่อยๆ เขาโคจรวิชาจริงแท้สามวิชาที่เขาเพิ่งจะฝึกฝนสำเร็จหลังมาต้าอิน ปราณจริงแท้สามชนิดรวมเป็นหนึ่ง โดยค่อยๆ ผนึกรวมเป็นปราณจริงแท้สีเหลืองอ่อนออกแดงทองที่มีทรายสีทองละเอียดแทรกอยู่
ชิ้ง!
ชั่วพริบตานั้นกระบี่ธารธาราฉายรังสีแสงสีน้ำเงินที่มีระลอกคลื่นกระเพื่อมขึ้นเป็นชั้นๆ ออกมาอย่างฉับพลัน
แสงสีน้ำเงินอ่อนโยนสว่างไสว ส่องสะท้อนห้องทั้งห้องเป็นสีน้ำเงินคราม
ฮือ…
อยู่ๆ ในแสงสีน้ำเงินบนผนังก็มีเงาดำสีขนาดมหึมาและยาวเหยียดเลื้อยผ่าน ตามด้วยเสียงคำรามต่ำ เหมือนกะทิงเหมือนงู
ลู่เซิ่งเห็นเงาร่างที่เลื้อยผ่านไปนั้นเช่นกัน มีเขา มีสองปีก มีสามกรงเล็บ และลำตัวเรียวยาว
“มังกร?”
“กล่าวให้ถูกคือเนี่ยสิง” กระบี่ธารธาราตอบกลับเสียงทุ้มต่ำ “เป็นเพราะปราณจริงแท้ของเจ้าบริสุทธิ์เกินไป นึกไม่ถึงเลยว่าจะไปกระตุ้นเนี่ยสิงแห่งธารธาราเข้า”
“มันคืออะไร” ลู่เซิ่งถามอย่างแปลกใจ เมื่อครู่หลังจากเงามังกรนั้นเลื้อยผ่านไป พอเขามองหาอีกครั้งก็ไม่เจอแล้ว
“เป็นเทพวารีแห่งแม่น้ำธารธาราที่แท้จริงในยุคบรรพกาล ตอนนั้นข้ายังไม่ได้เข้าไปอยู่ในแม่น้ำธารธารา เมื่อข้าตกลงมาจากโลกแห่งความเจ็บปวดแล้วจมลงไปในแม่น้ำธารธารา ที่นั่นก็รกร้างมานานแล้ว เนี่ยสิงเทพวารีแห่งแม่น้ำธารธาราก็หายไปนานแล้วเช่นกัน” กระบี่ธารธาราตอบเสียงทุ้ม มันแตกต่างจากจิตอาวุธเทพที่แท้จริง แทบไม่มีการวางท่าอะไร คงเป็นเพราะรู้ว่าตนห่างไกลจากอาวุธเทพของจริงมาก
“ยุคบรรพกาล…เนี่ยสิงนี่แข็งแกร่งหรือไม่” ลู่เซิ่งพลันถาม
“แข็งแกร่งมาก ว่ากันว่าเนี่ยสิงเป็นเทพมังกรที่มีแต่เงา ตามที่ข้ารู้ ร่างจริงของมันกำเนิดจากเงาของแม่น้ำธารธาราที่ฉายไปถึงก้นแม่น้ำ คนปกติไม่สามารถติดต่อด้วยได้ ยิ่งอย่าว่าแต่ต่อสู้ แต่มันสามารถสังหารเงาของสิ่งมีชีวิตได้ตามใจ สิ่งมีชีวิตที่ถูกชิงเงาไป จะอายุสั้นลงครึ่งหนึ่ง ดังนั้นในหลายๆ ที่จึงบูชาเนี่ยสิงเป็นเทพแห่งอายุขัย” กระบี่ธารธาราอธิบาย
ไม่นานการถ่ายปราณก็จบลง ครั้งนี้ไม่เกิดความวุ่นวายใดๆ พลังฝึกปรือปราณจริงแท้ของลู่เซิ่งคือจุดสูงสุดของระดับสัตตลักษณ์ เนื่องจากเครื่องมือปรับเปลี่ยน ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติหรือพื้นฐานก็ล้วนบริสุทธิ์ถึงขีดสุด ดังนั้นปราณจริงแท้ครึ่งเดียวจึงทำให้กระบี่ธารธาราปลอดโปร่งผ่อนคลายได้เช่นกัน นับว่าในที่สุดก็ได้พบกับกระบวนการบูชาปกติแล้ว
ลู่เซิ่งค่อยๆ ชักมือกลับ หยุดการถ่ายปราณจริงแท้ ตอนนี้มองดูกระบี่ธารธาราอีกครั้ง ตัวกระบี่สว่างไสวแยงตากว่าก่อนหน้ามาก แสงสีน้ำเงินกับระลอกคลื่นที่กระเพื่อมอยู่รอบๆ ก็แจ่มชัดกว่าเดิมเช่นกัน
“อันดับที่สามเป็นพิธีจิต”
เขาตั้งกระบี่ธารธาราขึ้นตรงหน้าตนเองอย่างระมัดระวัง
ฉึก!
ชั่วขณะนั้น เขาถือกระบี่ด้วยสองมือพร้อมกับแทงไปที่พื้น คมกระบี่ปักลงไปในดินอย่างง่ายดาย โดยตั้งตรงอยู่ตรงหน้าลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งถอยหลังไปพร้อมกับพนมมือ แล้วแตะที่คมกระบี่เบาๆ ก่อนจะกดปลายนิ้วที่ปลายด้ามกระบี่
“เริ่มกันเลย รวบรวมความตั้งใจกับจิตวิญญาณเข้าด้วยกัน สัมผัสการดำรงอยู่ของข้า และสัมผัสกฎเกณฑ์เดิมของข้าสุดกำลัง” กระบี่ธารธารากล่าวเสียงขรึม
“ด้วยจิตวิญญาณของเจ้า ทำได้ ต้องทำได้แน่” แม้เขาจะสัมผัสความตื้นลึกหนาบางของลู่เซิ่งไม่ได้ แต่แค่ดูจากภายนอกก็มองออกว่าลู่เซิ่งมีสารกาย จิต และปราณเหนือกว่ายอดฝีมือธรรมดา กระบี่ธารธาราเคยพบพานยอดฝีมือมานับไม่ถ้วน ยิ่งเป็นตอนก่อนที่จะแหลกสลาย ก็ยิ่งเห็นมามาก แต่ไม่มีใครเลยที่มีบุคลิกกร้าวแกร่งและพิเศษเท่าลู่เซิ่ง
“มีแต่สัมผัสได้ถึงกฎเกณฑ์กำเนิด จึงจะแสดงอานุภาพที่แข็งแกร่งที่สุดของอาวุธเทพได้อย่างแท้จริง ไม่ใช่ใช้ข้าตามใจอย่างกับอาวุธที่มีวิชาลับเหมือนกับคนโง่”
ลู่เซิ่งฟังเสียงของกระบี่ธารธารา จิตใจของเขาซึมลึกเข้าไปในด้านในกระบี่ธารธาราแล้ว ภาพและเสียงที่เต็มไปด้วยสีสันนาๆ นับไม่ถ้วนพุ่งผ่านด้านข้างเขา พร้อมกับไหลเวียนด้วยความเร็วสูง เหมือนกับน้ำมันที่เกิดจากสีนับไม่ถ้วน
ลู่เซิ่งเคลื่อนที่ไปด้านหน้าโดยสัญชาตญาณ ไม่นาน ตรงหน้าเขาก็กลายเป็นทางเชื่อมทรงกระบอกหลากสี
สุดปลายทางเชื่อมเป็นผนังสีดำที่ประทับลวดลายมังกรเอาไว้ ด้านบนผนังมีกระบี่เล่มหนึ่งฝังอยู่ เป็นกระบี่สีฟ้าที่คล้ายคลึงกับกระบี่ธารธาราถึงขีดสุด แต่ประณีตงดงามมากกว่า
ขอบคมของกระบี่เล่มนี้มีเส้นสีฟ้าเส้นหนึ่ง โกร่งกระบี่เป็นหัวสัตว์ประหลาดที่ดุร้ายทำท่าขย้ำสองตัว
“นี่คือกฎเกณฑ์เดิมของกระบี่ธารธารา เชื่อมจันทรา” เสียงชราของกระบี่ธารธาราดังมาเลือนราง คล้ายกับอยู่ไกลแสนไกลจากที่นี่ “ไปจับมันไว้ เจ้าจะควบคุมกระบวนท่ากระบี่ที่สมบูรณ์ทั้งหมดในกฎเกณฑ์เดิมได้”
ลู่เซิ่งได้ยินก็เดินไปด้านหน้า ยื่นมือไปจับด้ามกระบี่อย่างแผ่วเบา แล้วดึงมันลงมาจากผนัง
ชั่วพริบตานั้น เสี้ยววินาทีที่เขาจับด้ามกระบี่ ทักษะการใช้วิชาเชื่อมจันทราอันเป็นกฎเกณฑ์กำเนิดจำนวนมากก็ทะลักเข้าสู่ห้วงสมองของเขาทันที
ภาพนับไม่ถ้วนและเสียงมากมายพรั่งพรูมาหาเขาอย่างสมบูรณ์ไม่มีตกหล่น
หากเปลี่ยนเป็นระดับสูงสุดของระดับสัตตลักษณ์สักคน อาจจะได้รับบาดเจ็บและล้มลงจนลุกไม่ขึ้นไปแล้ว หากไม่พักฟื้นสักหลายวันเพื่อซ่อมแซมจิตวิญญาณ แม้แต่การลุกขึ้นมาเคลื่อนไหวตามปกติก็อย่านึกถึง
ทว่าลู่เซิ่งมีพื้นฐานจิตวิญญาณของอริยะเจ้า จึงกลืนกินย่อยสลายความทรงจำนี้ได้อย่างง่ายดาย
ตรงหน้าพร่ามัว ลู่เซิ่งกลับมาถึงห้องตัวเอง แสงสีฟ้าของกระบี่ธารธาราค่อยๆ สลายไป ปราณจริงแท้สีแดงทองบนร่างเขากำลังสั่นกระเพื่อมด้วยความถี่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน คล้ายกำลังลอกคราบ
‘เงื่อนไขการเลื่อนระดับของวิชาอาทิตย์เวโรจน์เหมือนจะต้องการสภาพแวดล้อมที่มีแสงสีฟ้าซึ่งไม่มีความร้อน…ดูเหมือนเราจะตีความผิดพลาด จนต้องมาเจอเข้าโดยบังเอิญแล้ว’
ลู่เซิ่งสัมผัสปราณจริงแท้สีแดงทองที่กำลังพลิกม้วนเปลี่ยนแปลงในร่างกาย จิตใจเริ่มสงบเยือกเย็น
ถ้าหากเลื่อนระดับ พลังของวิชาจริงแท้โดยเปลือกนอกของเขาจะไปถึงระดับปฐมปฐพี หรือก็คือระดับอสรพิษที่เรียกกันทางต้าซ่ง
“ยินดีกับเจ้าด้วยที่ควบคุมกฎเกณฑ์กำเนิดได้โดยสมบูรณ์” น้ำเสียงของกระบี่ธารธาราซับซ้อน มีความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้อย่างหนึ่ง
“เชื่อมจันทราเป็นท่ากระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดของกระบี่ธารธารา หลังใช้แล้วจะเรียกแม่น้ำธารธาราออกมาสร้างความกดดันเพื่อบดขยี้คู่ต่อสู้ด้วยน้ำหนักของแม่น้ำธารธาราทั้งสายได้โดยสมบูรณ์ และยังสร้างสภาพแวดล้อมความกดดันสูงที่มีอาณาเขตแน่นอนได้ด้วย”
ท่านี้เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงอานุภาพของกระบี่ธารธาราที่แข็งแกร่งที่สุด เจ้าจะต้องใช้ให้ดี เป็นเพราะกฎเกณฑ์กำเนิดสิ้นเปลืองมากเกินไป เวลาใช้ครั้งหนึ่ง ปราณจริงแท้มากกว่าครึ่งของร่างกายจะหายไป ดังนั้นในตอนต่อสู้ ถ้าไม่ถึงที่สุดจริงๆ ทางที่ดีอย่าใช้กฎเกณฑ์กำเนิดโดยสมบูรณ์ ใช้สำหรับข่มขวัญก็พอ” กระบี่ธารธารากำชับเขาอย่างตั้งใจ อุตส่าห์ได้เจอผู้ครอบครองที่แข็งแกร่งและมีศักยภาพทั้งที จะให้เขาถูกกำจัดทิ้งง่ายๆ ไม่ได้เด็ดขาด
ถึงมันจะไม่รู้เหมือนกันว่าเหตุใดยอดฝีมือที่มีศักยภาพและพลังแข็งแกร่งมากอย่างลู่เซิ่ง จึงยินยอมทำสัญญาทางสายเลือดกับอาวุธเทพระดับรองที่พังจนเหลือแค่เจ็ดดาวอย่างเขา แต่ในเมื่อเป็นความจริง สิ่งอื่นๆ ก็ไม่สำคัญแล้ว
สิ่งที่สำคัญก็คือต้องใช้โอกาสนี้หาชิ้นส่วนทั้งหมดกลับมา
“เข้าใจแล้ว” ลู่เซิ่งถอนกระบี่ธารธาราออกมา แล้วใส่มันกลับเข้าไปในฝักใหม่ ครั้งนี้มีสถานะปลอมแล้ว นับว่าจัดการเรียบร้อย
ฉวยโอกาสที่ปราณจริงแท้สีแดงทองยังลอกคราบอยู่ เขาเก็บกระบี่ไว้ด้านหลัง ก่อนจะเร่งฝีเท้าเดินออกจากห้อง
“ออกไปข้างนอกอีกแล้วหรือ” เฉินเต้าหนิงซึ่งเป็นบัณฑิตแขวนหยกสีดำในเรือนเดียวกัน เดินออกจากห้องพอดี เขาถือกล่องใบเล็กไว้ในมือ คล้ายจะเป็นกล่องอาหาร ไม่ทราบว่ากำลังจะไปไหน พอเห็นลู่เซิ่งออกมา จึงร้องทักด้วยรอยยิ้ม
“อื้อ ท่านกำลังจะไปไหนหรือ” ลู่เซิ่งถามพอเป็นพิธี
“หอดวงดาวเก้ามังกร หย่าเอ๋อร์ยังเดินเล่นอยู่ที่นั่นอยู่” เฉินเต้าหนิงไม่ได้เข้าร่วมศึกช่วงชิง จึงไม่ทราบชื่อเสียงในตอนนี้ของลู่เซิ่ง แสดงให้เห็นว่าผลการต่อสู้ของทางนั้นยังส่งมาไม่ถึงทางนี้ “ช่วงนี้มีจานค่ายกลวิญญาณลวงชุดหนึ่งออกมาใหม่ สามารถเลียนแบบคู่ต่อสู้ทุกประเภทที่ตัวเราเคยเจอได้ เหมาะเอาไว้ใช้สำรวจจุดอ่อนและข้อบกพร่อง สหายลู่จะไปด้วยกันหรือไม่”
“ไม่ต้องหรอก” ลู่เซิ่งส่ายหน้าเล็กน้อย เขามีกระบี่ธารธาราแล้ว ของอย่างธงค่ายกล ค่ายกลอักขระ หรือกระดาษยันต์ล้วนไม่มีประโยชน์ต่อเขา ไม่มีความจำเป็นต้องผลาญทองคำมารอีก
“จริงสิ คืนนี้ฉยงหวนโอรสองค์ที่สิบเก้า ที่มาจากราชสำนักจะจัดงานเลี้ยงประลองกันขึ้นที่เรือนด้านใน ถ้าท่านมีเวลาก็ลองไปดู” เฉินเต้าหนิงเตือน
“อือ ขอบคุณมากที่เตือน” ลู่เซิ่งพยักหน้า คืนนี้เขาจะไปเข้าร่วมศึกช่วงชิงของสาขาใหญ่ ย่อมไม่มีเวลาไปสนใจโอรสอะไรนี่
“เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน” เฉินเต้าหนิงกล่าวเบาๆ
“ตามสบาย” ลู่เซิ่งตามเขาออกจากประตูเรือน จากนั้นก็กระโดดขึ้น พลันหายไปจากที่เดิม
ตัดทะลุถนนหลายเส้น ไม่นานเขาก็มาถึงบนลานกว้างตรงกลาง โดยยืนอยู่ตรงมุมหนึ่งของผลึกหกแฉก พร้อมทั้งยื่นมือออกไปกด
ชิ้ง!
แสงสีขาวสายหนึ่งพุ่งออกมาจากในผลึก ตกลงบนร่างลู่เซิ่ง ก่อนที่แสงจะสูญหายไป ร่างกายของเขาค่อยๆ จางลง กลายเป็นกึ่งโปร่งแสง จากนั้นก็หายไปโดยสมบูรณ์
…
ชั้นนอกของวัดตราทมิฬ
จ่างซุนหลัน ลู่เซิ่ง และซุนหรงจี๋ยืนเคียงไหล่กันอยู่บนลาน บนตัวลานในตอนนี้มีเงาคนสิบกว่าสายกระจัดกระจายกันอยู่ ทั้งหมดเป็นผู้อาวุโสระดับสูงของทั้งสามสำนัก
หยวนเจิ้งซั่งเหรินกับประมุขถ้ำจิ่วเวยก็อยู่ด้วยเช่นกัน เนื่องจากไม่มีศิษย์ผ่านเข้ารอบ เจ้าสำนักซ่อนธาตุย่อมไม่มา
หยวนเจิ้งซั่งเหรินกับประมุขถ้ำจิ่วเวยยืนอยู่สองฟากข้างของลาน ทั้งสองกางแขนออก ปราณจริงแท้สีทองเข้มข้นหลายสายลอยออกมาจากร่างของพวกเขาเหมือนกับหมอกควัน แล้วรวมตัวกันเป็นดวงแสงสีดำสูงเท่าหนึ่งคนครึ่งด้านหน้าพวกจ่างซุนหลัน
“นี่คือประตูฉายภาพที่เชื่อมไปยังสมรภูมิช่วงชิงของสาขาใหญ่” ประมุขถ้ำจิ่วเวยแนะนำด้วยสีหน้าราบเรียบ “หลังพวกเจ้าเข้าไปแล้ว ให้ระวังสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่อยู่รอบๆ ทันที หรงจี๋ ไม่ต้องฝืนทำตัวกล้าหาญ พยายามให้ดีที่สุดก็พอ ข้าไม่อยากให้พวกเจ้าล้มลงบนอาณาเขตของพวกเดียวกันก่อนจะเข้าสู่หุบเขาสองพิภพ”
“ขอรับ!” ซุนหรงจี๋ตอบด้วยสีหน้าจริงจัง
หยวนเจิ้งซั่งเหรินมองลู่เซิ่งอย่างเมตตา จากนั้นก็ยื่นมือไปตบไหล่จ่างซุนหลันด้วยสายตาพิกลเล็กน้อย
“แคว้นนวกระจ่างของเรามีทั้งหมดห้าสิบจังหวัด พวกเจ้าพยายามสุดความสามารถก็พอ ถ้าหากรักษาอันดับศึกช่วงชิงเมื่อก่อนหน้าได้ย่อมดีที่สุด ถ้าหากทำไม่ได้ก็อย่าฝืน นอกจากนี้ถ้าเจอปัญหา จงอย่ากลัว จงอย่าประมาท ความใจเย็น…เป็นวิธีแก้ไขเพียงหนึ่งเดียว”
“ท่านตา พวกเราทราบแล้วเจ้าค่ะ” จ่างซุนหลันพยักหน้า
“ของเซ่นไหว้เตรียมไว้แล้วหรือ” หยวนเจิ้งซั่งเหรินถาม
“เซ่นไหว้ไปแล้วเจ้าค่ะ แต่ยังใช้ไม่ได้ชั่วคราว” จ่างซุนหลันรีบตอบ
หยวนเจิ้งซั่งเหรินมองลู่เซิ่งอีกครั้ง
ลู่เซิ่งงุนงงอยู่บ้าง เขาลืมไปแล้วว่าอาวุธเทพต้องเซ่นไหว้ด้วย
“ข้า…ไม่มีปัญหาเช่นกัน…” ลู่เซิ่งตอบอย่างลังเล
“ข้ารู้สึกว่าข้ามีปัญหา” กระบี่ธารธาราพูดขึ้นมาอย่างกะทันหัน แต่ถูกลู่เซิ่งใช้มือบีบไว้ จึงได้แต่หยุดคำพูดต่อจากนั้นไปเพราะความเจ็บปวด
……………………………………….