บทที่ 376 สังหาร (2)
“ไม่มีปัญหาก็ดีแล้ว เตรียมตัวเถอะ ใกล้จะออกเดินทางแล้ว” หยวนเจิ้งซั่งเหรินพยักหน้าพลางกล่าวกระตุ้นอย่างชื่นใจเล็กน้อย
“แล้วเจ้าอยากให้เซ่นไหว้ด้วยอะไร” ลู่เซิ่งแอบสื่อสารจิตกับกระบี่ธารธารา “ก่อนหน้านี้เจ้าใช้อะไรเซ่นไหว้”
“ทาส นักโทษ สัตว์ป่า ปศุสัตว์ ข้ากินไม่มาก ปีละยี่สิบคนก็พอ” กระบี่ธารธารากล่าวเบาๆ อย่างจนใจ “เจ้าอย่าทำรุนแรงขนาดนี้ได้หรือไม่ ทำไมต้องบีบให้ข้าเจ็บขนาดนี้ด้วย เอาแรงมาจากไหนกัน”
“ใช้อย่างอื่นแทนไม่ได้หรือ” ลู่เซิ่งเมินคำถามอื่นๆ ก่อนจะถามอีก
“เจ้าจะเข้าสู่สมรภูมิรบก็ได้ เลือดของมารดีกว่า ข้าขอแค่สามสี่ตัวก็พอใจแล้ว” กระบี่ธารธาราเอ่ยเสริม
“ปีละครั้งหรือ”
“สามปีครั้ง”
“ตกลง” ลู่เซิ่งพยักหน้า ความต้องการน้อยมาก เขาจะได้ไม่ต้องออกตามหาเครื่องเซ่น
หลังจากหยวนเจิ้งซั่งเหรินกับประมุขถ้ำจิ่วเวยกำชับเสร็จ ต่อจากนั้นก็มีระดับสูงคนอื่นๆ ตรวจสอบทั้งสามคนว่ามีความผิดปกติหรือมีการโกงหรือไม่
จากนั้นก็เป็นการย้ำกระบวนการสำคัญ ปรากฏการณ์ และเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นหลังจบแล้วควรทำอย่างไรในศึกช่วงชิง
หลังจากเตรียมตัวเสร็จ ทุกคนก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงรอคอยเงียบๆ
เวลาเคลื่อนคล้อยไปทีละน้อยๆ สักพักหนึ่งก็มีแสงสีแดงสายหนึ่งตกมาจากท้องฟ้า กลายเป็นเสาแสงสีแดงต้นหนึ่ง ก่อนจะตกลงบนดวงแสงสีดำที่ประมุขถ้ำจิ่วเวยกับหยวนเจิ้งซั่งเหรินร่วมมือกันสร้างขึ้นมา
“เข้าไป!” หยวนเจิ้งซั่งเหรินตะโกนในทันที
จ่างซุนหลันกระโดดพุ่งเข้าไปในดวงแสงสีดำเป็นคนแรก ซุนหรงจี๋เป็นคนที่สอง ลู่เซิ่งกระโดดเข้าไปในดวงแสงสีดำเป็นคนสุดท้ายเลียนแบบคนทั้งสอง
…
โลกด้านนอก ดินแดนลึกลับ
ด้านในโพรงถ้ำขนาดมหึมาที่เต็มไปด้วยกิ่งไม้แห้ง ชั้นเมฆอึมครึมด้านนอกถ้ำมีสายฟ้าหลายสายแวบผ่านตลอดเวลา
แสงสายฟ้าสีขาวอมฟ้าสาดส่องคนสามคนที่นอนอยู่บนกิ่งไม้แห้งและใบไม้ที่เหี่ยวเฉาในถ้ำเป็นครั้งคราว
ครืน!
สายฟ้าที่เหมือนกับเขากวางสายหนึ่งวาดผ่านท้องฟ้าด้านนอกถ้ำขนาดมหึมาที่สูงสามสิบกว่าหมี่ จากนั้นเม็ดฝนมากมายก็เปลี่ยนจากเล็กกลายเป็นใหญ่ แล้วรวมตัวกันอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาเดียวก็กลายเป็นฝนเทกระหน่ำ
ฟู่ว…ฟู่ว…ฟู่ว…
เหยี่ยวสีดำที่มีร่างกายใหญ่กว่าถ้ำครึ่งหนึ่ง กระพือปีกที่หนักอึ้งบินผ่านนอกถ้ำไปพร้อมกับพายุขนาดยักษ์
เสียงลมฟู่วๆ นั้นเป็นเสียงกระแสอากาศจากการที่ปีกสีดำของมันกระพือครั้งแล้วครั้งเล่า
อือ…
ลู่เซิ่งค่อยๆ ลุกขึ้นพร้อมกับลืมตากวาดมองสภาพแวดล้อมที่ตนเองอยู่ เขาฟื้นมาตั้งแต่แรกแล้ว ฟื้นขึ้นในทันทีที่ถูกส่งตัวมา พูดให้ถูกต้องคือเขาไม่ได้หมดสติอยู่แล้ว
แต่เพื่อป้องกันเผื่อมีใครลอบจับตา จึงตั้งใจแสร้งเป็นสลบไสล แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่มีปัญหาใดๆ
เขามองใต้เท้าของตัวเอง ทั้งหมดเป็นใบไม้และกิ่งไม้แห้งสีดำที่เปียกชื้นเล็กน้อย ยามเหยียบให้ความรู้สึกอ่อนนุ่ม ชื้นแฉะ และเย็นเยียบ
“อือ…ที่นี่คือที่ไหน” ซุนหรงจี๋นวดขมับขณะที่ฟื้นขึ้นมา พอเห็นลู่เซิ่งยืนขึ้น เขาจึงถือโอกาสถาม
“ไม่ทราบ ตามกฎที่หยวนเจิ้งซั่งเหรินพูด พวกเราน่าจะได้รับการชักนำมายังโลกด้านนอกที่ไกลแสนไกล ซึ่งเป็นสถานที่ที่ใช้ในการดำเนินศึกช่วงชิงของสาขาใหญ่” ลู่เซิ่งตอบ “โลกด้านนอกทั่วไป ไม่ได้ท้าทายอะไรสำหรับลูกศิษย์ที่แข็งแกร่งจากแต่ละจังหวัดแต่ละแคว้น คิดว่าที่นี่น่าจะเป็นโลกด้านนอกพิเศษที่ได้รับการคัดเลือกอย่างพิเศษ”
จ่างซุนหลันที่นอนตะแคงอยู่ด้านข้างได้สติมาเช่นกัน ค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง แล้วหยิบของสิ่งหนึ่งที่เหมือนกับกระบองออกมาจากน่องอย่างแผ่วเบา ก่อนจะปักลงบนพื้น
ฟ้าว!
ระลอกคลื่นที่โปร่งแสงไร้รูปร่างกระจายออกมาอย่างฉับพลัน โดยมีของสิ่งนั้นเป็นศูนย์กลาง ไม่นานก็พุ่งข้ามศีรษะซุนหรงจี๋กับลู่เซิ่งไปยังด้านนอกถ้ำ
“นี่เป็นค่ายกลหลักเขต สามารถบอกชื่อของโลกด้านนอกนับร้อยใบที่รู้จักในตอนนี้ได้ พวกเราแค่รอก็พอ” จ่างซุนหลันกล่าวเสียงอ่อน คล้ายกับเป็นเพราะการส่งตัวในครั้งนี้ จิตใจของนางจึงได้รับการสั่นสะเทือนไม่น้อย ตอนนี้ยังไม่ฟื้นตัวดี
ทั้งสามรออยู่สักพัก ไม่นานระลอกคลื่นโปร่งแสงกลุ่มหนึ่งก็กระจายไปรอบๆ โดยมีกระบองเป็นศูนย์กลางอีกครั้ง
“ที่นี่คือ…” จ่างซุนหลันเหมือนได้รับข้อมูลป้อนกลับมา สีหน้าพลันซีดขาว ร่างงามสั่นเทิ้มน้อยๆ
“ถึงกับเป็น…พิภพมาร!”
“พิภพมาร!?” ซุนหรงจี๋อึ้งไปเช่นกัน
ลู่เซิ่งตกใจ
พิภพมารคือนิยามใด สี่เสาหลักและจักรพรรดิมารปกครองอาณาเขตอันกว้างใหญ่ในพิภพมาร แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะปกครองพิภพมารทั้งหมด
พิภพมารเป็นโลกด้านนอกที่มีขนาดมโหฬาร จักพรรรดิมารสี่คนเหมือนกับผู้นำเผ่าที่เกิดและเติบโตที่นี่ หลังจากพวกเขาไปถึงระดับที่น่ากลัวถึงขีดสุด ก็จะเริ่มสร้างขุมกำลังและประเทศเป็นของตัวเอง
ทว่าสำหรับพิภพมารทั้งหมด อาณาเขตของพวกเขาเป็นแค่พื้นที่เล็กๆ ส่วนพิภพมารใหญ่ขนาดไหน จนกระทั่งถึงตอนนี้ ต้าอินก็ยังไม่รู้
คำถามนี้ไม่อาจหาคำตอบได้ เหมือนกับคำถามว่าที่โลกแห่งความเจ็บปวดมีอาวุธเทพศัสตรามารกี่ชิ้น
หากว่าเข้ามาในพิภพมาร จะเจออันตรายมากมายขนาดไหน ไม่มีผู้ใดบอกได้เช่นกัน
“พวกเรา…เป็นไปได้อย่างไร?! เป็นไปได้อย่างไร!? นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” ซุนหรงจี๋ไม่เหมือนกับคนอื่นๆ เขาเคยต่อสู้กับมารมาด้วยตัวเอง จึงทราบถึงความแข็งแกร่งของมารอย่างลึกซึ้ง ในสถานการณ์ที่ถูกส่งเข้ามายังพิภพมารโดยไม่มีการเตรียมตัวโดยสิ้นเชิง ไม่ต่างจากการหาที่ตายเหมือนกับเป็นแกะเข้าปากเสือ
“ข้าก็ไม่รู้…ไม่รู้!” จ่างซุนหลันส่ายศีรษะ หน้างามขาวซีดมากขึ้น
“พอแล้ว พิภพมารแล้วอย่างไร รู้หรือไม่ว่าตอนนี้พวกเรายังอยู่ในศึกช่วงชิง” ลู่เซิ่งถามขึ้นในทันใด
คำถามนี้ทำให้ซุนหรงจี๋กับจ่างซุนหลันได้สติทันที
“ถูกต้อง ถ้าหากพวกเรายังอยู่ในศึกช่วงชิง ก็หมายความว่านี่เป็นผลลัพธ์ที่สามสำนักจงใจวางแผน”
จ่างซุนหลันเริ่มหลับตาควบคุมธงค่ายกล
สักพักใหญ่ๆ นางก็ลืมตาขึ้นแสดงสีหน้าซับซ้อน ก่อนจะถอนใจยาว นับว่าผ่อนคลายลงแล้ว
“นี่เป็นส่วนหนึ่งของศึกช่วงชิง ที่นี่คือเขตอันถัวรุ่ยในพิภพมาร หรือก็คืออาณาเขตของเผ่ามารสีชาดที่ใหญ่ที่สุดใต้สังกัดจักรพรรดิมารเหวยลา”
ภารกิจของพวกเราคือการเข่นฆ่าย่าหว่าลาขุนนางดวงดาวแห่งเผ่ามารสีชาดที่จะมุ่งหน้าไปยังหุบเขาสองพิภพ อีกครึ่งชั่วยามกลุ่มของมันจะผ่านด้านหน้าถ้ำแห่งนี้ไป พวกเราแค่ลงมือก็พอ”
“ระดับอันตรายเล่า ข้อมูลระดับพลังต่อสู้เล่า รอบๆ ขุนนางดวงดาวผู้นี้มีพลังคุ้มกันระดับไหน พวกเราไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง!” ซุนหรงจี๋กล่าวพลางนิ่วหน้า “เบื้องบนตั้งใจจะทำอะไรกันแน่ถึงได้ส่งพวกเรามาตาย”
“ข้าว่าไม่ใช่ เกรงว่านี่จะเป็นส่วนหนึ่งของศึกช่วงชิงในสาขาใหญ่จริงๆ” ลู่เซิ่งส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้น แล้วสะกิดเท้าเบาๆ
เสียงซ่าเมื่อกิ่งไม้แห้งและใบไม้เหี่ยวบนพื้นกระจายออกไปรอบๆ เผยให้เห็นพื้นดินสีดำข้างใต้ บนพื้นสลักตัวหนังสือสีแดงไว้แถวหนึ่งอย่างชัดเจน
‘เมื่อทำภารกิจสำเร็จ จงกลับมาที่นี่ แล้วจะกลับต้าอินได้’
“แล้วถ้าทำภารกิจไม่สำเร็จเล่า” ซุนหรงจี๋เอ่ยด้วยสีหน้าเหยเก
ทั้งสามคนไม่มีใครพูดอะไร
ความจริงแล้วแม้ศึกช่วงชิงเมื่อก่อนหน้านี้จะโหดเหี้ยมเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้เสี่ยงอันตรายถึงขนาดนี้ ต่อให้พวกเขาเป็นสุดยอดอัจฉริยะจากแต่ละจังหวัด แต่การส่งเข้ามาในพิภพมารโดยตรงก็ออกจะเกินไปหน่อย
อัจฉริยะตายยาก มีความอึดถึงขีดสุด แต่ตายยากไม่ใช่ว่าจะตายไม่ได้
“เบื้องบนรีบร้อนขนาดนี้เลยหรือ” ซุนหรงจี๋กล่าวเสียงขรึมพลางกำหมัดแน่น
“ใม่ต้องลนลาน” อยู่ๆ ก็มีเสียงชราดังข้างหูคนทั้งสาม เป็นเสียงของประมุขถ้ำจิ่วเวย
“สภาพการณ์ตอนนี้อันตรายมาก เบื้องบนแบ่งกองกำลังมาเคลื่อนไหวไม่ได้จริงๆ ได้แต่ปล่อยให้พวกเราออกศึกเอง ไม่ต้องห่วง ส่วนที่พวกเจ้ารับผิดชอบจะไม่อยู่เหนือกว่าขอบเขตขีดจำกัดของพวกเจ้า ตอนนี้ไม่ใช่แค่พวกเจ้าเท่านั้น พวกเราและแคว้นกับจังหวัดอื่นๆ ของสามสำนักก็เริ่มลงมือแล้วเช่นกัน อาศัยข้ออ้างศึกช่วงชิงเพื่อปกปิดความผันผวนในการเปิดใช้ค่ายกลต่อสู้”
ประมุขถ้ำจิ่วเวยกล่าวอย่างราบเรียบ “นี่เป็นการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ และเป็นโอกาส เอาตัวรอดให้ได้ จงอย่าประมาท”
เสียงค่อยๆ เบาลง แสดงให้เห็นว่าเป็นแค่การฝากข้อความ
สามคนในถ้ำไม่มีใครเอ่ยปากก่อน เงียบงันอยู่แบบนี้เนิ่นนาน
จ่างซุนหลันปักธงเล็กๆ ที่มีลวดลายสัตว์ป่าชนิดต่างๆ หลายคันลงบนพื้นอย่างเงียบๆ ซุนหรงจี๋หยิบถุงมือประหลาดโปร่งแสงคู่หนึ่งออกมาจากกระเป๋าสะพายหลัง ก่อนจะค่อยๆ สวมใส่
ลู่เซิ่งหยิบกระบี่ธารธาราออกมาจากหลัง แล้วเอามามัดกับเอวด้านหลังไว้ เพื่อจะได้ชักกระบี่ได้เร็วกว่าเดิม
“ไปเถอะ” เขามองท้องฟ้าด้านนอก สายฝนปกคลุมทิวทัศน์ที่อยู่ไกลออกไปเหมือนกับคลุมด้วยผ้าบางๆ “ที่นี่น่าจะเป็นรังของสัตว์บางชนิด พวกเราอยู่นี่มานานแล้ว เกรงว่าจะเกิดปัญหาขึ้น”
“ท่านคิดจะไปเข่นฆ่าเพื่อภารกิจจริงๆ หรือ” จ่างซุนหลันงุนง มองลู่เซิ่งพร้อมกับกล่าวด้วยความสับสน
“ทำไมจะไม่ทำเล่า” ลู่เซิ่งฉีกยิ้ม “หากไม่ทำภารกิจให้สำเร็จ พวกเราจะกลับได้หรือ”
“บิดาข้าไม่มีทางทิ้งข้าแน่!” ซุนหรงจี๋เอ่ยเสียงทุ้มต่ำ
“ท่านตาของข้าก็เหมือนกัน” จ่างซุนหลันพยักหน้า
“มีความหมายหรือ” ลู่เซิ่งพูดด้วยรอยยิ้ม “พวกเขาช่วยเจ้าทำภารกิจได้หรือ ถ้าหากข้าเดาไม่ผิด พวกเจ้าคงจะพกสมบัติล้ำค่าพิเศษที่ใช้กลับต้าอินไว้ได้กระมัง แถมยังมีของรักษาชีวิตด้วย”
ซุนหรงจี๋กับจ่างซุนหลันใบหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย แสดงว่าลู่เซิ่งพูดถูกแล้ว
“ตอนแรกข้านึกว่าศึกช่วงชิงในครั้งนี้อาจจะอันตรายเล็กน้อยเท่านั้น…นึกไม่ถึงว่า…” ซุนหรงจี๋ยืดร่างขึ้น บุคลิกก่อนหน้ากลับมาเล็กน้อย
“สหายลู่กล่าวไม่ผิด เรื่องแบบนี้ไม่ใช่การตัดสินใจที่บิดาของข้าและหยวนเจิ้งซั่งเหรินจะตัดสินใจได้ จะต้องเป็นคำสั่งที่เบื้องบนส่งลงมาแน่”
“ข้าก็เหมือนกัน” จ่างซุนหลันยิ้มอย่างหนักใจ
“อย่างนั้นก็ออกไปเคลื่อนไหวเถอะ พวกเรามีเวลาไม่มาก” ลู่เซิ่งตัดบทคนทั้งสอง เดินไปถึงปากถ้ำเป็นคนแรก ก่อนจะมองออกไปด้านนอก
บนที่ราบสีดำอมเทาที่กว้างใหญ่ไพศาลด้านนอกถ้ำ สายฝนขมุกขมัวชะล้างทุกสิ่ง ปกคลุมทิวทัศน์ทั้งหมดไปมากกว่าครึ่ง
ครืนๆ…
ในชั้นเมฆสีเทากลุ่มหนาที่อยู่ไกลออกไป มีเสาแสงสาดลอดออกมาหลายสาย ฝนคล้ายจะเบาลงกว่าก่อนหน้าแล้ว
ลู่เซิ่งพิจารณาระยะห่างเบื้องล่าง ขณะกำลังจะกระโดดออกไปด้านนอก อยู่ๆ เขาก็เงยหน้าขึ้นมองไปยังที่ไกล
กรรซ์…!
ในร่องแยกเล็กๆ ระหว่างชั้นเมฆหนา ร่างเหมือนงูขนาดมหึมาสีขาวอมเทาพุ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตามด้วยเสียงสัตว์คำรามที่ทุ้มหนักและทอดยาว
ลู่เซิ่งเห็นร่างที่เหมือนงูเลื้อยลดคดเคี้ยว เกล็ดทรงรีขนาดใหญ่หลายแผ่นพุ่งผ่านร่องแยก ร่างกายของมันคล้ายกำลังบินไปยังที่ราบซึ่งอยู่ไกลออกไป
ครืน!
เกิดแสงสายฟ้าวาดผ่านอีกรอบ ระหว่างชั้นเมฆไม่มีสิ่งใดอีก
“มังกร…หรือ” ลู่เซิ่งเลียริมฝีปาก กำด้ามกระบี่ในมือแน่น
เขาก้มหน้ามองที่ราบกว้างขวางที่เหมือนกับกระบะทรายด้านล่าง
แกว๊ก!
เหยี่ยวยักษ์สีดำตัวหนึ่งกระพือปีกพุ่งจากทางซ้ายมาหาพวกลู่เซิ่งอย่างดุร้าย
แค่ปีกของเหยี่ยวยักษ์ก็ใหญ่ถึงสามสี่สิบหมี่แล้ว ทอดตามองไกล หางของมันไม่ใช่ขนหางที่เหมือนกับนกทั่วไป หากเป็นรากไม้คมกริบสีดำที่กำลังกางกรงเล็บแยกเขี้ยว
……………………………………….