หากนางจำไม่ผิด น่าจะเป็นเวลาเก้าวัน

 

 

นางตอบเช่นนี้ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ลองคำนวณดูเล็กน้อย เดือนหนึ่งมีประมาณสามสิบวัน ทำไม่ได้เก้าวันก็ยังพอฝืนทนได้อยู่!

 

 

อวี้เหว่ยยืนมองอยู่ด้านข้าง รู้สึกว่าช่างเป็นการทำร้ายคนโสดอย่างยิ่ง นี่พวกเขาจะป้อนอาหารสุนัขกันจนเขาแทบอยากพลิกจานข้าวสุนัขทิ้งแล้วนะ

 

 

ทำไมต้องมาถกปัญหาเช่นนี้ต่อหน้าบุรุษไร้คู่มาหลายปีอย่างเขาด้วยเล่า! เพราอะไร! ช่วยคำนึงถึงความรู้สึกเขาบ้างได้หรือเปล่า หรือว่าอวี้เหว่ยในใจของพวกท่านไม่ใช่คนที่น่าคำนึงถึงเลยสักน้อย

 

 

ก็ได้ เขาเป็นแค่บ่าวไพร่ มีอะไรให้น่าคำนึงถึงกัน

 

 

เขาได้แต่แอบโบกมือ เรียกคนเข้ามาเก็บกวาดชามที่แตกจนสะอาด จากนั้นก็ออกไปพร้อมคนทั้งหมด

 

 

ในห้องเหลือแต่เยี่ยเม่ย

 

 

นางเปิดกระดาษที่จงซานให้มา หลังจากอ่านเนื้อหาภายใน เยี่ยเม่ยก็อึ้งไปแล้ว

 

 

แผนสาวงาม

 

 

นับเป็นความคิดที่ไม่เลวเลย เป่ยเฉินอี้ถึงกับคิดออกมาได้? หากเป่ยเฉินอี้คิดจะหาผลประโยชน์ใส่ตัว ก็ไม่น่าใช้วิธีนี้ อย่างไรหากแผนนี้สำเร็จ ฝ่าบาทต้องแค้นเขาตายแน่

 

 

แต่ว่า…

 

 

หากใช้วิธีนี้ช่วยเหลือนาง ฮ่องเต้ก็ยังคงต้องเกลียดเขาเช่นกัน

 

 

มองเยี่ยเม่ยหลังจากอ่านจดหมาย ไม่พูดไม่จา เป่ยเฉินเสียเยี่ยนถาม “เป็นวิธีอะไรกัน ขอเยี่ยนดูหน่อย !”

 

 

เยี่ยเม่ยส่งกระดาษให้เขา

 

 

บนกระดาษมีเพียงชื่อแม่ทัพสองคน และอีกสามคำ แผนสาวงาม

 

 

หลังจากเป่ยเฉินเสียเยี่ยนครุ่นคิดสักครู่ ก็ยิ้มเอ่ยว่า “นี่เป็นแผนของเสด็จอาสินะ”

 

 

เยี่ยเม่ยมองเขาอย่างประหลาดใจ ถาม “ท่านรู้ได้อย่างไร”

 

 

“เพราะว่าแผนนี้ มีเพียงเสด็จอาเป็นผู้สั่งการ ผู้รับผลประโยชน์คนสุดท้ายถึงเป็นพวกเรา! คืนนี้พวกเราไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น เพียงแค่หาเวลาเหมาะสม เข้าวังไปแสดงความจงรักภักดีก็พอ!” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนอธิบายสาเหตุ พลางเสนอออกมาอีกประโยค

 

 

เยี่ยเม่ยพยักหน้าแสดงออกว่าเห็นด้วย กลับถามว่า “เป่ยเฉินอี้ทำเช่นนี้ เสด็จพ่อท่านจะทำร้ายเขาได้!”

 

 

เมื่อนางเอ่ย เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็เลิกคิ้ว กวาดตามองนางเอาจริงเอาจัง “ทำไม เจ้าห่วงเขาหรือ ก็ใช่ ได้ยินว่าปีนั้นองค์หญิงหลงเป่ยเฉินอี้จนไม่ได้สติ ใครจะรู้ว่าผ่านไปหลายปีแล้ว…”

 

 

เขายังคงหึงเหมือนเดิม คิดไม่ถึงว่าเมื่อคำพูดกำกวมเช่นนี้ออกจากปากเขา ก็เห็นสีหน้าเยี่ยเม่ยเปลี่ยนไปแล้ว

 

 

ยามนี้เขารู้แล้วว่าตัวเองเอ่ยคำพูดโง่เขลาออกไป นี่มิใช่เป็นการย้ำเตือนเยี่ยเม่ยว่า ตอนนั้นเพราะความสนิทของนางกับเป่ยเฉินอี้ถึงได้ทำลายราชสำนักจงเจิ้งจนล่มสลายหรอกหรือ

 

 

“ขอโทษด้วย เยี่ยนพูดผิดไปแล้ว!” เขาตัดสินใจขอโทษนางทันที

 

 

เยี่ยเม่ยนิ่งไปสักพักหนึ่ง แค่นเสียงเย็นออกมา กวาดตามองเขา “ท่านก็มิได้พูดอะไรผิด เรื่องปีนั้น เดิมทีข้าทำผิดอย่างไม่น่าให้อภัย แต่ว่าข้าไม่ได้หลงใหลในตัวเขา ตั้งแต่ต้นจนจบเห็นเขาเป็นสหายผู้หนึ่ง เป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตเท่านั้น!”

 

 

ดังนั้น เมื่อก่อนยังไม่มีอะไร แล้วตอนนี้จะมีอะไรได้หรือ

 

 

ครั้นเอ่ยมาถึงยามนี้ เยี่ยเม่ยปรายตามองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน “อีกอย่าง ต่อให้เขาช่วยข้ามากอีกแค่ไหน ข้าก็ยังอยากให้เขาตาย!”

 

 

เมื่อเอ่ยคำพูดมาถึงขั้นนี้ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนย่อมไม่หึงอีกต่อไปแล้ว

 

 

เขาคลี่ยิ้มน้อยๆ เอ่ยแช่มช้า “อย่างนี้ก็ดี! ในเมื่อเสด็จอายอมเสี่ยงเพื่อช่วยเจ้า เช่นนั้นก็ปล่อยเขาไปเสี่ยง ความจริงเยี่ยนก็มีอีกแผนหนึ่ง เมื่อเสด็จอาเคลื่อนไหวแล้ว แผนการของเยี่ยนก็ปล่อยไว้สักพักหนึ่งก่อนค่อยว่ากัน!”

 

 

“แผนอะไร” เยี่ยเม่ยมองเขา

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก้มลงมาข้างใบหูเยี่ยเม่ย กระซิบกระซาบอยู่สองประโยค เยี่ยเม่ยพลันถลึงตาโต มองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา “แบบนี้?”

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนค่อยๆ พยักหน้า

 

 

เยี่ยเม่ยสงบนิ่งไปหลายวินาที สุดท้ายก็หัวเราะเสียงเย็น “ก็ถูก นี่เป็นวิธีที่ดี! ค่อยๆ เดินไปทีละก้าวความสำเร็จของพวกเราอยู่ไม่ไกลเท่าไรแล้ว! ยามนี้รอฟังข่าวจากด้านนอก ให้อวี้เหว่ยไปสืบก่อน”

 

 

“ได้!”

 

 

……

 

 

จวนมู่หรงเหยาฉือ หลังจากผู้เป็นนายกลับมาได้ไม่นาน เซี่ยชูมั่วก็มาเยี่ยม

 

 

มู่หรงเหยาฉือย่อมรีบให้การต้อนรับอีกฝ่าย

 

 

หลังจากเซี่ยชูมั่วเข้ามาแล้ว ก็เอ่ยว่า “น้องสาวช่างเลอะเลือนนัก ไฉนถึงยอมแต่งเป็นพระชายารอง องค์ชายใหญ่ได้ ต่อให้องค์ชายสี่ไม่มีใจให้กับเจ้า ก็ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้แม้แต่น้อย นี่มิใช่ลดค่าของตัวเองหรอกหรือ…แต่งเป็นภรรยาเอกของจวินอ๋อง ก็ยังดีกว่าเป็นพระชายารององค์ชายใหญ่มากนัก!”

 

 

มู่หรงเหยาฉือพรูลมหายใจ กล่าว “ท่านพี่กล่าวได้ถูกต้อง ไฉนน้องจะไม่รู้เหตุผลนี้ เพียงแต่น้องเองก็ถูกบีบจนตรอก ร่างกายเหลวแหลกของน้องในตอนนี้ ไม่ว่าแต่งให้ใครก็ไม่มีจุดจบที่ดีแน่! เคราะห์ดีที่องค์ชายใหญ่ยินยอมช่วยเหลือ น้องก็ได้แต่ทำเช่นนี้แล้ว!”

 

 

เซี่ยชูมั่วฟังแล้ว ก็รู้ว่าเรื่องราวต้องมีความนัยอื่น รีบถามว่า “สรุปแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่”

 

 

ยามนี้มู่หรงเหยาฉือร้องไห้ เอ่ยปากว่า “ข้าก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไร หลังจากวันที่องค์ชายสี่แต่งงาน เขาพลันมาหาข้าที่จวน ไม่ทันพูดจาก็เข้าครอบครองข้าแล้ว ข้าสืบมาได้ว่าเยี่ยเม่ยไม่ยอมตั้งครรภ์ลูกขององค์ชายสี่ ทำให้เตี้ยนเซี่ยโมโหมาก คนของจวนองค์ชายสี่ตามหาเขาไม่พบ นั่นก็เพราะเขามาอยู่ที่นี่ ข้าคิดได้ว่าท่านพี่บอกว่าตั้งครรภ์เป็นเรื่องสำคัญที่สุด ดังนั้น…”

 

 

เรื่องจริงก็เป็นอย่างที่พูด แต่มู่หรงเหยาฉือก็รู้อยู่แก่ใจ ถึงเซี่ยชูมั่วจะเสนอความคิดให้นาง แต่ให้อีกฝ่ายไม่พูด เมื่อบุรุษที่นางรักต้องการตัวนาง ทำไมนางจะไม่มอบให้เขาเล่า

 

 

“จากนั้นเจ้าก็สูญเสียร่างกายให้เขาไปแล้ว” เซี่ยชูมั่วจับจ้องมองนาง

 

 

มู่หรงเหยาฉือพยักหน้า “ถูกต้อง! ไม่เพียงเท่านั้น ข้ายังพบว่าตัวเองตั้งครรภ์ ตอนนี้อายุครรภ์สามเดือนแล้ว ท้องก็ยิ่งใหญ่ขึ้น วันนี้ข้าไปหาองค์ชายสี่ในงานเลี้ยงฉลอง เขากลับไม่ยอมรับ คล้ายไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้าพูดเรื่องอะไร อีกทั้งยังแสดงออกอย่างน่าสงสัย ข้าสิ้นไร้หนทางแล้วจริงๆ องค์ชายใหญ่บังเอิญได้ยินเรื่องนี้ สงสารข้า จึงแสร้งทำเป็นแต่งงานกับข้า ความจริงก็เพื่อรักษาชีวิตข้าไว้”

 

 

“นี่…” เซี่ยชูมั่วไม่อยากเชื่อ “องค์ชายสี่จะแล้งน้ำใจถึงขั้นไม่ยอมรับลูกของตัวเองเชียว? เจ้ามั่นใจว่าคนที่อยู่กับเจ้าในวันนั้น คือองค์ชายสี่จริงๆ”

 

 

มู่หรงเหยาฉือพยักหน้า ตอบว่า “ข้ามั่นใจ! ช่วงเวลาสามวันนั้น พวกเรามีความสัมพันธ์แนบแน่น เช้าวันนั้นข้าตื่นมาเขาก็จากไปแล้ว ข้าพบเศษผ้าชิ้นหนึ่งเหนือหัวเตียง ข้าเดาว่าเป็นของเขา ภายหลังจึงส่งคนไปสืบ ก็รู้ว่าองค์ชายสี่ออกจากจวนเป็นเวลาสามวัน เช้าวันนั้นก็กลับถึงจวน อีกทั้งเสื้อยังขาดไปด้วย”

 

 

เซี่ยชูมั่วฟังแล้ว กลับรู้สึกเรื่องเกินความคาดหมาย นางถามด้วยความงุนงงน “ข้าดูคนมานานหลายปี ถึงแม้ไม่ใช่จะมองออกทุกคน แต่ว่าคิดไม่ออกเลยจริงๆ องค์ชายสี่จะเป็นคนกล้าทำแต่ไม่กล้ารับ เรื่องนี้…”

 

 

ต้องมีเหตุผลกลใดอื่น!