มู่หรงเหยาฉือกลับเอ่ยว่า “ท่านว่าข้าเองไม่คิดอย่างนั้นหรือ เพียงแต่ท่านลองคิดดู องค์ชายสี่ปฏิบัติกับเยี่ยเม่ยแบบไหน ไม่แน่ว่าวันนั้นเขาโมโหถึงได้มาหาข้า…ภายหลังกลัวว่าจะสูญเสียเยี่ยเม่ยไป ถึงไม่ยอมรับ!”

 

 

เมื่อมู่หรงเหยาฉืออธิบาย เซี่ยชูมั่วครุ่นคิดแล้วก็พยักหน้า เอ่ยว่า “ที่เจ้าพูดก็มีเหตุผล!”

 

 

หากเป็นเช่นนี้จริงๆ องค์ชายสี่ไม่กล้ายอมรับก็ถือเป็นเรื่องปกติ ไม่ว่าอย่างไรที่เยี่ยเม่ยเดินมาอยู่ตำแหน่งวันนี้ได้ นิสัยย่อมแข็งกร้าว มีโอกาสแยกทางกับองค์ชายสี่เพราะเรื่องนี้ องค์ชายสี่ทำไปเพื่อรักษาความสัมพันธ์กับนางก็ถือว่ามีเหตุผล

 

 

เมื่อเอ่ยมาถึงยามนี้ เซี่ยชูมั่วมองมู่หรงเหยาฉือ ตบบ่านาง “เพียงแต่ทำเช่นนี้ลำบากเจ้าแล้ว เจ้าคิดจะเอาอย่างไร หรือว่าจะแต่งงานใช้ชีวิตกับองค์ชายใหญ่ไปชั่วชีวิตจริงๆ”

 

 

“ไม่มีทาง!” มู่หรงเหยาฉือส่ายหน้า “ข้าปรึกษากับองค์ชายใหญ่แล้ว รอเด็กคลอดออกมา เขาจะหย่าข้าปล่อยข้ากลับจวน เมื่อถึงเวลานั้นมีเด็กอยู่ ยิ่งถ้า…หากเด็กเป็นผู้ชาย องค์ชายสี่ต้องชอบแน่!”

 

 

“นี่…ก็นับว่าเป็นความคิดที่ดี!” เซี่ยชูมั่วถอนใจ เอ่ยต่อว่า “เจ้าต้องทำให้เยี่ยเม่ยรู้ว่ามีเด็กคนนี้อยู่ เมื่อนางรู้แล้วยอมจากไปเอง ก็ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้สำหรับเจ้าอีกแล้ว!”

 

 

มู่หรงเหยาฉือพยักหน้า “นางรู้แล้ว แต่องค์ชายสี่ไม่ยอมรับ ข้าจะทำอย่างไรได้ หากข้าทำเกินกว่าเหตุ เกรงว่าองค์ชายสี่จะลงมือทำร้ายข้าได้!”

 

 

“นี่ก็ถูก!”

 

 

เซี่ยชูมั่วมองมู่หรงเหยาฉือ เพียงรู้สึกว่าอีกฝ่ายเดิมพันทุกสิ่งกับเรื่องนี้แล้ว

 

 

นางกลับไม่มีความรู้สึกเห็นใจเลย เยาะเย้ยตัวเองว่า “สภาพของเจ้าในวันนี้ ถึงจะน่าอึดอัด แต่ไม่ว่าอย่างไรเจ้ากับองค์ชายสี่ก็เคยมีความสัมพันธ์กันแล้ว ไม่เหมือนข้า มาถึงบัดนี้แม้แต่ชายเสื้ออี้อ๋องยังไม่อาจแตะต้อง!”

 

 

มู่หรงเหยาฉือมองเซี่ยชูมั่วอย่างตะลึงตะลาน

 

 

เซี่ยชูมั่วเอ่ยต่อว่า “หากข้าสามารถตั้งท้องลูกของอี้อ๋องได้ ต่อให้ไม่อาจแต่งกับเขา ชั่วชีวิตไร้ตำแหน่งฐานะ ข้าก็ยินยอม!”

 

 

 

 

“ยอมหรือ” มู่หรงเหยาฉือมอง เซี่ยชูมั่วคราหนึ่ง หัวเราะเสียงขมขื่น “คนเรามักไม่มีวันรู้จักพอ เมื่อก่อนข้าเคยคิด หากได้เป็นสตรีขององค์ชายสี่ ต่อให้แค่คืนเดียวสำหรับข้าก็เพียงพอแล้ว แต่วันนี้มีลูกของเขาแล้ว ข้ากลับรู้สึกว่าไม่พอ คิดจะแย่งตำแหน่งจากเยี่ยเม่ย”

 

 

มู่หรงเหยาฉือพลันถอนหายใจ “ยามนี้ข้ามัวแต่คิดว่า ตอนที่เยี่ยเม่ยบอกให้ข้าถอนตัว สรุปแล้วถูกหรือไม่ หากข้าถอนตัวออกมาเร็วหน่อย บางทีก็คงไม่ถลำลึกเช่นนี้แล้ว”

 

 

หยุดการสูญเสียตั้งแต่ตอนนี้

 

 

ความจริงทุกคนต่างก็เข้าใจหลักการยิ่งหยุดไวก็ยิ่งสูญเสียน้อยลง แต่จะมีสักกี่คนที่ทำได้

 

 

เซี่ยชูมั่วแค่นหัวเราะ “เจ้าพูดก็ถูก คนเรามักคิดว่าตัวเองไม่ละโมบ คิดว่าสิ่งที่เราต้องการแค่เล็กน้อยเท่านั้น…รอจนได้ครอบครองสิ่งเล็กน้อยนั้นมา ก็ยิ่งอยากได้มากขึ้นไม่มีวันจบสิ้น รู้จักพอเป็นเรื่องยากมากแล้ว!”

 

 

ยามนี้เซี่ยชูมั่วก็ถอนหายใจออกเช่นกัน “คิดปล่อยวางก็สายเกินกาลแล้ว! ยามนี้ข้ากำลังคิดว่าสังหารสตรีผู้นั้นได้หรือไม่ หากสังหารนางแล้ว ไม่ช้าก็เร็วอี้อ๋องก็ต้องลืมนางดังที่เคยลืมจงเจิ้งซี เมื่อเป็นเช่นนี้ ลงมือครั้งเดียวได้ผลไปตลอด ภายหน้าคนที่อยู่ข้างกายอี้อ๋องก็ต้องเป็นข้าแล้ว”

 

 

มู่หรงเหยาฉือชะงักไปเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเสียสติได้เช่นนี้

 

 

เดิมหลงคิดว่าเมื่อเยี่ยเม่ยแต่งกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแล้ว อี้อ๋องก็คงไม่มีอันใดให้คะนึงหาอีก เซี่ยชูมั่วจะไม่ใส่ใจนางผู้นั้น แต่เมื่อดูแล้วตอนนี้เซี่ยชูมั่วยิ่งเคียดแค้นเยี่ยเม่ยเข้ากระดูก

 

 

คล้ายกับรู้ว่ามู่หรงเหยาฉือกำลังคิดอะไรอยู่ เซี่ยชูมั่วเอ่ยว่า “เจ้ากำลังแปลกใจว่าทำไมข้าถึงไม่เลิกรบเร้าพัวพันเยี่ยเม่ย ในเมื่อนางก็เป็นสตรีขององค์ชายสี่แล้ว”

 

 

“ถูกต้อง!” มู่หรงเหยาฉือพยักหน้า

 

 

เซี่ยชูมั่วหัวเราะเย็นชา เล่าว่า “ในคืนงานเลี้ยง สายตาของอี้อ๋องไม่ละออกจากนางเลยสักชั่วขณะ หากนางผู้นี้ไม่ตาย อี้อ๋องคงไม่มีทางเลิกรา อีกอย่างหากแผนการของเจ้าสำเร็จ ไม่แน่ว่าเยี่ยเม่ยอาจหย่ากับองค์ชายสี่เพราะความผิดหวัง องค์ชายสี่คิดแต่งกับนางจะทำอย่างไร”

 

 

“แต่ถึงยามนั้น เยี่ยเม่ยก็ไม่บริสุทธิ์อีกแล้ว!” มู่หรงเหยาฉือรู้สึกตะลึงอยู่บ้าง ถึงยามนั้นเยี่ยเม่ยก็เป็นสตรีที่ถูกทอดทิ้ง อี้อ๋องยังจะแต่งกับนางอีกหรือ

 

 

เซี่ยชูมั่วหัวเราะ สีหน้าเย็นเยียบ “หากว่าอี้อ๋องจะใส่ใจความบริสุทธิ์ของนาง วันนี้ก็คงไม่เอาแต่จ้องนางแล้ว ข้าอยากรู้ว่าสรุปแล้วเยี่ยเม่ยมีอะไรดีกันแน่ ถึงทำให้อี้อ๋องไม่อาจละสายตาได้เลย”

 

 

เมื่อเอ่ยถึงยามนี้ เซี่ยชูมั่วก็ไม่มีใจกล่าวต่อไปแล้ว

 

 

นางลุกขึ้น เอ่ยปากว่า “พอแล้ว ข้าขอตัวกลับก่อน เจ้าต้องระวังไว้ให้มาก!”

 

 

“ท่านพี่เดินทางปลอดภัย!” มู่หรงเหยาฉือพยักหน้า

 

 

หลังจากเซี่ยชูมั่วเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็ชะงักฝีเท้า หันกลับมองมู่หรงเหยาฉือเอ่ยว่า “หากข้าจะสังหารนาง เจ้าจะช่วยไหม”

 

 

“อย่างนั้นก็ต้องดูว่าท่านพี่อยากได้ความช่วยเหลือแบบไหน เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะช่วยได้หรือเปล่าแล้ว!” แววตาของมู่หรงเหยาฉือเพิ่มความอำมหิตอย่างรวดเร็ว

 

 

เทียบกับเซี่ยชูมั่วแล้ว ความจริงนางยังอยากให้เยี่ยเม่ยตายมากกว่า หากมีโอกาสนั้นนางย่อมไม่ปล่อยไปแน่ เพียงแต่ว่าเมื่อถึงตอนนั้นทำร้ายจนตัวเองไม่อาจรอด ทุกอย่างที่ทำไปก็ไม่คุ้มค่า

 

 

เซี่ยชูมั่วพยักหน้า “ก็ดี เมื่อถึงเวลาต้องการความช่วยเหลือข้าจะมาหาเจ้า ขอเพียงเจ้ายอมร่วมมือกับข้า ต้องไม่เกิดเรื่องแน่!”

 

 

“ข้าจะรอฟังข่าวดีจากท่านพี่!”

 

 

……

 

 

เซี่ยชูมั่วเดินออกจากจวนมู่หรงเหยาฉือไป มองเหมี่ยวเจินที่ติดตามอยู่ด้านหลัง เอ่ยว่า “ดูท่าเจ้าเดาไม่ผิดเลย ในเรื่องนี้ต้องมีอย่างอื่นแอบแฝง ข้าก็ว่าอยู่ดีๆ มู่หรงเหยาฉือจะไปแต่งงานกับเป่ยเฉินเสียงทำไม”

 

 

เหมี่ยวเจินก้มหน้า “ท่านหญิงไม่รู้ปัญหาภายใน เมื่อมาถามท่านหญิงเหยาฉือก็รับรู้หมดแล้ว ท่านหญิงเหยาฉือเชื่อใจท่านมาก! แต่ว่าต่อไป ท่านหญิงคิดจะทำอย่างไร จะสังหารเยี่ยเม่ยจริงหรือ”

 

 

“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องถามมาก ข้ารู้ขอบเขตดี!” เซี่ยชูมั่วตอบกลับอย่างรวดเร็ว

 

 

เหมี่ยวเจินก็ไม่เอ่ยปากถามอีก ทว่ากลอกตาไปมา

 

 

……

 

 

โรงเตี๊ยมในเมืองหลวง

 

 

แม่ทัพสองคนภายใต้บัญชาของเป่ยเฉินเสียงบังเอิญพบกันอยู่ที่โรงเตี๊ยมแล้ว บางทีอาจเรียกว่าไม่ใช่การพบกันโดยบังเอิญ แต่ว่าเป็นอี้อ๋องเชิญขุนนางบุ๋นบู๊มาประชุมที่นี่ เดิมทุกคนไม่รู้สึกอะไร

 

 

ทว่าคิดไม่ถึงเลย เมื่อแม่ทัพจ้าวเดินเข้ามาพบหน้าแม่ทัพเฉิน ก็หัวเราะเย็นชาคำหนึ่ง “หึ! เป็นเจ้านี่เอง!”