บทที่ 189 ข้าเชื่อในคำพูดของท่าน

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

บทที่ 189 ข้าเชื่อในคำพูดของท่าน

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหุบเขาชายแดนเหนือยังคงเป็นความลับสุดยอด

โดยเฉพาะเรื่องราววีรกรรมที่หลินเป่ยเฉินสร้างเอาไว้ จะเปิดเผยให้ผู้ใดรู้ไม่ได้เด็ดขาด

บัดนี้ ฉู่เหินจึงไม่สามารถพูดอะไรได้ชั่วคราว

เขาพยายามหาทางเปลี่ยนประเด็น

“เจ้าอยากรู้เรื่องของเขาขนาดนี้ ไม่กลัวศิษย์พี่ของเจ้าขุ่นเคืองใจเอาหรือ?”

ฉู่เหินยิ้มกริ่ม

หลู่หลิงโจวหน้าแดงด้วยความเขินอาย

นางติดตามหยางเฉินโจวเดินทางออกมาจากเมืองซินจิน ระหกระเหินมายังดินแดนชายทะเลอย่างเมืองหยุนเมิ่ง ทุกคนล้วนทราบดีว่านางมาเพราะเป็นห่วงเขา

บิดาของหยางเฉินโจวเพิ่งเสียชีวิตไปได้ไม่นาน หลู่หลิงโจวกับหยางเฉินโจวต้องอยู่ในร้านขายกระบี่ตามลำพังสองต่อสอง พวกเขาทั้งคู่ยังครองตัวเป็นโสด เมื่อฉู่เหินหยอกล้อเช่นนี้ หญิงสาวจึงหน้าแดงเป็นลูกตำลึงแล้ว

“พี่ใหญ่ฉู่บอกว่ามีของอยากจะให้ข้าดูหรือ?” หยางเฉินโจวช่วยเปลี่ยนเรื่องด้วยอีกคน

ฉู่เหินพยักหน้าบอกให้พานเว่ยหมินส่งคัมภีร์แขนกลเทพเจ้าดาวเหนือให้หยางเฉินโจว พร้อมกับกล่าวว่า “น้องเฉินโจวเชิญดูนี่ก่อน”

“นี่มัน…”

เมื่อหยางเฉินโจวรับคัมภีร์ไปเปิดอ่าน เขาก็เสพติดมันจนถอนตัวไม่ขึ้น

เป็นเวลา 1 ก้านธูปเต็มๆ ที่บุรุษหนุ่มร่างกายสูงใหญ่ยืนแข็งทื่อเป็นก้อนหิน ไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว ดวงตาจ้องมองอยู่ที่คัมภีร์โบราณ

หลังจากนั้นอีกครึ่งค่อนวัน เขาถึงหลุดออกมาจากภวังค์

“พี่ใหญ่ พี่ไปได้คัมภีร์เล่มนี้…มาจากไหน?”

ฉู่เหินนิ่งไปเล็กน้อย ก็ตัดสินใจบอกความจริงไม่ปิดบัง “หลินเป่ยเฉินเป็นคนเอาคัมภีร์เล่มนี้มาให้ข้า เพราะอยากจะให้ข้ามีแขนใหม่ น้องเฉินโจว เจ้ามาจากตระกูลนักหลอมอาวุธชื่อดัง มีทักษะในการตีกระบี่และหลอมอาวุธมากกว่าคนธรรมดาถึงสองเท่า ไม่ทราบว่าเจ้าพอจะสร้างแขนกลตามคัมภีร์นี้ให้ข้าได้สักคู่หนึ่งไหม?”

หยางเฉินโจวก้มหน้าอ่านคัมภีร์อีกครั้ง สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

เขาใช้เวลาเพียงเล็กน้อย ก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงมั่นใจ “ตราบใดที่พี่ใหญ่สามารถหาวัตถุดิบสำหรับสร้างแขนกลมาได้ครบถ้วน ข้าก็มั่นใจว่าสามารถสร้างให้ท่านได้ไม่มีปัญหา ถึงแม้ว่าแขนเหล็กที่อธิบายในคัมภีร์จะมีการใช้งานที่เต็มเปี่ยมด้วยประสิทธิภาพ แต่ขั้นตอนในการประกอบและหลอมมันขึ้นมาไม่ได้ซับซ้อนเกินไปนัก มันย่อมไม่เกินความสามารถของข้าแน่นอน”

พูดจบแล้ว หยางเฉินโจวก็ถอนหายใจออกมาด้วยความเศร้าและกล่าวว่า “พี่ใหญ่ ข้าไม่แปลกใจเลยที่เด็กหนุ่มคนนั้นจะหาคัมภีร์เล่มนี้มาให้ท่าน ถ้าเดาไม่ผิด ท่านก็อยู่ในเหตุการณ์ที่หุบเขาชายแดนเหมือนกันใช่หรือไม่ และเหตุผลที่ท่านต้องเสียแขนไปทั้งสองข้าง ก็เพราะช่วยชีวิตเด็กหนุ่มคนนั้น”

ฉู่เหินส่ายหน้าตอบกลับไปทันที

เขาต่างหากที่หลินเป่ยเฉินช่วยชีวิตเอาไว้

“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ แต่คัมภีร์เล่มนี้เป็นของหลินเป่ยเฉิน หวังว่าน้องเฉินโจวจะเก็บรักษามันเป็นอย่างดี และห้ามนำเรื่องนี้ไปบอกกับใครเด็ดขาด”

ฉู่เหินไม่ลืมกำชับข้อความสำคัญ

หยางเฉินโจวกล่าวว่า “ข้าไม่มีทางบอกผู้ใดแน่นอน…จริงด้วยสิ พูดถึงเรื่องนี้แล้ว ดูเหมือนว่าเราจะมีวัสดุหายาก ที่เหมาะสมต่อการหลอมแขนกลเทพเจ้าดาวเหนือแล้วสามชิ้นนะ”

หลังจากนั้น บุรุษหนุ่มร่างใหญ่ก็นำกระบี่และมีดที่ซื้อจากหลินเป่ยเฉินทั้งสามชิ้นมาวางไว้บนโต๊ะไม้อีกครั้ง “อาวุธพวกนี้หลอมขึ้นมาจากทองคำบริสุทธิ์ โดยปกติแล้วมีค่าไม่ต่ำกว่า 500 เหรียญทองคำ ถ้าเราเอาพวกมันมาหลอมกลายเป็นโลหะเหลว ก็น่าจะเพียงพอต่อการสร้างแขนกลได้สองข้างพอดี…”

ฉู่เหินชะงักไปเล็กน้อย “500 เหรียญทองคำเลยหรือ? แต่เจ้าซื้อพวกมันมาจากหลินเป่ยเฉินในราคาเพียง 100 เหรียญเองนี่…”

หยางเฉินโจวหัวเราะในลำคอด้วยความเจ้าเล่ห์ “ก็ตอนนั้นข้ายังนึกว่าเขาเป็นคนเสเพลอยู่เหมือนเดิม เลยอยากกดราคาเขาเล่นๆ น่ะ”

ฉู่เหินระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจ “ฮ่าฮ่า น้องเฉินโจว ไม่คิดเลยว่าคนเจ้าเล่ห์อย่างเจ้าเด็กนรกคนนั้น จะมาพลาดท่าเสียทีให้กับเจ้าได้อย่างนี้…หึหึ แต่เรื่องนี้เจ้าอย่าได้บอกให้เขารู้เด็ดขาดเชียวล่ะ มิฉะนั้นแล้ว เขาคงมาเอาคืนเจ้าทบต้นทบดอกแน่นอน”

ณ วิหารเทพกระบี่

“หืม? มีเรื่องเช่นนั้นด้วยหรือ?”

นักพรตหญิงชินยืนอยู่เบื้องหน้ารูปปั้นเทพีกระบี่ นางก้มศีรษะต่ำอยู่ในท่วงท่าการสวดภาวนา

เยว่เว่ยหยางตอบกลับไปด้วยความตื่นเต้น “ถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ ข้าเห็นมาเองกับตา วิธีการรักษาของหลินเป่ยเฉินคล้ายคลึงกับพลังของ “เทพเจ้าผู้พิทักษ์” ตามคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์เหลือเกิน ถ้าเรื่องนี้คือความจริง เขาอาจจะเป็นคนที่อยู่ในคำทำนายก็ได้นะเจ้าคะ”

นักพรตหญิงชินพูดว่า “เรื่องนี้ปล่อยให้ข้าจัดการเอง”

“แต่ท่านอาจารย์เจ้าคะ ข้า…” เยว่เว่ยหยางอยากจะพูดอะไรบางอย่าง

นักพรตหญิงชินตัดบทโดยทันที “ข้าลงทะเบียนให้เจ้าเรียบร้อยแล้ว เจ้ามีสิทธิ์ที่จะร่วมการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองรอบ 20 คนสุดท้าย จงรีบไปเตรียมตัวให้ดีเสียเถิด”

“โอ๊ะ ขอบพระคุณท่านอาจารย์เจ้าค่ะ”

เยว่เว่ยหยางตื่นเต้นจนวิ่งเข้ามากระโดดกอดนักพรตหญิงชิน และลืมตัวถึงขนาดที่หอมแก้มนางฟอดใหญ่

นี่คือสิทธิพิเศษของวิหารเทพกระบี่

เมื่อมีอายุถึงเกณฑ์และได้รับอนุญาตจากผู้ที่เป็นหัวหน้านักบวช สมาชิกของวิหารเทพกระบี่ก็มีสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองรอบ 20 คนสุดท้าย โดยไม่ต้องผ่านการคัดเลือกรอบต่างๆ แต่อย่างใด

เยว่เว่ยหยางอยากได้รับสิทธิ์นี้มานานแล้ว ในที่สุด วันนี้ความฝันของนางก็เป็นจริง

นักพรตหญิงชินยังคงมีสีหน้าเยือกเย็นดังเดิมขณะดันตัวลูกศิษย์ออกห่างจากตนเอง “เจ้าทุ่มเททำงานหนักให้กับวิหารของเรามาถึง 10 ปีเต็ม มีหรือที่ข้าจะไม่สนับสนุนเจ้า จงสงบสติอารมณ์ให้ดี อย่าได้ตื่นเต้นให้มากเกินไปนัก ข้าไม่อยากให้เจ้ากลายเป็นตัวตลกให้ผู้อื่นหัวเราะเยาะ…จงอย่าลืมว่าการแข่งขันรอบ 20 คนสุดท้าย คือการรวมตัวกันของยอดอัจฉริยะประจำเมืองหยุนเมิ่ง เจ้าอาจไม่สามารถชนะตำแหน่งอันดับหนึ่งอย่างที่หวังก็เป็นได้”

เยว่เว่ยหยางประสานมือคำนับด้วยท่าทางมั่นใจในตัวเอง “ข้าจะตื่นเช้ามาฝึกฝนด้วยความตั้งใจทุกวันเลยเจ้าค่ะ ข้าจะทำให้ทุกคนได้รู้ว่าใครกันแน่ที่เป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของเมืองหยุนเมิ่ง”

นักพรตหญิงชินส่ายศีรษะเล็กน้อยและกล่าวว่า “เจ้าไปได้แล้ว”

เยว่เว่ยหยางสังเกตเห็นความผิดปกติบนใบหน้าของท่านอาจารย์ “วันนี้อาจารย์มีเรื่องรบกวนจิตใจหรือเจ้าคะ?”

นักพรตหญิงชินไม่พูดคำใด

แต่สีหน้าของนางเคร่งเครียดจริงจัง นักพรตหญิงชินคุกเข่าลงไปเบื้องหน้ารูปปั้นเทพีกระบี่ และเริ่มต้นสวดภาวนาต่อจากเดิม

เมื่อเห็นดังนั้น เยว่เว่ยหยางก็ค่อยๆ ล่าถอยออกมาจากวิหารอย่างแช่มช้า

“เอี๊ยด!”

ขณะที่รถม้าแล่นมาถึงหน้าสถานศึกษากระบี่ที่สาม อยู่ดีๆ มันก็หยุดอย่างกะทันหัน ทำเอาหลินเป่ยเฉินเกือบไถลตกจากเบาะที่นั่ง

อย่าบอกนะว่ามีสาวสวยมายืนดักรถม้าของเขาอีกแล้ว?

ดังนั้น เด็กหนุ่มจึงกระโดดลงมาจากรถม้า แต่ไม่ได้พบเจอเด็กสาวหน้าตาสะสวยอย่างที่เข้าใจ เพราะคนที่เขาพบเจอนั้นก็คือ ‘เพื่อนร่วมชะตากรรม’ จากหุบเขาชายแดนเหนือนั่นเอง

“คุณชายหลิน ในที่สุดท่านก็กลับมาเสียที”

อู๋หง ผู้รอดชีวิตจากสำนักล่าอสูรกุหลาบไฟ รีบเดินตรงมาหาเขาและกล่าวว่า “ข้ามารอท่านอยู่ที่นี่นานแล้ว”

“พี่อู๋หง มาหาข้ามีอะไรหรือ?” หลินเป่ยเฉินถามกลับไปด้วยความประหลาดใจ

“ข้าเจอเบาะแสที่อยู่ของซือเหนียงและคนอื่นๆ แล้ว เพราะฉะนั้น ข้ากำลังจะเดินทางออกไปจากเมืองหยุนเมิ่งเพื่อไปช่วยเหลือพวกนาง แต่ก่อนที่ข้าจะไป ข้ามีอะไรบางอย่างจะมาบอกคุณชายหลิน”

อู๋หงขยายความต่อว่า “เมื่อวานนี้หลังกลับเข้าเมือง ข้าก็สืบสวนเรื่องราว จนเมื่อคืนนี้ ข้าได้พบศพของหลิงเอ๋อร์อยู่ในลานที่พักของบุคคลที่ชื่อฮัวเฉียงเว่ย และนางก็เสียชีวิตมานานแล้ว คุณหนูน้อยคงรอคอยมานานเหลือเกินกว่าที่ข้าจะนำศพของนางไปฝังในสุสานตามพิธี”

“หืม? หลิงเอ๋อร์เสียชีวิตแล้วหรือ?”

หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมาด้วยความเศร้า

ต่อให้เป็นเรื่องที่เขาพอจะคาดเดาอยู่ได้อยู่แล้ว แต่ก็ยังอดรู้สึกเศร้าใจไม่ได้อยู่ดี

ชีวิตคนเราก็เป็นเช่นนี้เอง

เมื่อคิดว่าทุกอย่างกำลังดำเนินไปได้อย่างสวยงาม ก็มักจะต้องมีเรื่องราวเลวร้ายเกิดขึ้นมาเสมอ และมันจะทำให้ผู้คนตาสว่าง พบเห็นความเป็นจริงที่แสนโหดร้ายของโลกใบนี้

เฟิงซือเหนียงและพลพรรคนักล่าอสูรกุหลาบไฟ ถูกสมาคมนักล่าอสูรจับตัวมาขายเป็นทาสสวาทในดินแดนโลกีย์ และนับเป็นเรื่องยากที่พวกนางจะหนีรอดออกมาได้ด้วยตัวเอง

ทำไมชะตาชีวิตของแม่ลูกจากสำนักล่าอสูรกุหลาบไฟ ถึงได้น่าเศร้าอย่างนี้หนอ

“วันนี้ข้าได้สั่งยุบสำนักล่าอสูรกุหลาบไฟลงแล้ว ทุกอย่างกลายเป็นอดีต พวกเราตัดสินใจแยกย้ายสลายตัวไปใช้ชีวิตของตัวเอง…”

อู๋หง หญิงสาวร่างกายกำยำเหมือนนักกล้าม พูดด้วยดวงตาแดงก่ำมีน้ำตาคลอเต็มเบ้า

นางก้มหน้าลงพูดอะไรไม่ออกอยู่เนิ่นนาน สุดท้ายก็เงยหน้าขึ้นมา และพูดด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น “ไม่ว่าต้องเสียอะไรไปก็ตาม ข้าจะต้องช่วยพวกซือเหนียงกลับมาให้ได้ ข้าไม่รู้เลยว่าจะมีชีวิตรอดกลับมาหาคุณชายหลินอีกหรือไม่”

“…บัดนี้ ข้าต้องทำการช่วยเหลือพวกพ้องและแก้แค้นพวกมันด้วยตัวคนเดียว ดังนั้น ข้าจึงอยากให้คุณชายหลินรบกวนช่วยไปดูศพของหลิงเอ๋อร์ เพื่อเป็นการยืนยันว่าคนที่ลอบสังหารท่านในวันนั้น ไม่ใช่หนูน้อยหลิงเอ๋อร์ของพวกเราจริงๆ เพราะสำนักล่าอสูรกุหลาบไฟ ไม่เคยทรยศต่อผู้เป็นสหายเด็ดขาด”

สำหรับมือกระบี่ ความจริงใจมีค่ามากกว่าชีวิต

หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออกอยู่นาน สุดท้ายก็ต้องกล่าวว่า “พี่อู๋หงรู้แล้วหรือขอรับว่าหลิงเอ๋อร์ตัวปลอมมันเป็นใคร?”

อู๋หงส่ายหน้าตอบว่า “จนถึงตอนนี้ข้าก็ยังไม่ทราบ”

หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมาอีกครั้ง “แค่นี้ก็เป็นข้อพิสูจน์แล้วล่ะขอรับ ส่วนเรื่องนอกเหนือจากนี้ เดี๋ยวข้าจะสืบสวนด้วยตัวเอง สำหรับเรื่องของศพหลิงเอ๋อร์ ปล่อยให้นางนอนหลับสบายอย่างเดิมดีแล้วขอรับ เราอย่าไปรบกวนนางเลย ข้าเชื่อในคำพูดของท่าน“

อู๋หงยืนจ้องมองหลินเป่ยเฉินที่อยู่ภายใต้แสงอาทิตย์อัสดง

เด็กหนุ่มยืนโดดเด่น ร่างสูงยามที่ถูกแสงแดดยามเย็นอาบไล้ ดูสง่างามและหล่อเหลาอย่างหาตัวจับยาก

“ขอบคุณคุณชายมากมายแล้ว”

หลังจากนั้น อู๋หงก็หมุนตัวเดินจากไป

หลินเป่ยเฉินตะโกนไล่หลังนางไปว่า “พี่อู๋หง ท่าน…รักษาตัวด้วยนะขอรับ”

อู๋หงยังคงเดินต่อไปข้างหน้า ไม่เหลียวหน้ามองกลับมาหรือตอบรับใดๆ สักคำ