บทที่ 190 พวกเจ้าเก่งเรื่องอะไรกันบ้าง
หลินเป่ยเฉินรู้สึกเศร้าใจอยู่ไม่น้อยในขณะที่เฝ้ามองอู๋หงเดินจากไป
นางไม่ใช่คนที่มีวิทยายุทธ์เลิศล้ำ
คิดอยากจะไปช่วยเหลือพวกของเฟิงซือเหนียง อู๋หงอาศัยแต่กำลังใจและความรักที่มีให้ต่อพรรคพวกล้วนๆ
บุคคลที่ซื้อพวกนางไปก็คงหนีไม่พ้น ‘ท่านพี่ว่านเหนียน’ อะไรนั่นแน่นอน
ชายชราคนนั้นเป็นบุคคลที่กลุ่มนักล่าอสูรให้ความเคารพเป็นอย่างยิ่ง
ไม่รู้เลยว่าเบื้องหลังเขาจะมีอำนาจขนาดไหน
หลินเป่ยเฉินเคยดูภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับการค้ามนุษย์มาหลายเรื่องสมัยที่ยังอยู่โลกเดิม
สำหรับธุรกิจมืดเช่นนี้ จำเป็นต้องมีเส้นสายใหญ่โตคอยหนุนหลัง
แล้วอู๋หงตัวคนเดียวจะต่อสู้กับเครือข่ายองค์กรอาชญากรรมขนาดใหญ่ได้อย่างไร?
หลินเป่ยเฉินเป็นคนที่มองโลกตามความเป็นจริง
หนึ่งในภาพยนตร์ที่เขาเคยดู พระเอกสามารถตามไปช่วยเหลือลูกสาวจากแก๊งอาชญากรได้อย่างน่าตื่นเต้น แต่พระเอกสามารถทำได้สำเร็จเพราะเคยเป็นสายลับฝีมือดีมาก่อน เขามีความสามารถในด้านการต่อสู้และมีความชำนาญในทักษะหลายด้านที่คนทั่วไปไม่มี
ถ้าให้พระเอกคนนั้นมาอยู่ในโลกจอมยุทธ์แห่งนี้ เรียกได้ว่าเขาก็คงเป็นผู้ที่มีพลังอยู่ในขั้นปรมาจารย์แล้ว
ในทางกลับกัน อู๋หงไม่ได้มีความเลิศล้ำสักด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการวางแผนหรือการอดทนรอ
ครั้งนี้ เด็กหนุ่มเกรงว่านางจะเผชิญโชคร้ายมากกว่าโชคดี
อู๋หงรู้ตัวหรือไม่?
เขาคิดว่านางคงรู้ดี
แต่นางไม่มีทางเลือก
นี่คือสิ่งที่นางต้องทำ
บางครั้งคนเราก็รู้ดีว่าแม้มันจะเป็นเรื่องที่อันตราย แต่ก็จำเป็นต้องทำ
เพราะนางอยากจะกลับไปพบหน้าพรรคพวกของตนเองอีกครั้ง
นางอยากจะลบล้างความรู้สึกผิดบาปที่อยู่ในใจ
หลินเป่ยเฉินยืนอยู่หน้าประตูสถานศึกษาด้วยความรู้สึกสับสน
เขาเดินกลับเข้าไปในสถานศึกษาอีกครั้ง แต่ไม่ได้ตรงไปที่ห้องเรียน
เด็กหนุ่มเดินกลับมาที่ตำหนักไม้ไผ่
“นายน้อยซื้อมาให้ข้าน้อยหรือขอรับ?” เมื่อพ่อบ้านหวังจงเห็นกระบี่วิหคครามที่หลินเป่ยเฉินถือติดตัวมาด้วย ดวงตาของเขาก็มีน้ำตาคลอเต็มเบ้า “นายน้อยช่างเป็นคนใจดีมีเมตตากระไรเช่นนี้ พ่อบ้านหวังขอสัญญาว่าจะซื่อสัตย์กับนายน้อยตลอดไป เมื่อลูกชายของข้าน้อยเติบใหญ่ ถ้าเขาไม่เคารพนายน้อย ข้าน้อยจะหักขาของเขาเอง!”
“ตาเฒ่า เลิกเสแสร้งได้แล้ว” หลินเป่ยเฉินยกเท้าถีบพ่อบ้านชราไปหนึ่งที “เจ้ากำลังเพ้อเจ้ออะไรอยู่ เจ้าไม่มีลูกชายสักหน่อย ต่อให้มี เจ้าก็ไม่มีทางสาบานเช่นนี้แน่…คนอย่างเจ้าน่ะ เพียงอ้าปากออกมา ข้าก็มองเห็นถึงลิ้นไก่แล้ว”
พ่อบ้านหวังพลันยิ้มแย้มในทันใดและกล่าวว่า “นายน้อยก็คือนายน้อยอยู่วันยังค่ำ ฉลาดเฉลียวและแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง มิหนำซ้ำ ดวงตายังเฉียบแหลม อ่านความคิดของข้าน้อยได้ทะลุปรุโปร่ง…ว่าแต่ว่าคืนนี้นายน้อยจะรับประทานอะไรดีขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
พอหางโผล่เข้าหน่อย ก็รีบประจบเขาด้วยของกินเชียวนะ
เด็กหนุ่มเดินเข้าไปถึงห้องรับแขกภายในตัวบ้านพัก แล้วถามว่า “เรื่องที่สั่งให้ไปทำเป็นอย่างไรบ้าง?”
พ่อบ้านหวังจงรีบตอบโดยเร็ว “ข้าได้ติดต่อจ้างวานกลุ่มนักล่าอสูรจำนวนมากในหุบเขาชายแดนเหนือเรียบร้อยแล้วขอรับ ถ้าพวกเขาได้เบาะแสของราชันย์หนูอสูรตัวนั้นเมื่อไหร่ ก็จะรีบส่งข่าวมาหาพวกเราทันที”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้า
เขานึกเป็นห่วงเจ้าหนูอากวงอยู่ไม่น้อย
หวังว่ามันคงยังไม่ตายหรอกนะ
มันจะได้มาเป็นเพื่อนคลายเหงาของเขาสักหน่อย
แล้วเด็กหนุ่มก็นั่งลงที่เก้าอี้ประจำตัว
ระหว่างนั้น หลินเป่ยเฉินก็ดาวน์โหลดไหบรรจุสุราออกมาจากแอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์ เมื่อเปิดผนึกดินที่ปิดฝาไหออกแล้ว เขาก็ยกไหขึ้นดื่มเพื่อลบเลือนความเศร้าที่ได้พบเจอกับอู๋หง เมื่อซดของเหลวสีอำพันได้อึกใหญ่ เด็กหนุ่มก็รู้สึกดีขึ้นมากมายก่ายกอง
“เราไม่ควรรู้สึกสงสารใครให้มากเกินไปนัก อย่าลืมสิว่านี่ไม่ใช่โลกของเราสักหน่อย” หลินเป่ยเฉินกำชับกับตัวเองอยู่ในใจ “เราเป็นเพียงนักท่องกาลเวลาที่ทะลุมิติมาโดยไม่ได้ตั้งใจ เรายังต้องหาทางกลับโลกมนุษย์ให้ได้ ขืนยังคงรู้สึกสงสารทุกคนที่พบเจออยู่อย่างนี้ อีกหน่อยคงได้บ้าตายแหงๆ”
เด็กหนุ่มเตือนตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า
“แต่ยังไงซะ เราก็ต้องล้างแค้นไอ้คนที่มันปลอมตัวเป็นหลิงเอ๋อร์ให้ได้”
หลินเป่ยเฉินคิดด้วยความขมขื่น
เขาไม่มีทางปล่อยให้มือสังหารผู้นั้นลอยนวลตลอดไปเด็ดขาด
ความจริงแล้ว การปรากฏตัวของอู๋หงทำให้หลินเป่ยเฉินได้คิดถึงเรื่องราวบางอย่างที่เขาพยายามไม่นึกถึงมาตลอด
อย่างเช่น คืนที่เกิดการโจมตีในหุบเขาชายแดนเหนือ คนที่ทำร้ายฉู่เหินสามารถหลบหนีไปได้
แสดงว่ามันต้องมีฝีมือสูงส่งอยู่ไม่น้อย
สถานะของมันต้องเป็นหนึ่งในนายใหญ่ขององค์กรมืดอย่างแน่นอน
หลินเป่ยเฉินทราบดีว่าไม่ใช่ผู้อาวุโสระดับสูงทุกคนของสมาคมนักล่าอสูรที่จะถูกเขาจัดการในคืนนั้น
แล้วเขาก็ยังไม่รู้ด้วยว่ากลุ่มคนที่เล่นงานอาจารย์พานเว่ยหมินเป็นใครกันแน่
ต่อให้สมาคมนักล่าอสูรถูกกวาดล้างไปแล้ว แต่ศัตรูที่แท้จริงก็ยังคงซ่อนตัวอยู่ในความมืด
และพวกมันรอคอยโอกาสที่จะได้กลับมาออกอาละวาดอีกครั้ง
เฉาพั่วเถียนกับไป๋ไห่ชินจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยหรือเปล่านะ?
ตอนที่อยู่ในวิหารเทพกระบี่ หลินเป่ยเฉินไม่ได้ถามฉู่เหิน
ฉู่เหินก็ไม่ได้พูดอะไรเหมือนกัน
พวกเขาต่างก็อยากให้อีกฝ่ายรู้แต่สิ่งที่ควรรู้เท่านั้น
ทว่า หลินเป่ยเฉินรู้ดีว่าอาจารย์ฉู่ไม่มีทางอยู่นิ่งเฉยโดยไม่แก้แค้นแน่นอน
อาจารย์ฉู่กำลังหาช่องทางสำหรับการคิดบัญชีแค้น
มิเช่นนั้น อาการบาดเจ็บยังไม่หายดี อาจารย์ฉู่คงไม่ลุกขึ้นมาฝึกใช้ขาให้คล่องแคล่วแล้วหรอก
ฉู่เหินฝึกใช้ขา ไม่ใช่เพื่อสำหรับการเดินเหิน
แต่เป็นเพราะเขาไม่ล้มเลิกความคิดที่จะแก้แค้น
เฉกเช่นหมาป่าเดียวดาย ต่อให้สูญเสียกรงเล็บ แต่อย่างน้อยก็ยังเหลือคมเขี้ยวเป็นอาวุธ
เหตุผลที่ฉู่เหินไม่บอกข้อมูลทุกอย่างให้หลินเป่ยเฉินรับทราบ เป็นเพราะเขาไม่อยากให้เด็กหนุ่มเข้ามาเกี่ยวข้องกับการล้างแค้นนองเลือด
หลินเป่ยเฉินนึกถึงภาพที่อู๋หงเดินจากไปไกลลับตา ในขณะที่ตัวเขายืนส่งอยู่ที่หน้าประตูสถานศึกษา
หลินเป่ยเฉินเริ่มต้นดื่มสุราจอกแล้วจอกเล่า
หญิงรับใช้ทั้งสองนางยืนอยู่ด้านหลังหลินเป่ยเฉิน คอยนวดหลังนวดไหล่ให้เขาด้วยมือที่เรียวยาวราวกับดอกกล้วยไม้
“พวกเจ้าเก่งเรื่องอะไรกันบ้าง?”
หลินเป่ยเฉินถามออกมาโดยไม่รู้ตัว
หญิงรับใช้นางแรกตอบว่า “กราบเรียนนายท่าน ข้าน้อยมีความสามารถเรื่องการเป่าขลุ่ย”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าด้วยความพอใจ
หญิงรับใช้นางที่สองกล่าวต่อ “กราบเรียนนายท่าน ข้าน้อยมีความสามารถเรื่องการเล่นผีผา”
หลินเป่ยเฉินยังคงพยักหน้าต่อเนื่อง
เยี่ยมเลย
ถือเป็นความสามารถที่ดีเยี่ยม
ไว้มีโอกาส เขาจะต้องให้หญิงสาวทั้งสองนางนี้ได้แสดงความสามารถแน่นอน
มิเช่นนั้น มันคงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมากหากมีความสามารถสูงส่ง แต่ไม่ได้รับโอกาสให้แสดงฝีมือ
นับว่าวันนี้ก็ยังไม่เลวร้ายเกินไปนัก
ฮิฮิฮิ
หลินเป่ยเฉินหัวเราะออกมาอย่างไม่มีเหตุผลด้วยความเมามาย
เดิมที เขาตั้งใจจะมอมเหล้าตัวเองอยู่แล้ว เพราะอยากจะฝึกฝนการดื่มสุราไม่ให้มึนเมาตามวิถีคัมภีร์สุดยอด 36 วิธีวางแผนร้ายครองพิภพ แต่สุดท้าย เด็กหนุ่มก็ฟุบหลับคาโต๊ะอาหารไปโดยไม่รู้ตัว
เขาเมามายเกินไปแล้วจริงๆ
…
วันต่อมา
พระอาทิตย์สดใส
เมื่อหลินเป่ยเฉินสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากความฝัน แสงตะวันก็แยงตานานแล้ว
เด็กหนุ่มรีบไปเข้าเรียน แต่กลับพบ ‘บุคคลที่ไม่คาดฝัน’ ยืนอยู่ตรงตำแหน่งอาจารย์ผู้ทำการสอนวิชากระบี่ประจำห้อง
ผมสีเขียว คิ้วสีเขียว หลังโก่ง ร่างกายไม่สูงไม่เตี้ย ไม่อ้วนไม่ผอม
“เฒ่าทะเล?”
หลินเป่ยเฉินอุทานออกมาแผ่วเบา
นี่คือเฒ่าทะเลคนที่ควบคุมการทดสอบเพลงกระบี่สายน้ำไหลในคืนประลองกระบี่ไม่ใช่หรือ?
แล้วชายชรามาเป็นอาจารย์ห้อง 9 ชั้นปีที่ 2 ได้อย่างไร?
“หึหึ หลินเป่ยเฉิน เจ้าคืออัจฉริยะอันดับ 1 ประจำชั้นปีที่ 2 เพียงข้ามาสอนวันแรก เจ้าก็มาเข้าเรียนสายแล้วหรือ ไม่คิดจะไว้หน้าหัวหน้าคณะอาจารย์ประจำชั้นปีคนใหม่บ้างเลยหรือไง”
เฒ่าทะเลยิ้มแย้มอย่างใจดี ไม่ได้มีท่าทีเหยียดหยามหรือประชดประชัน “รีบไปนั่งที่ได้แล้ว”
หลินเป่ยเฉินเดินมานั่งที่โต๊ะของตนเองด้วยความมึนงง
นี่มันอะไรกันครับเนี่ย?
เฒ่าทะเลกลายเป็นหัวหน้าคณะอาจารย์คนใหม่อย่างนั้นหรือ?
นั่นหมายความว่าเขามาแทนที่อาจารย์ฉู่ใช่หรือไม่?
เด็กหนุ่มพอเดาได้อยู่แล้วว่าฉู่เหินคงทำเรื่องลาหยุดยาวเป็นการชั่วคราว
แต่เขาไม่คิดเลยว่าคนที่มาทำหน้าที่แทนอาจารย์ฉู่ จะกลับกลายเป็นผู้อาวุโสจากเผ่าพันธุ์ชาวทะเลไปเสียได้
ชาวทะเลนับเป็นบุคคลต่างถิ่น ไม่เคยมีครั้งใดที่จะมายุ่งเกี่ยวกับกิจการการศึกษาภายในเมืองหยุนเมิ่งมาก่อน
นับเป็นความคืบหน้าก้าวสำคัญของสถานศึกษากระบี่ที่สาม
แล้วจะไม่ให้หลินเป่ยเฉินแปลกใจได้อย่างไร?