บทที่ 191 เงินรางวัลที่ลอยหลุดมือ
“เอาละ ในเมื่อหลินเป่ยเฉินมาถึงแล้ว อาจารย์ก็จะไม่พูดเรื่อยเปื่อยอีกต่อไป เรามาเริ่มต้นบทเรียนประจำวันนี้กันเลยดีกว่า” เฒ่าทะเลพูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
บรรดาลูกศิษย์ทั้งห้องพูดอะไรไม่ออก
สิ่งที่พวกเขาอุตส่าห์ตั้งใจฟังเป็นเด็กดีตลอดระยะเวลาสองเค่อที่ผ่านมา ไม่ใช่บทเรียนประจำวันนี้หรอกหรือ
เพราะว่าหลินเป่ยเฉินยังมาไม่ถึง ชายชราจึงยังไม่ยอมเริ่มต้นการสอนอย่างเป็นทางการเสียที
แต่ลูกศิษย์เหล่านี้ยังคงเยาว์วัย
ไม่ทราบถึงความสลับซับซ้อนของโลกผู้ใหญ่
เมื่อพวกเขาเติบโตขึ้น ก็จะเข้าใจว่าทุกอย่างมันมีอะไรมากกว่าที่เห็น
เฒ่าทะเลมองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยความเอ็นดูและกล่าวว่า “หลินเป่ยเฉิน บอกอาจารย์มาหน่อยสิว่า บัดนี้เจ้าเรียนอะไรมาบ้างแล้ว? วิชากระบี่ใช้ได้ถึงไหน? ร่างกายมีความแข็งแกร่งอย่างไร? พลังลมปราณอยู่ในระดับเท่าไหร่ และเจ้าชำนาญการต่อสู้ในรูปแบบใดมากที่สุด?”
ดวงตาของชายชราจ้องมองอยู่ที่หลินเป่ยเฉินแต่เพียงผู้เดียว
เหมือนกับว่าไม่มีลูกศิษย์คนอื่นอยู่ในสายตา
เหล่าเด็กหนุ่มและเด็กสาวเปลี่ยนสภาพกลายเป็นกระถางต้นไม้ในสายตาของเฒ่าทะเลไปเสียแล้ว
หลินเป่ยเฉินยกมือจับคางอย่างใช้ความคิด ก่อนตอบว่า “ขอตอบโดยรวมเลยก็แล้วกันขอรับ ข้าชำนาญในการต่อสู้ทุกรูปแบบ เพราะทุกอย่างที่อาจารย์กล่าวออกมา ข้าได้ทำการศึกษามาหมดแล้ว”
เด็กหนุ่มไม่ได้ถ่อมตัวเลยแม้แต่น้อย
ในเวลาเดียวกันนี้ เขาก็เริ่มต้นสั่งงานให้โทรศัพท์มือถืออัดคลิปวีดีโอบันทึกการสอน
“ดีมาก” เฒ่าทะเลยกนิ้วโป้งทำท่าถูกใจใช่เลย หลังจากนั้น จึงกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเป็นงานเป็นการ
“ถ้าเจ้าต้องการเรียนรู้อะไรเพิ่มเติม อาจารย์จะสอนเจ้าเอง ส่วนวันนี้ อาจารย์จะสอนวิชาการโคจรพลังลมปราณที่เรียกว่า ‘มัจฉากลายร่างเป็นมังกร’ นี่คือวิชาการโคจรพลังลมปราณระดับสามดาว มันมีความเหมาะสมกับเจ้าอย่างที่สุด ด้วยพื้นฐานพลังลมปราณในปัจจุบัน เมื่อเจ้าเข้าสู่ขั้นปรมาจารย์ได้แล้ว วิชาการโคจรพลังลมปราณรูปแบบเก่า ก็ไม่เพียงพอต่อระดับพลังของเจ้าอีกต่อไป”
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง
จริงด้วยสินะ
สำหรับในโลกจอมยุทธ์แห่งนี้ พลังลมปราณคือรากฐานของทุกอย่าง
เมื่อมีพลังลมปราณแข็งแกร่ง พลังการต่อสู้ก็จะแข็งแกร่งขึ้น
โดยเฉพาะสำหรับเขา เวลาดาวน์โหลดแอปลงโทรศัพท์มือถือ หรือต้องอัพเดทระบบในแต่ละครั้ง ก็ต้องใช้พลังลมปราณเป็นจำนวนมหาศาล
นั่นเป็นเพียงตัวอย่างบางส่วนเท่านั้น
อย่างตอนที่เขาบุกตะลุยสมาคมนักล่าอสูรที่หุบเขาชายแดนเหนือ หลินเป่ยเฉินอยากจะดาวน์โหลดแอปโลหิตกระชากวิญญาณ แต่ก็พบว่าพลังลมปราณของตนเองเหลือไม่พอ ทำให้จนถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่สามารถดาวน์โหลดมันมาใช้งานได้ด้วยซ้ำ
“วิชามัจฉากลายร่างเป็นมังกรคือวิชาประจำเผ่าพันธุ์ชาวทะเล แต่มนุษย์ที่อยู่บนแผ่นดินใหญ่ก็สามารถฝึกฝนได้เช่นกัน โดยเฉพาะผู้ฝึกยุทธ์ที่มีระดับพลังอยู่ในขั้นปรมาจารย์เป็นต้นมา วิชานี้จะมีขั้นตอนแรกที่เรียกว่ามัจฉาทองคำแหวกเกลียวคลื่น เปรียบเสมือนพลังลมปราณเป็นเกลียวคลื่น และตัวคนเป็นมัจฉาน้อยในสายน้ำ สิ่งสำคัญก็คือ…”
เฒ่าทะเลเริ่มต้นการสอนอย่างเป็นทางการ
ลูกศิษย์ส่วนใหญ่รับฟังด้วยความเบื่อหน่าย
สำหรับกับพวกเขาแล้ว การเรียนวิชานี้น่าเบื่อเป็นอย่างยิ่ง
ไม่ต่างจากเด็กอนุบาลสองกำลังฟังสมการถอดรหัสคณิตศาสตร์ของชั้นมัธยมศึกษาก็ไม่ปาน
มีแต่เพียงลูกศิษย์ชั้นหัวกะทิไม่กี่คนเท่านั้น อย่างเช่นหลินเยว่หยินกับหยินอี้ ที่พอจะเข้าใจได้บ้างว่าเฒ่าทะเลกำลังกล่าวถึงอะไรอยู่
ต่อให้ในขณะนี้พวกเขายังมีพลังไม่ถึงขั้นปรมาจารย์ก็ตาม แต่นี่คือวิชาการโคจรพลังลมปราณระดับ 3 ดาว ขอแค่จำได้ ก็จะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในอนาคตได้แน่นอน เพราะฉะนั้น หลินเยว่หยินกับหยินอี้จึงตั้งใจเรียนเป็นพิเศษ ในขณะที่หลินเป่ยเฉินตาปรือกำลังจะหลับแล้ว
แต่เขาก็ไม่กล้าหลับ
เพราะชายชราจ้องมองมาที่เขาอยู่ตลอดเวลา
ดวงตาของเฒ่าทะเลไม่เคยละไปจากเขาเลยสักแวบเดียว
หลังจากทนนั่งเหน็บกินอยู่นานครึ่งค่อนวัน ในที่สุด หลินเป่ยเฉินก็ได้ยินเสียงกระดิ่งเลิกเรียน
“เอาละ วันนี้พอแค่นี้ก่อน”
เฒ่าทะเลพูดพร้อมกับยิ้มกว้าง “วิชามัจฉากลายร่างเป็นมังกร มีขั้นตอนเริ่มแรกคือมัจฉาทองคำแหวกเกลียวคลื่น เป็นขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับการใช้จิตใจควบคุมทุกอย่าง หลินเป่ยเฉิน อาจารย์ขอให้เจ้าฝึกฝนให้หนัก อาจารย์จะจับตาดูเจ้าอยู่ตลอดเวลา เมื่อเจ้าสามารถผ่านระดับแรกได้แล้ว อาจารย์ก็จะสอนการโคจรพลังลมปราณระดับต่อไป ซึ่งเป็นการโคจรพลังในขั้นที่สอง มีชื่อเรียกว่าการโคจรพลังลมปราณในขั้นคลื่นน้ำสะท้านเมฆา”
พูดจบ ลูกศิษย์คนอื่นๆ ก็ทยอยลุกขึ้นเดินออกจากห้องเรียน
หลินเป่ยเฉินได้แต่ยกมือเกาหัวแกรก
เห็นๆ กันอยู่ว่าเขามันเป็นเด็กที่ไม่ได้ตั้งใจเรียนที่สุดในห้องไม่ใช่หรือ
แล้วทำไมเฒ่าทะเลถึงอยากจะเคี่ยวเข็นเขานัก?
เมื่อทุกคนเดินออกไปจากห้องเรียนเกือบหมดแล้ว หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกง่วงนอนขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว เด็กหนุ่มไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมพอได้ยินเสียงกระดิ่งเลิกเรียน ความง่วงก็โจมตีเขาหนักหน่วงขนาดนี้?
น่าจะถึงเวลาตรวจสอบแล้วกระมัง ว่าวิชาการโคจรพลังลมปราณมัจฉากลายร่างเป็นมังกร มันมีประสิทธิภาพมากแค่ไหน
หลินเป่ยเฉินเปิดหน้าจอโทรศัพท์ กดเข้าไปในแอปสโตร์ แล้วเขาก็เห็นแอปพลิเคชั่นที่ชื่อว่า ‘มัจฉากลายร่างเป็นมังกร’ สะดุดตาอยู่บนหน้าจอ
ต้องใช้อัตราการโอนถ่ายข้อมูลเป็นจำนวนมากถึง 10 GB ในการดาวน์โหลด
หลังจากกดติดตั้งเรียบร้อย แอป ‘มัจฉากลายร่างเป็นมังกร’ ก็เริ่มต้นการทำงาน แล้วตัวการ์ตูนที่เป็นรูปจำลองของหลินเป่ยเฉินก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอโทรศัพท์
พลังลมปราณในร่างกายของเขาไหลเวียนเหมือนกระแสน้ำ
ในกระแสน้ำเหล่านั้นจะมีจุดสีทองคำเล็กๆ ไหลเวียนไปทั่วร่างกาย
ถ้าลองมองดูให้ดี ก็จะพบว่าจุดสีทองคำเหล่านั้นมีลักษณะเหมือนลูกปลาตัวน้อย ซึ่งถูกขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยกระแสลมปราณ
มันเป็นการเคลื่อนที่อย่างว่องไวและปราดเปรียว แต่เป็นระบบระเบียบ
“อัตราการไหลเวียนของพลังลมปราณจะเพิ่มมากขึ้นเป็น 2 เท่า ช่องทางการโคจรพลังลมปราณจะถูกเปิดขึ้นอีก 6 จุด …ด้วยวิธีการโคจรพลังลมปราณในรูปแบบนี้ มันจึงมีประสิทธิภาพกว่าการโคจรพลังลมปราณขั้นพื้นฐานที่พวกเจ้าเคยร่ำเรียนมา”
เฒ่าทะเลได้กล่าวเอาไว้ระหว่างการสอนว่า ยิ่งร่างกายสามารถเปิดช่องทางการไหลเวียนลมปราณได้มากเท่าไหร่ พลังลมปราณของพวกเขาก็จะยิ่งสูงมากขึ้นเท่านั้น
การโคจรพลังลมปราณขั้นพื้นฐานทำให้ในร่างกายมีช่องทางการไหลเวียนทั้งหมด 12 จุด
แต่การโคจรพลังในขั้นมัจฉาทองคำแหวกเกลียวคลื่น จะทำให้ร่างกายมีช่องทางการไหลเวียนพลังลมปราณถึง 18 จุด
หลินเป่ยเฉินนั่งนิ่งเงียบ ก่อนที่จะปิดการทำงานแอปการโคจรพลังลมปราณขั้นพื้นฐาน และถอนการติดตั้งมันออกไปจากโทรศัพท์มือถือของเขา
เช่นเดียวกับแอปที่เกี่ยวข้องกับพลังลมปราณของเก่าซึ่งถือว่าตกรุ่นไปแล้ว
พวกมันไม่มีประโยชน์สำหรับเขาอีกต่อไป
ถ้าเขาโคจรพลังลมปราณด้วยวิธีการของเฒ่าทะเล อีกไม่นานก็คงขึ้นสู่ระดับสูงสุดของผู้มีพลังในขั้นปรมาจารย์ระดับ 1 และอีกไม่นาน เขาก็จะสามารถเลื่อนระดับเข้าสู่ขอบเขตปรมาจารย์ระดับที่ 2 ได้แน่นอน
เมื่อถึงตอนนั้น เขาก็จะสามารถดาวน์โหลดแอปโลหิตกระชากวิญญาณมาใช้งานได้แล้ว
หลินเป่ยเฉินรู้สึกพอใจเป็นอย่างยิ่ง
แต่ในจังหวะนั้นเอง เขาก็ได้ยินเสียงใครบางคนตะโกนเรียก
“หลินเป่ยเฉิน หลินเป่ยเฉิน ออกมาเดี๋ยวนี้ ได้เวลาแล้วนะ”
เป็นเสียงที่คุ้นหูอย่างยิ่ง
ปรากฏว่าไป๋ชินหยุนกำลังวิ่งโดยไม่สนใจรอบข้าง ปล่อยให้หน้าอกหน้าใจกระเพื่อมบึ่บบั่บตรงมาหาเขา
บรรดาลูกศิษย์สาวที่อยู่ห้อง 9 ต่างก็จ้องมองเด็กสาวด้วยสายตาอิจฉาริษยา พวกนางคิดว่าศิษย์น้องปี 1 นางนี้ช่างไร้ยางอายเหลือเกิน ถึงกับมายั่วยวนหลินเป่ยเฉินได้ทุกเมื่อเชื่อวัน ดังนั้น กลุ่มลูกศิษย์สาวเพื่อนร่วมห้องจึงตัดสินใจว่าพวกนางจะต้องปกป้องหลินเป่ยเฉินเอาไว้ให้ได้…เพราะเขามีค่าเป็นสมบัติสาธารณะ ห้ามใครจับจองเป็นเจ้าของเด็ดขาด
“ที่แท้ก็เป็นศิษย์น้องไป๋นี่เอง”
หลินเป่ยเฉินลุกขึ้นเดินตรงไปที่ประตูห้องเรียน ส่งเสียงหัวเราะอย่างวางท่า ยกมือกอดอก และพูดด้วยความไม่พอใจ “ศิษย์น้องไป๋ เจ้าไม่ใช่มารดาข้าสักหน่อย เจ้าเป็นรุ่นน้องของข้า เจ้าสมควรเรียกข้าว่า…ศิษย์พี่”
ไป๋ชินหยุนทำท่าจะโต้แย้ง แต่ก็เปลี่ยนใจกระทันหัน “ก็ได้ ศิษย์พี่ก็ศิษย์พี่ ได้เวลาตามข้าไปฝึกกระบี่แล้ว”
หลินเป่ยเฉินหัวเราะอิอิ “นับจากวันนี้ไป ข้าจะไม่เป็นคู่ซ้อมกระบี่ให้เจ้าอีกแล้ว ตอนนี้ข้าร่ำรวย เหรียญทองของเจ้าไม่มีความหมายสำหรับข้าอีกต่อไป”
ตามกฎหมายที่ระบุไว้ในจักรวรรดิเป่ยไห่ สิ่งของมีค่าในห้องเก็บสมบัติที่บรรดานายทหารยึดได้จากรังโจรของหุบเขาชายแดนเหนือ จะต้องตกเป็นของหลินเป่ยเฉิน ซึ่งมีสถานะเป็นผู้กวาดล้างกลุ่มกองโจรแต่เพียงผู้เดียว
สมบัติมากมายกำลังจะเป็นของเขา
เขากำลังจะกลับมาร่ำรวยอีกครั้ง
แล้วทำไมจะต้องตามยัยเด็กคนนี้ไปซ้อมกระบี่ให้เหนื่อยแรงด้วย?
ไม่มีทางเด็ดขาด
ไป๋ชินหยุนกัดฟันกรอดด้วยความเดือดดาล
น่าเจ็บใจเหลือเกิน
แต่ในจังหวะนั้น ลูกศิษย์ร่วมห้องคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านข้างก็พูดว่า “พี่หลิน มีคนมาหาท่าน”
เมื่อหันไปมองก็เห็นว่ามีลูกศิษย์ร่วมสถาบันคนหนึ่งกำลังเดินนำเฉินเจี้ยนหนาน ซึ่งเป็นนายทหารระดับสูงของกองทัพนักรบเมฆา ตรงเข้ามาหาเขา
หลินเป่ยเฉินดวงตาลุกวาว
สงสัยเฉินเจี้ยนหนานจะมาแจ้งข่าวเรื่องทรัพย์สมบัติที่ได้มาจากรังโจร
คนจะรวยช่วยไม่ได้จริงๆ แฮะ
“คุณชายหลิน ขอเชิญมาพูดคุยกันสักครู่”
เฉินเจี้ยนหนานมีสีหน้าตึงเครียด เมื่อเห็นว่าหน้าประตูห้องเก้ามีเด็กหนุ่มและเด็กสาวรวมตัวกันอยู่มากมาย เขาจึงมีความคิดที่จะไปพูดคุยกันในบริเวณที่มีความเป็นส่วนตัวมากกว่านี้
“ข้าขอไปด้วยคนนะเจ้าคะ”
ไป๋ชินหยุนกระโดดเข้ามายืนขวางหน้าทันที
ในเมื่อนางก็เป็นหนึ่งในคนที่ร่วมผจญภัยในหุบเขาชายแดนเหนือ เฉินเจี้ยนหนานจึงไม่สามารถปฏิเสธได้
เมื่อเดินมาถึงพื้นที่ซึ่งเงียบสงบแล้ว เฉินเจี้ยนหนานก็ส่งเอกสารจากจวนผู้ว่า ซึ่งมีตราประทับของกระทรวงศึกษาและกองทัพนักรบเมฆาเด่นหราอยู่บนหัวกระดาษ
“ข้ามีข่าวร้ายจะมาแจ้งให้เจ้าทราบ เราเจอห้องเก็บสมบัติ 2 ห้องในหุบเขาชายแดนเหนือ แต่ภายในห้องนั้นว่างเปล่า ไม่มีสมบัติเหลืออยู่เลยสักชิ้นเดียว ภายหลังพวกเราสามารถจับกุมตัวผู้รอดชีวิตของสมาคมนักล่าอสูรเอามาสอบปากคำ หลังจากทรมานพวกมันอยู่หลายวัน พวกเราก็ได้รับทราบข้อมูลมาว่า ในค่ำคืนที่เจ้าบุกโจมตีเมืองบนยอดเขาสุสานอินทรีนั้น ได้มีสมาชิกของสมาคมนักล่าอสูรกลุ่มหนึ่งยักย้ายถ่ายเททรัพย์สมบัติทั้งหมดหลบหนีไปในความมืด จนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่มีใครทราบเบาะแสของพวกมันเลย”
เฉินเจี้ยนหนานอธิบายรวดเดียวจบ
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง
นี่มันหมายความว่าอย่างไร?
เงินรางวัลที่เขาควรได้รับ หลุดมือไปแล้วอย่างนั้นหรือ?