บทที่ 55 เทียนยมโลกที่หายไป

ท่องภพสยบหล้า

หลังจากการต่อสู้หน้าคลังในเริ่มขึ้น ทหารรักษาการณ์ทั่วทั้งคลังอาวุธก็เคลื่อนไหว ต่างไปรวมตัวกันที่คลังในจากทุกทิศทาง กลุ่มคนหลั่งไหลราวน้ำหลาก

เว่ยเหยี่ยนถือดาบพุ่งออกไปด้านนอกดุจทวนกระแสน้ำ

เพื่อไม่ให้เรื่องเล็ดลอดออกไป การเคลื่อนไหวครั้งนี้ทหารรักษาการณ์ทั้งหมดของคลังในจึงไม่รู้เรื่องด้วย ซ้ำยังมีเพียงเว่ยเหยี่ยนคนเดียวดักซุ่มอยู่ที่นี่

เขาคนเดียวก็เพียงพอแล้ว

ยอดฝีมือคนอื่นอันที่จริงกระจายตัวอยู่ทั่วเมือง เว่ยชวี่จี๋ในฐานะที่เป็นเจ้าเมือง แม้จะใช้เทียนยมโลกมาเป็นเหยื่อล่อ แต่ก็จะเอาประชาชนทั้งเมืองเฟิงหลินมาเสี่ยงอันตรายไม่ได้

ยังดีที่งานสามเมืองเสวนาเต๋าดึงดูดประชากรมากมายไปร่วมชม และที่สนามประลองยุทธ์ก็ปลอดภัยที่สุด เรื่องนี้ลดแรงกดดันในการเตรียมป้องกันลงไปได้มาก

ทหารประจำเมืองที่ประจันหน้ากับเว่ยเหยี่ยนหันกายตามหลังเขามาโดยไม่ชักช้า เว่ยเหยี่ยนเพียงเอ่ยไปตามปาก “คุ้มกันที่นี่ไว้ ห้ามออกไปตามอำเภอใจ”

เทียนยมโลกแม้จะถูกชิงไปแล้ว แต่คลังอาวุธยังคงสำคัญยิ่ง

ทหารกองทัพประจำเมืองสองนายยังเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูใหญ่คลังอาวุธ พวกเขาย่อมได้ยินการเคลื่อนไหวจากคลังในแล้ว แต่ก่อนที่จะได้รับคำสั่งลงมา ประตูใหญ่เป็นตำแหน่งหน้าที่ของพวกเขา

พวกเขาตั้งสติพร้อมป้องกันแล้ว ทว่าตอนที่แสงเลือดสายหนึ่งเลื้อยแนบชิดกำแพงออกมา พวกเขาไม่รู้อะไรเลย

ในเวลานี้ คุณชายเศรษฐีในชุดหรูหราโบกพัดเดินผ่านมา แขนเสื้อกว้างของเขาพลันม้วนขึ้นเหมือนสะบัดลมแหลมคมพุ่งออกไป งูโลหิตตัวนั้นก็สลายไปเช่นนี้

คุณชายเดินตรงไปด้านหน้าจนมาถึงปลายถนนเส้นนี้ ผ่านร้านเสื้อผ้าร้านหนึ่ง จากนั้นเดินเฉียดไหล่กับพ่อค้าหาบเร่คนหนึ่งที่หัวมุม

ขณะเดินอยู่บนถนนเต่างูดำ อากัปกิริยาของเขาผ่อนคลาย ถึงขั้นฮัมเพลงขึ้นมาด้วย

ยอดฝีมือกองทัพประจำเมืองสองคนเดินผ่านข้างกายเขาไป จากนั้นฟันสังหารผู้บำเพ็ญนอกรีตที่เปิดเผยตัวอยู่ทางด้านหลังเขา

คุณชายเศรษฐีคนนี้เหมือนไม่รู้สึกตัวเลย ยิ่งเดินห่างออกไปทุกที

“หยุดก่อน!” ทหารประจำเมืองหนึ่งในนั้นตะโกนขึ้น

คุณชายคนนี้สงบนิ่งเกินไปจนทำให้พวกเขาสงสัย

คุณชายยืนหันหลังให้ยอดฝีมือกองทัพประจำเมืองที่เตรียมป้องกันทั้งสองคน มุมปากค่อยๆ ยกขึ้นกลายเป็นรอยยิ้มชั่วร้าย

ตอนที่เขากำลังจะคุ้มคลั่งบนถนน จู่ๆ เสียงดาบยาวแหวกอากาศก็ดังขึ้นมา

“คมหิมะ!” เขาเบิกตาโต ก้มหน้าลงมองตัวดาบแคบยาวค่อยๆ หายไปจากทรวงอกเพราะถูกดึงออก

ดาบชื่อคมหิมะ เจ้าของคือเว่ยเหยี่ยน

อาจเพราะรู้ว่ามิอาจเลี่ยงความตายได้แล้ว เขาจึงไม่ถามว่าถูกพบตัวได้อย่างไร โดนจับได้อย่างไร

ความตื่นกลัวในดวงตาหายไป ความบ้าคลั่งค่อยๆ มาแทนที่ เขาหัวเราะอย่างได้ใจ “ของ…ไม่ได้อยู่กับข้า!”

เว่ยเหยี่ยนเก็บดาบเดินจากไป

พ่อค้าหาบเร่ในเวลานี้เดินมาถึงถนนใหญ่พฤกษาครามแล้ว ตะกร้าไม้ไผ่สองใบที่ใส่ของจิปาถะของเขามีผ้าป่านผืนหนึ่งคลุมไว้ กำลังโยกไหวไปมาบนไหล่เขา

ด้านในตะกร้าไม้ไผ่ใบหนึ่ง ในกลุ่มของจิปาถะมีสิ่งของแปลกประหลาดปนอยู่ ของชิ้นนี้คือเทียนสีดำเล็กๆ เล่มหนึ่ง

……

ต่งเออกับเว่ยชวี่จี๋บนที่นั่งผู้ชมจับจ้องการต่อสู้ในสนาม แต่ไม่มีใครรู้ว่าความสนใจของพวกเขาไม่ได้อยู่ที่นี่

สำหรับเว่ยชวี่จี๋ สิ่งที่เขาสนใจมากกว่าคือหลุมพรางที่ตนเองวางไว้ในเมืองวันนี้ กับดักล่อลวงธรรมดายิ่งนัก แต่ได้ผลดีเยี่ยมเพราะการดำเนินการอันไร้ที่ติ

สำหรับต่งเออแล้ว ด้านหนึ่งเมื่อเทียบกับผลลัพธ์ของงานสามเมืองเสวนาเต๋า เขาเป็นห่วงความปลอดภัยของทั้งเมืองเฟิงหลินมากกว่า อีกด้านหนึ่ง เขามั่นใจพอสมควรในตัวจางหลินชวน หลังจากที่หลินเจิ้งเหรินแสดงพลังบำเพ็ญระดับหกออกมาก็ยังคงไม่สั่นคลอน

บุคคลยิ่งใหญ่ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของเมืองเฟิงหลินสองคนส่งเสียงไปมาอยู่ข้างหูกันและกันเท่านั้น

เว่ยชวี่จี๋หัวเราะเย็นชา “พอเห็นเทียนยมโลกก็เหมือนสุนัขเห็นกระดูก เจ้าพวกนั้นเป็นมารจากสำนักกระดูกขาวไม่ผิดคาด!”

เทียนยมโลกเป็นถึงสมบัติยมโลก ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นของตกทอดของสำนักกระดูกขาวในอดีต เว่ยชวี่จี๋จงใจเอาเทียนยมโลกออกมาก็เพื่อจะยืนยันสิ่งที่ตนเองคาดเดาไว้

ต่งเออขมวดคิ้ว “ระบบสืบทอดเต๋าของสำนักกระดูกขาวล่มสลายไปสองร้อยปี ครั้งนั้นบรรพชนกวาดล้างอยู่เก้าปี สังหารทิ้งจนเรียบแล้ว ยังหลงเหลือเชื้อร้ายมาจนถึงยามนี้ด้วยหรือ”

“พวกแมลงร้อยขา ถึงวายชีวาก็ไม่ล้ม[1]”

…….

หลินเจิ้งเหรินโค่นป๋อเป้าซงลง ดูเหมือนไม่ได้สิ้นเปลืองกำลังนัก ทว่าศึกถัดมาคือศึกตัดสินระหว่างเขากับจางหลินชวน

จางหลินชวนยังเอามือปิดปากไว้ ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “เก็บกวาดที่นี่ก่อนค่อยประลองได้หรือไม่”

ก่อนหน้านี้เขาโค่นล้มคู่ต่อสู้ในระดับบดขยี้ทำลาย รีบสู้รีบจบเป็นดีที่สุด เวลานี้ต้องสู้กับหลินเจิ้งเหริน แน่นอนว่าไม่สามารถสนใจเรื่องอื่นได้แล้ว

ในสำนักเต๋ามีสถานที่ที่เอาไว้แลกเปลี่ยนวิชาโดยเฉพาะ แต่สำนักเต๋าเมืองเฟิงหลินไม่อาจจุผู้ชมจำนวนมากที่มาชมงานได้ และสนามประลองนอกจวนเจ้าเมืองแห่งนี้ก็ไม่ได้ลงอักขระตราเวทไว้

สถานที่ต่อสู้ของพวกเขาถูกพังเละเทะไปนานแล้ว พื้นกระเบื้องแตกกระจาย โคลนและน้ำผสมปนเป เกิดเป็นหลุมมากมาย บวกกับเลือดสดที่สาดกระเซ็นของคนบางส่วน พูดได้ว่าพังยับเยินไปหมด

จางหลินชวนขมวดคิ้วหนักขึ้น “สภาพแวดล้อมการต่อสู้สกปรกเสียจริง”

ต่งเออไม่ขยับเปลือกตาเลยสักนิด “ถ้าเจ้ายังพูดอะไรไร้สาระอีก ข้าจะโยนเจ้าลงไปแช่ในบ่อเกรอะสามวัน”

จางหลินชวนรีบเก็บผ้าเช็ดหน้า ยิ้มบางๆ ให้กับผู้ตัดสินอย่างมีมารยาทและเป็นทางการกว่าปกติ “เริ่มได้แล้ว”

ผู้ตัดสินออกคำสั่ง หลินเจิ้งเหรินสาวเท้าก้าวใหญ่เข้ามา

ตามด้วยเสียงดังกัมปนาท

เปรี้ยง!

เปรี้ยง! เปรี้ยง!

หลินเจิ้งเหรินร่างกายประดุจเกลียวคลื่น คลื่นทะยานซ้อนสามชั้น

และด้านหลังของเขาก็มีหลุมลึกดำเกรียมสามหลุมปรากฏเรียบร้อย

จางหลินชวนมีปัญหาอยู่มากมาย พูดได้ว่าเขาเป็นพวกรักสะอาด พิถีพิถันเรื่องกลิ่น เกลียดความยุ่งยาก และยึดตัวเองเป็นหลัก

แต่ปฏิเสธความแข็งแกร่งของเขาไม่ได้

ทุกคนรู้กันว่าวิชาอัสนีร้ายกาจ แต่คนที่ควบคุมได้ดั่งใจอย่างแท้จริงจะมีอยู่สักกี่คน

วิชาเต๋าชั่วพริบตาสองวิชาที่หลินเจิ้งเหรินสลักไว้ในจุดผ่านสวรรค์คือคลื่นทะยานซ้อนสามกับกำแพงเถาอสรพิษ เหตุที่เขาไม่เลือกป้องกันเป็นอย่างแรก แต่กลับเลือกที่จะเคลื่อนไหว แน่นอนว่าเพราะต้องการ…เข้าโจมตี!

ต้นอ่อนต้นหนึ่งแหวกพื้นดินขึ้นมา ดอกตูมบานสะพรั่ง ฟันคมดุจตะขอ ก่อนจะพุ่งเข้าไปกัด!

วิชาเต๋าชั้นสองระดับล่าง บุปผากลืนกิน

จางหลิงชวนโฉบผ่านอย่างแผ่วพลิ้ว พลิกมือโยนสายฟ้าลูกหนึ่งเข้าไปในปากดอกไม้ จากนั้นทะยานตัวขึ้นประสานปางมือชี้ขึ้นฟ้าอยู่เหนือบุปผากลืนกินที่ไหม้เกรียม

เมฆดำก่อตัว สายอัสนีวับแวม

ฮูม!

คลื่นมังกรวารีตัวหนึ่งพุ่งคำรามออกไป แต่ไม่ได้โจมตีจางหลิงชวน กลับสะบัดหางตรงเข้าใส่เมฆดำจนระเบิดกระจาย

บนท้องฟ้ามีละอองน้ำกระจายทั่ว สายฟ้าแลบแปลบปลาบ ก่อนสลายไปในพริบตา

ภาพนี้งดงามอย่างยิ่ง ดึงดูดให้เกิดเสียงตกตะลึงของผู้ชม

แต่วิชาเต๋าที่จางหลินชวนตั้งใจตระเตรียมก็สลายหายไปด้วย

หากบอกว่าผู้แข็งแกร่งที่เปิดประตูฟ้าดินแล้วแตกต่างจากผู้บำเพ็ญต่ำกว่าระดับเจ็ดตรงที่เริ่มควบคุมวิชาเต๋าชั้นหนึ่งได้

ทว่าก็ยังมีพวกพรสวรรค์เป็นเลิศบางส่วน ก่อนหน้าที่จะเป็นผู้บำเพ็ญระดับหกก็ควบคุมวิชาเต๋าชั้นหนึ่งได้แล้ว อย่างเช่นหวางฉางเสียงและจางหลินชวน ถ้าเช่นนั้นระยะความต่างก็จะเท่าเทียมกันแล้วหรือ พวกเขากับผู้แข็งแกร่งที่เปิดประตูฟ้าดินได้แตกต่างกันตรงไหน

หลินเจิ้งเหรินให้คำตอบแล้ว

ผู้แข็งแกร่งที่เปิดประตูฟ้าดินจะผสานรวมกับฟ้าและดิน สามารถเข้าใจการไหลเวียนของพลังปราณในฟ้าดินอย่างถ่องแท้ และรู้แจ้งช่องโหว่ของวิชาเต๋าในทันที

เมื่อนำมาใช้งานในการต่อสู้ จึงทำลายวิชาเต๋าแข็งแกร่งที่จางหลินชวนยังกำลังเตรียมอยู่

ไม่ใช่เพียงแค่นี้

แทบจะในพริบตาเดียว หลินเจิ้งเหรินก็มาปรากฏตัวเบื้องหน้าจางหลินชวน

เวลานี้กลุ่มคนเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าใต้เท้าของเขายังเหยียบคลื่นมังกรวารีอยู่ เขาถึงกับเหยียบวิชาเต๋าจู่โจมนี้เข้ามาประชิดตัวได้สำเร็จ!

หลังจากเปิดประตูฟ้าดิน เขาเข้าใจวิชาเต๋าทั้งหมดในแบบใหม่ ร่นเวลาการทำปางมือให้สั้นลง และสามารถพัฒนาการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ได้อย่างรวดเร็ว

จางหลิงชวนยังอยู่กลางอากาศ มือของหลินเจิ้งเหรินก็ทาบลงบนตัวเขาแล้ว

ผลแพ้ชนะคล้ายกำลังจะถูกชี้ขาด

……………………………………….

[1]แมลงร้อยขา ถึงวายชีวาก็ไม่ล้ม เปรียบเปรยถึงกลุ่มคณะหรือผู้ทรงอิทธิพล ถึงแม้จะถดถอยเสื่อมอำนาจ แต่ความยิ่งใหญ่และอิทธิพลยังคงอยู่