บทที่ 56 บทสรุป

ท่องภพสยบหล้า

ตูม!

ตอนที่หลินเจิ้งเหรินประชิดตัวจางหลินชวน และกำลังจะกระตุ้นวิชาเต๋า

จางหลินชวนก็ระเบิด

นี่ไม่ใช่การอธิบายที่เกินจริง แต่เป็นการบรรยายจากสภาพความจริง

อัสนีที่ไม่รู้ว่าสะสมไว้นานเท่าใดระเบิดออกบนตัวเขา

เส้นผมของเขาชี้ตั้ง เนื้อตัวไหม้ดำ และยังมีประกายสายฟ้าแปลบปลาบ

และสิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมกันคือ หลินเจิ้งเหรินที่แทบจะตัวติดกับเขาพลอยโดนไปด้วย ทั้งตัวถูกระเบิดปลิวออกไป หลังจากตกกระแทกพื้นยังชักกระตุกอีก

นี่เป็นครั้งแรกที่หลินเจิ้งเหรินสิ้นท่าขนาดนี้นับตั้งแต่ขึ้นสนามต่อสู้

และสิ่งที่สร้างผลลัพธ์เช่นนี้ขึ้น ก็คือวิชาเต๋าชั้นสองระดับบน…อัสนีสังหาร

เพียงแต่สิ่งที่เกินความคาดหมายของทุกคนคือ เป้าหมายการโจมตีด้วยวิชาเต๋าครั้งนี้ของจางหลินชวนเป็นตัวของเขาเอง ไม่ใช่หลินเจิ้งเหริน

ตอนที่หลินเจิ้งเหรินทำลายวิชาเต๋าชั้นหนึ่งของเขา เขาไม่ได้พยายามคงวิชาเต๋าเอาไว้ แต่กระตุ้นวิชาเต๋าชั่วพริบตาที่สลักไว้ในจุดผ่านสวรรค์ของตนเป็นอันดับแรก ซ้ำยังโจมตีเข้าใส่ตัวเอง

ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เป็นการกระทำที่อันตรายอย่างยิ่งจนเรียกได้ว่าบ้าคลั่ง ถ้าหากหลินเจิ้งเหรินไม่ได้เลือกโจมตีประชิดตัวตั้งแต่แรก กระทั่งหากช้าไปเพียงนิดเดียว จางหลินชวนอาจได้กลายเป็นผู้บำเพ็ญคนเดียวที่พ่ายแพ้เพราะวิชาเต๋าของตัวเองในงานสามเมืองเสวนาเต๋าครั้งนี้เป็นแน่

และจะกลายเป็นตัวตลกของทุกคน

โชคดีที่เขาชนะเดิมพัน ช่วงชิงโอกาสชนะที่แทบจะมีน้อยนิดนั่นมาให้ตนเองได้

อัสนีสังหารทำให้บาดเจ็บกันทั้งคู่ แต่ถึงอย่างไรหลินเจิ้งเหรินก็เพิ่งจะเข้าสู่ระดับหก แต่ละด้านยังไม่ถึงขั้นสูงสุด จางหลินชวนที่ใช้วิชาอัสนีมานานจึงฟื้นตัวกลับมาก่อนในไม่กี่อึดใจ

จางหลินชวนทำปางมืออย่างเร็วรี่ หมายจะคว้าโอกาสที่โผล่มาแวบเดียวนี้แล้วจัดการเผด็จศึกคู่ต่อสู้

แต่สีหน้าเขาแข็งค้างขึ้นมาทันใด

เขาพบว่าในจุดผ่านสวรรค์ว่างเปล่า!

วิชาเต๋านี้ไม่สามารถใช้ออกมาได้สำเร็จ

ตอนนี้เขาถึงเพิ่งสังเกตเห็นว่า เบื้องหน้าประมาณห้าก้าว ไม่รู้เมื่อใดมีหญ้าต้นเล็กกึ่งโปร่งใสต้นหนึ่งงอกออกมาส่ายไหวตามแรงลม

เขามองออกว่านั่นคือหญ้าสูบพลังปราณ วิชาเต๋าชั้นสามระดับล่าง

ผลลัพธ์ของวิชาคือ ในขอบเขตที่หญ้าสูบพลังปราณมีผล จะสูญเสียรากพลังเต๋าไปจำนวนมาก

ข้อเสียคือเป็นการโจมตีไม่เลือกฝ่าย

ทว่าหลินเจิ้งเหรินเปิดประตูฟ้าดินแล้ว สามารถรับพลังปราณในฟ้าดินมาชดเชยได้ตลอดเวลา จางหลินชวนกลับยังอยู่ขั้นก่อนหน้าประตูฟ้าดิน ทำได้เพียงหยิบยืมรากพลังเต๋าที่กักเก็บไว้ในจุดผ่านสวรรค์มาต่อสู้

หนึ่ง สอง สาม…จางหลินชวนยิ่งนับสีหน้าก็ยิ่งย่ำแย่ ภายใต้สภาพการณ์ที่เขาไม่รู้ตัว หลินเจิ้งเหรินปลูกหญ้าสูบพลังปราณเอาไว้ในสนามต่อสู้ถึงเก้าต้น พูดได้ว่าถ้าอัสนีสังหารไม่ขัดจังหวะเสียก่อน ฝ่ายตรงข้ามจะวางไว้มากกว่านี้

ทั้งที่ได้เปรียบอยู่อย่างมหาศาล เห็นชัดๆ ว่าชัยชนะอยู่ใกล้แค่เอื้อม หลินเจิ้งเหรินกลับยังใช้วิธีการเช่นนี้

เจ้านี่ต้องเป็นคนที่มั่นคงระดับไหน ละเอียดรอบคอบระดับไหนกัน

ภายใต้ผลของหญ้าสูบพลังปราณเก้าต้น รากพลังเต๋าของจางหลินชวนหายไปจนหมดเกลี้ยง

โอกาสชนะโผล่มาแล้วก็หายไป

หลินเจิ้งเหรินฟื้นตัวกลับมา ก่อนจะกระโดดขึ้น

“ข้าแพ้แล้ว” จางหลินชวนเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้ง

เขาไม่เหลือหนทางชนะอีก แน่นอนว่าจะไม่เปิดโอกาสให้หลินเจิ้งเหรินทรมานตนเอง

เมืองเฟิงหลินพลาดโอกาสชนะสามรอบติด และพลาดสิทธิ์รายชื่อเข้าสำนักเต๋ารัฐที่สำคัญที่สุดไปด้วย

แต่ในที่นั้นไม่มีใครกล่าวโทษจางหลินชวน

ใช้อัสนีสังหารใส่ตัวเอง นี่เป็นการกระทำที่โหดร้ายเสียเหลือเกิน

ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเป็นคนที่ใส่ใจเรื่องบุคลิกภาพลักษณ์เป็นที่สุด แล้วดูสภาพดำเกรียมไปทั้งตัวในตอนนี้ ใครจะกล้าบอกว่าเขาสู้ไม่เต็มที่กัน

ขนาดต่งเออยังไม่พูดอะไร เขาไม่สามารถพูดได้ว่าศิษย์คนนี้ไม่ทุ่มเทกำลังทั้งหมด

ความจริงแล้วสำหรับจางหลินชวน เมื่อครู่ใช่ว่าเขาจะไม่มีโอกาสเสียทีเดียว ขอแค่เขายอมทำลายกระแสวนเต๋าวงหนึ่ง ก็จะได้รับรากพลังเต๋ามหาศาลมาชั่วคราว และใช้โอกาสนี้โจมตีเอาชนะหลินเจิ้งเหรินได้

เพียงแต่ถ้าทำเช่นนั้น ถึงแม้จะได้รับชัยชนะมา พลังบำเพ็ญของเขาก็จะกลับไปอยู่ที่ระดับแปด อีกทั้งจะหยุดนิ่งตรงนั้นไปตลอดชีวิตด้วย

เช่นนั้นต่อให้เข้าสำนักเต๋ารัฐได้จริงจะมีความหมายอะไร

เกียรติยศของสำนักเต๋าเมืองเฟิงหลินถึงจะสำคัญที่สุด แต่เขาก็ไม่อาจนำอนาคตของตนเองไปแลก

ผู้ตัดสินประกาศผล

ผู้ชนะของศิษย์ชั้นปีห้าในงานสามเมืองเสวนาเต๋าคือหลินเจิ้งเหริน ผู้บำเพ็ญระดับหกมังกรทะยานแห่งสำนักเต๋าเมืองวั่งเจียง

ปีหน้า เขาจะเป็นลูกศิษย์คนใหม่ของสำนักเต๋ารัฐ อนาคตสว่างรุ่งโรจน์

เมืองเฟิงหลินได้รับชัยชนะมาสองครั้ง ถือว่าชื่อเสียงไม่ตกต่ำลง

มีเพียงสำนักเต๋าเมืองซานซานเท่านั้นที่ไม่ได้อะไรจากงานเสวนาเต๋าครั้งนี้เลย

เจียงวั่งเห็นว่าพวกของเจ้าเถี่ยเหอและหยางซิ่งหยงต่างอิจฉาตาร้อน

แต่นี่แหละคือการแข่งขัน

…….

หอสามจรุง

แม่นางเมี่ยวอวี้อยู่หน้ากระจก กำลังใช้นิ้วก้อยแต่งแต้มผงชาดเบาๆ

ด้านหลังของนาง ชายชราชุดดำผู้หนึ่งกำลังก้มหมอบอ้อนวอน “ท่านธิดาเทพ โปรดลงมือด้วยเถิด! มิเช่นนั้น คนของพวกเราได้ตายกันหมดแน่!”

“ข้าบอกไปนานแล้วว่าอย่าละโมบนัก พวกเจ้าพอได้ยินชื่อเทียนยมโลกก็เหมือนวิญญาณหลุดลอย ตอนนี้มาอ้อนวอนให้ข้าลงมือ จะไปมีประโยชน์อะไร ภาพมายาด่านประตูผีก็ส่งไปที่รัฐอวิ๋นแล้ว ข้าจะเอาอะไรไปสู้กับเว่ยชวี่จี๋”

“พวกเราผู้เฒ่าไม่รู้ความเอง แต่ว่าทูตกระดูกขาวก็เห็นด้วย…”

“เฮอะ” เมี่ยวอวี้หัวเราะ “เช่นนั้นเจ้าก็ให้เขาลงมือสิ”

ชายชราชุดดำพูดไม่ออก ทำเพียงโขกศีรษะไม่หยุด

“เมื่อข้าปรากฏตัว เว่ยชวี่จี๋จะลงมือสังหารข้าทันที ไม่ต้องพูดถึงต่งเออที่จับจ้องเหมือนพยัคฆ์เลย พวกเราไม่มีโอกาสหรอก” น้ำเสียงของนางเหมือนทั้งโกรธทั้งเคือง “ตอนแรกใครให้พวกเจ้าไม่ยอมทิ้งภาพมายาด่านประตูผีไว้กับข้ากันเล่า”

ชายชราชุดดำกัดฟันเอ่ย “พวกเราสำนักกระดูกขาวกว่าจะรวมกำลังกันได้ไม่ง่ายเลย สหายเต๋ามากมายต้องตายเปล่าไปเช่นนี้หรือ”

“เอาละๆ อย่ามาร้องโวยวายกับข้าที่นี่ ข้าวางทางหนีทีไล่เอาไว้แล้ว คำนวณจากเวลา เทียนยมโลกน่าจะถูกส่งออกไปอย่างปลอดภัยเรียบร้อย ส่วนเรื่องสหายเต๋าเหล่านั้น…”

เมี่ยวอวี้ชะงักไปเล็กน้อย แล้วจึงปิดกล่องชาดลง

“ตายก็ตายไปสิ”

……

เนื่องจากจัดกำลังป้องกันรัดกุม จัดการได้เหมาะสม ความวุ่นวายทั่วเมืองเฟิงหลินจึงสงบลงทันทีทันใด

ไม่ว่าอย่างไร ข่าวการปรากฏของเทียนยมโลกก็กะทันหันเกินไป สำนักกระดูกขาวยังไม่ทันได้เตรียมพร้อมดีก็ต้องเผชิญหน้ากับทางเลือกแล้ว

ความสำคัญของเทียนยมโลกต่อสำนักกระดูกขาวทำให้พวกเขาไม่อาจปฏิเสธได้ และเว่ยชวี่จี๋กับต่งเออก็ร่วมมือกัน จัดการวางแหฟ้าตาข่ายดินรอไว้ก่อน

อันที่จริงผลสุดท้ายถูกกำหนดไว้ก่อนจะเริ่มขึ้นแล้ว คนที่สำนักกระดูกขาวส่งมาคราวนี้ไม่มีใครรอดแม้แต่คนเดียว

แต่นี่ไม่ได้หมายถึงรู้แพ้ชนะชัดเจน เพราะว่าความจริงสำนักกระดูกขาวเตรียมตัวว่าจะแพ้ราบคาบไว้แล้ว ขอแค่ชิงเทียนยมโลกมาสำเร็จ สำหรับสำนักกระดูกขาวก็ไม่ถือว่าพ่ายแพ้

……

บนถนนใหญ่พฤกษาคราม พ่อค้าหาบเร่ยังเดินตรงไปข้างหน้าอย่างอ้อยอิ่ง

เขาคุ้นเคยกับเมืองนี้เป็นอย่างดีแล้ว ราวกับว่าอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เกิด การซุ่มกำลังของเว่ยชวี่จี๋เขาคาดการณ์ไว้แล้ว เพียงแต่ไม่คิดว่าจะโจมตีอย่างดุดันและเตรียมพร้อมมาเต็มที่เช่นนี้

เขารู้ชัดดี สหายเต๋าที่มาในครั้งนี้คงจะโชคร้ายมากกว่าโชคดี แต่ว่าเขาจะไม่ตาย

ถึงแม้เรื่องเกิดขึ้นกะทันหัน ทว่าเขารู้จักเมืองนี้เป็นอย่างดี รู้ว่าถ้าทหารประจำเมืองวางกำลังป้องกันเต็มที่ กำลังหลักสำคัญจะไปอยู่ที่ใด

เขาสามารถเลี่ยงออกมาได้อย่างง่ายดาย

ด้านหน้าเลี้ยวซ้ายมีถนนเล็กๆ สายหนึ่ง ถนนเล็กสายนี้จะผ่านโรงอาบน้ำ

เขาวางแผนว่าจะไปอาบน้ำชะล้างคราบฝุ่นเสียหน่อย หาบของฝากไว้ที่คนขัดตัวในนั้นได้ นายซ่งซื่อสัตย์มาก ไม่มีทางมายุ่มย่ามสิ่งของของเขา

ใครจะไปคิดว่าเทียนยมโลกที่ล้ำค่าขนาดนี้ จะมาฝากส่งเดชไว้กับคนขัดตัวธรรมดาคนหนึ่ง?

เขากระทั่งสามารถหลับสักงีบในโรงอาบน้ำ รอจนคลื่นลมสงบแล้วค่อยออกจากเมืองไปอย่างไม่สะทกสะท้าน

สรุปคือ เขาจะไม่ตาย

ทว่าเขากลับเห็นชายหัวล้านคนหนึ่งตอนที่เหยียบย่างเข้ามาบนถนนสายเล็กสายนี้

อาจจะเป็นสำนักพุทธกระมัง แต่ชายหัวล้านคนนี้หน้าตาดุร้ายเหลือเกิน ภาพลักษณ์ไม่ใกล้เคียงกับคนสำนักพุทธเลย

“ข้าได้กลิ่นประหลาด” คนหัวล้านพูดขึ้น อีกทั้งยังเลียริมฝีปาก

พ่อค้าหาบเร่พลันรู้สึกหวาดกลัวอย่างรุนแรง เขารวบรวมรากพลังเต๋าเตรียมต่อสู้

ตอนนี้เอง เขาพบว่าหัวใจของเขาหายไปแล้ว

โลกทั้งใบตกสู่ความมืดมิดตลอดกาล

‘ธิดาเทพ นั่นคือทิวทัศน์ของก้นแม่น้ำลืมเลือนหรือ’ เขาคิดในตอนสุดท้าย

……………………………………….