บทที่ 57 ส่งที่ศาลาริมทาง

ท่องภพสยบหล้า

ไม่ว่าแต่ละฝ่ายจะเฝ้าหวังอะไรไว้ แต่งานสามเมืองเสวนาเต๋าก็จบสิ้นลงแล้ว

ประชาชนเมืองเฟิงหลินที่มาชมแยกย้ายกันไป ยังคงถกประเด็นกันอย่างออกรสออกชาติ ผลงานของสำนักเต๋าเมืองเฟิงหลินในครั้งนี้นับว่าไม่แย่เลย พวกเขาก็รู้สึกภาคภูมิใจไปด้วย

คนธรรมดาส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่แห่งนี้ล้วนไม่รู้ว่าวันนี้เกิดเหตุอะไรขึ้น

ศึกนองเลือดที่เกิดขึ้นในห้องลับ การต่อสู้สังหารตามตรอกซอกซอย การห้ำหั่นระหว่างความเป็นและความตายเหล่านั้น ทุกอย่างผ่านไปอย่างเงียบงันเหมือนอากาศสลายหายไปในอากาศ

คลื่นลมที่สำนักกระดูกขาวสร้างขึ้นถูกความสงบกำจัดทิ้งไป บนถนนใหญ่ไม่เห็นแม้แต่เลือดเพียงจุดเดียว ประชาชนจำนวนน้อยนิดที่ได้เห็นการต่อสู้โดยบังเอิญก็ถูกสั่งให้ปิดปาก

สำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว วันนี้ในเมืองเฟิงหลินจัดงานที่ยอดเยี่ยมเป็นอย่างยิ่งขึ้นเท่านั้น

ผู้เหนือมนุษย์ไม่อาจพ้นจากความเจ็บปวด และความไม่รู้ก็ใช่ว่าจะไม่ใช่เรื่องดี

พูดในส่วนของเว่ยชวี่จี๋ ศีรษะของผู้บำเพ็ญสำนักกระดูกขาวที่กองอยู่ตรงหน้าเขาถึงสิบเจ็ดหัว และซากศพจำนวนมากกว่าที่ไม่มีคุณสมบัติให้เก็บรวบรวมมาเหล่านั้น ได้ล้างความอัปยศของเขาไปแล้ว

เว่ยชวี่จี๋กล่าวกับต่งเออว่า “ความแค้นวันนี้ได้สะสางแล้ว มิสู้จัดลูกศิษย์สำนักเต๋าไปร่วมกันสวด ‘คัมภีร์มหาเทพดับทุกข์’ เพื่อส่งวิญญาณผู้ตายที่สิ้นชีพอย่างไม่เป็นธรรมในตำบลเสี่ยวหลิน”

ในฐานะที่เป็นผู้ปกครองดินแดนแถบหนึ่ง นับว่าเขาสามารถทำพิธีเซ่นไหว้ให้กับตำบลเสี่ยวหลินที่เขาปกครองดูแลได้

แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอะไร ‘คัมภีร์มหาเทพดับทุกข์’ เป็นบทสวดส่งวิญญาณที่ใช้บ่อยครั้ง ผู้บำเพ็ญสำนักเต๋าแทบจะทุกคนล้วนท่องจำได้ขึ้นใจ

แต่ท่าทีของต่งเออกลับเย็นชายิ่ง “วิญญาณแตกสลายไปแล้ว สวดส่งวิญญาณมีประโยชน์อันใด”

เว่ยชวี่จี๋รู้สึกเพียงเจ้าคนนี้ช่างไร้เหตุผลนัก เพิ่งร่วมมือกันเสร็จยังไม่แม้แต่จะไว้หน้ากัน นิสัยแบบนี้ มิน่าเล่าตอนนั้นถึงได้ถูกไล่ออกมาจากเมืองหลวง

……

ตอนที่ผู้บำเพ็ญจากเมืองซานซานจะเดินทางกลับ เจียงวั่งตั้งใจมาส่งโดยเฉพาะ

เขานับถือหยางซิ่งหย่งจากใจจริง และเคารพเจตจำนงที่ผู้บำเพ็ญเมืองซานซานแสดงออกมาในการเสวนาเต๋าครั้งนี้ยิ่งนัก

เมื่อเทียบกับกลุ่มใหญ่เอิกเกริกของเมืองวั่งเจียง เหล่าผู้บำเพ็ญจากเมืองซานซานยิ่งดูหัวเดียวกระเทียมลีบ

หากไม่ต่งเออลงมือช่วยเอง พวกเขาอาจถึงขั้นกลับเมืองครบทุกคนไม่ได้…คนพวกนี้ต่อสู้ทุ่มสุดตัวนัก

เจียงวั่งมาส่งได้ หยางซิ่งหยงก็ดีใจมาก “ข้าแพ้อย่างสมศักดิ์ศรี เจ้าเก่งมาก ปีหน้าข้าจะมาท้าประลองเจ้าใหม่!”

ทั้งสองคนคุยกันอีกสองสามประโยค เจียงวั่งแม้จะค่อนข้างลังเล แต่สุดท้ายก็ถามขึ้นว่า “งานสามเมืองเสวนาเต๋าไม่ใช่การสอบเข้าสำนักเต๋าเขตปกครอง ทำไมพวกท่านถึงสู้สุดตัวกันขนาดนั้น”

หยางซิ่งหย่งเงียบงัน

“ขอโทษด้วย หากไม่เหมาะสม ถือเสียว่าข้าไม่ได้ถามเถิด” เจียงวั่งพูดอย่างจริงใจ

“เพราะพวกเรา…เพราะเมืองซานซานลำบากมากน่ะสิ” ด้านข้าง ซุนเสี่ยวหมานที่อารมณ์ห่อเหี่ยวและเงียบงันมาโดยตลอดพูดขึ้น “เมืองซานซาน ภูเขาเยอะ สัตว์ป่าเยอะ สัตว์ร้ายก็เยอะ สัตว์ป่ายังดี พวกมันไม่ต่างจากอาหาร แต่สัตว์ร้ายยุ่งยากนัก…”

จากการบรรยายของซุนเสี่ยวหมาน เจียงวั่งเข้าใจความยากลำบากของเมืองซานซานคร่าวๆ แล้ว

มนุษย์ผงาดขึ้นในยุคบรรพกาล แต่ก่อนที่จะยิ่งใหญ่ขึ้นมา การใช้ชีวิตช่างไม่ง่ายเลย

แม้จะบอกว่าตอนนี้เผ่ามนุษย์เป็นผู้มีสติปัญญาเหนือสรรพสัตว์ทั้งปวง แต่ความจริงแล้วเผ่ามนุษย์หลังจากเกิดมาก็ชีพจรเต๋าอุดตันเป็นปกติ มีเพียงอัจฉริยะจำนวนน้อยมากที่ชีพจรเต๋าปรากฏชัด ฝึกบำเพ็ญได้แต่กำเนิด

แต่สัตว์ปีศาจกลับชีพจรเต๋าเด่นชัดโดยกำเนิดทุกตัว

ภายหลังมีสุดยอดผู้แข็งแกร่งเผ่ามนุษย์คนหนึ่งค้นพบตำรับยาตำรับหนึ่ง และเปิดเผยต่อสาธารณะ จึงค่อยเปิดม่านการผงาดขึ้นของเผ่ามนุษย์ออก

ชื่อของผู้แข็งแกร่งคนนี้เลือนหายไปในห้วงประวัติศาสตร์ แต่ตำรับยาของเขากลับสืบทอดต่อมาชั่วนิรันดร์

ตำรับยานี้ก็คือลูกกลอนเปิดชีพจรในตอนแรกสุดนั่นเอง วัตถุดิบหลักก็คือชีพจรเต๋าของสัตว์ปีศาจ

นับจากนั้นมามนุษย์ก็ไม่ถูกจำกัดด้วยพรสวรรค์อีกต่อไป มีเพียงลูกกลอนเปิดชีพจรก็พอ! นี่หมายความว่ายุคสมัยของการล่าสังหารสัตว์ปีศาจอย่างบ้าคลั่งได้เริ่มต้นขึ้นแล้วเช่นกัน

ก่อนจะฝึกบำเพ็ญ เจียงวั่งมีคำถามหนึ่งที่สงสัยมากมาโดยตลอด

ในยุคแห่งการฝึกบำเพ็ญที่รุดหน้าเรื่อยๆ เช่นนี้ ด้วยศักยภาพของเผ่ามนุษย์ เหตุใดจนตอนนี้ถึงยังกวาดล้างพื้นที่รกร้างไม่หมด ทำไมทุกรัฐทั่วหล้าจึงทำเพียงคงสภาพถนนทางหลวงให้ใช้การได้เท่านั้น ทว่าในพื้นที่มากกว่านั้นกลับปล่อยให้สัตว์ป่าเดินไปมา สัตว์ปีศาจเพ่นพ่าน

นั่นก็เพราะสัตว์ปีศาจเหล่านี้เป็นทรัพยากร! หากพูดจากในมุมหนึ่ง สัตว์ปีศาจเหล่านั้นคือเสบียงอาหารที่เลี้ยงแบบปล่อย ส่วนสัตว์ป่ากับสภาพแวดล้อมป่ารกร้างก็เป็นแค่การรักษาสิ่งแวดล้อมการดำรงชีวิตแบบเลี้ยงปล่อยเท่านั้น

อย่างไรเสีย สัตว์ปีศาจที่ฟ้าดินสรรสร้างและมีชีพจรเต๋าปรากฏชัดโดยกำเนิดก็ไม่อาจเลี้ยงไว้ในคอกได้

ส่วนสัตว์ร้ายเป็นสิ่งมีชีวิตอีกประเภทหนึ่ง โดยทั่วไปมีพลังต่อสู้แข็งแกร่งมาก แต่ไร้สติปัญญา กระทั่งเนื้อของพวกมันยังกินไม่ได้ พูดอย่างง่ายๆ คือ พลังทำลายล้างของสัตว์ร้ายไม่ด้อยไปกว่าสัตว์ปีศาจเท่าใด แต่ตัวมันกลับไร้ค่าไร้ราคา

การล่าสังหารสัตว์ร้ายเป็นเรื่องที่มีแต่สูญเสียไม่ได้ประโยชน์ใดๆ ทว่าเมืองซานซานจำต้องทำ จึงเป็นเหตุให้เกิดการสูญเสียระยะยาวของเมืองซานซาน

ผู้แข็งแกร่งทุกคนต้องการทรัพยากรมหาศาล ทว่าเมืองซานซานมีรายจ่ายมากกว่ารายรับตลอด เรื่องที่น่ากลัวไปยิ่งกว่านั้นคือ สัตว์ร้ายในเมืองซานซานมีมากมายเกินไป ฆ่าไม่หมดไม่สิ้น

พวกมันทำลายถนนทางหลวง โจมตีหมู่บ้าน กินมนุษย์

สภาพแวดล้อมของเมืองซานซานกำหนดให้อาหารส่วนใหญ่ต้องขนส่งมาจากข้างนอก เมืองซานซานไม่สามารถผลิตเองได้เพียงพอ ทว่าความจริงถนนทางหลวงมีอุปสรรคก็เพิ่มระดับความเสี่ยงในการขนส่งด้วย

โดยเฉพาะก่อนหน้านี้ ผู้บำเพ็ญสำนักเต๋าเมืองซานซานบาดเจ็บล้มตายจากฝีมือของมารกลืนจิตใจเป็นจำนวนมาก กำลังคนของเมืองซานซานยิ่งอยู่ในภาวะตึงเครียด

การป้องกันถนนทางหลวงเป็นเรื่องของเมืองซานซาน หากอยากขอให้ราชสำนักจวงส่งยอดฝีมือมาเก็บกวาดก็ต้องจ่ายทรัพยากรที่ราคาเท่าเทียมกัน แต่เมืองซานซานก็ไม่มีทรัพยากรส่วนอื่นที่เอาออกมาใช้ได้แล้ว

ดังนั้นภายใต้สถานการณ์ที่ฉู่ผิงศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักเต๋าเมืองซานซานรบจนตาย เมืองซานซานมองงานสามเมืองเสวนาเต๋าครั้งนี้เป็นความหวังสุดท้าย พวกเขาต่อสู้สุดชีวิตบนเวทีไม่ใช่เพื่อเกียรติยศของตัวเอง แต่เพื่อเหล่าพ่อแม่พี่น้องข้างหลังพวกเขาที่มีชีวิตยากเข็ญในเมืองซานซาน

“เจ้ารู้หรือไม่ ทุกศึกที่พวกเราชนะ อย่างน้อยก็จะมีคนเมืองซานซานรอดชีวิตได้สิบคน” ดวงตาของหยางซิ่งหย่งแดงก่ำอย่างชัดเจน เขาก้มหน้าลง “ขอเพียงพวกเราทำได้ดี…”

เขาละอายกับการพ่ายแพ้ของตัวเอง แม้ว่าตัวเขาจะทำเต็มที่แล้วก็ตาม

เจียงวั่งเงียบไปชั่วขณะ

เขาตบๆ ไหล่หยางหย่งซิ่ง “ผู้ชนะของศิษย์ชั้นปีหนึ่งในงานสามเมืองเสวนาเต๋าครั้งนี้ ข้าโชคดีได้มาครองอย่างน่าละอาย แต้มเต๋าห้าสิบแต้มที่ได้มาเป็นรางวัล อีกเดี๋ยวเมื่อข้ากลับถึงสำนัก จะไปตำหนักแต้มเต๋าแล้วยกให้กับท่าน”

แต้มเต๋าห้าสิบแต้มเป็นจำนวนที่ไม่น้อยเลย แม้จะไม่อาจแก้ไขปัญหาของเมืองซานซาน แต่ก็นับว่าพอจะคลายวิกฤตได้

พูดอีกมุมหนึ่ง สำหรับลูกศิษย์สำนักเต๋าที่ชื่อบันทึกอยู่ในบัญชีเต๋าแล้ว คะแนนห้าสิบแต้มเต๋าคือลูกกลอนเปิดชีพจรครึ่งเม็ด เท่ากับเป็นผู้บำเพ็ญเหนือมนุษย์ไปแล้วครึ่งหนึ่ง

นี่ก็คือพลังที่ยามนี้เมืองซานซานต้องการเสริมเพิ่ม

“จะเหมาะสมได้อย่างไร” หยางซิ่งหย่งเงยหน้าขึ้นมาอย่างอึ้งงัน

ซุนเสี่ยวหมานชกไปที่ท้องของเจียงวั่ง “เจ้าสหายคนนี้ พวกเราคบหาแล้ว!”

เดิมทีนางอยากชกไปที่อกของเจียงวั่งอย่างองอาจผึ่งผาย แต่เสียดายที่ความสูงไม่อำนวย จะกระโดดขึ้นชกก็ทำลายบรรยากาศเกินไป จึงทำได้แค่เพียงชกๆ ไปที่ท้องของเจียงวั่งเท่านั้น

เจียงวั่งรู้สึกเพียงเลือดกลุ่มหนึ่งจุกอยู่ที่คอหอย หากไม่ใช่ว่าวิชาหลอมกายาสี่สัตว์เทพแข็งแกร่งไม่ธรรมดา ครั้งนี้เขาคงได้ลาโลกไปแล้ว

พลังหมัดเด็กสาวคนนี้น่ากลัวเพียงนี้เลย

แน่นอน เจียงวั่งรู้ว่าไม่ใช่เพราะแม่นางน้อยเขินอายอะไร เขามองเห็นความชักหน้าไม่ถึงหลังและความไม่เป็นธรรมชาติที่ซ่อนอยู่ใต้รอยยิ้มผ่าเผยนั้นด้วยซ้ำ

นางก็แค่ไม่อาจทำใจทิ้งความช่วยเหลือที่ประชาชนเมืองซานซานควรได้รับเพราะความละอายของตัวเอง

“เช่นนั้น แล้วพบกันใหม่”

“แล้วพบกัน!”

ตามมาส่งถึงพันลี้ สุดท้ายก็จำต้องจากลา

เจียงวั่งหยุดฝีเท้าอยู่ที่นอกประตูเมือง มองเหล่าสหายที่เพิ่งคบกันหมาดๆ เดินทางจากไป

……

“พี่ ซื้อชุดใหม่ให้ข้าเถอะ” เจ้าอ้วนซุนเซี่ยวเหยียนห่อชุดคลุมดำมีหมวกตัวนั้นพลางเดินไปอย่างพยายามปกปิดไว้

เสื้อผ้าเดิมของเขาถูกโจมตีขาดวิ่นไปในการต่อสู้แล้ว

“ไม่มีเงิน”

“ข้ากลับบ้านสภาพนี้ไม่ได้กระมัง หนทางไกลขนาดนี้ มีคนดูอยู่ตั้งเท่าไร! ล่อนจ้อนเห็นหมดจะทำอย่างไร”

“เห็นแล้วจะเป็นอะไรไป เจ้ายังเป็นแค่เด็กอยู่เลย”

………………………………………………………