โจวเสาจิ่นส่ายศีรษะเบาๆ ปฏิเสธข้อเสนอของเฉิงฉือไป
ในเมื่อจะต้องไปแล้ว ก็ต้องไปอย่างหมดจด ไม่ให้มีอะไรต้องข้องเกี่ยวกับท่านน้าฉืออีก
นางกลัวว่าถึงเวลานั้นเมื่อเห็นสิ่งของแล้วจะคิดถึงคนขึ้นมา ทำให้ไม่อาจเก็บซ่อนความชมชอบที่มีต่อเฉิงฉือเอาไว้ในใจไปตลอดชีวิตได้
เฉิงฉือเห็นแล้วก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไร ครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้ายินยอม
โจวเสาจิ่นกล่าวขอตัวลาเฉิงฉือ
เฉิงฉือไปส่งนางจนถึงปากประตูห้องหนังสือ
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “หากท่านน้าฉือผ่านทางไปเมืองเป่าติ้ง ห้ามลืมไปเป็นแขกที่บ้านของพวกข้านะเจ้าคะ!”
“ได้!” เฉิงฉือยิ้มน้อยๆ พร้อมกับรับปากนาง
โจวเสาจิ่นเดินลัดเลาะผ่านสวนของเรือนหลีอินไปอย่างไม่เร็วและไม่ช้า
แสงแดดอบอุ่นของต้นฤดูหนาวสาดส่องอยู่บนเรือนร่างของนาง ทว่านางกลับรู้สึกว่ามือและเท้าเย็นเล็กน้อย
นางบอกว่าไม่ต้องให้คนมาคอยรับใช้นาง ท่านน้าฉือก็ไม่คะยั้นคะยออีก…ในใจของเขา นางก็คงจะเป็นเพียงญาติธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้นกระมัง
โจวเสาจิ่นรู้สึกเจ็บปวดอยู่ในใจ น้ำตาเกือบจะไหลออกมาแล้ว
แต่เพียงพริบตาเดียวนางก็สูดจมูกหัวเราะออกมา
ทั้งๆ ที่เป็นตนเองที่บอกว่าไม่ต้องการให้ซางมามากับเสี่ยวถานตามไปรับใช้ พอท่านน้าฉือตอบรับ นางก็โทษว่าท่านน้าฉือไม่คะยั้นคะยอนาง…ใต้โลกหล้านี้มีผู้ใดชอบหาเรื่องทะเลาะเหมือนนางเช่นนี้บ้าง!
โจวเสาจิ่นเข้าใจดี ทว่าไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจเก็บกักความรู้สึกเจ็บแปลบที่ไม่รู้ว่าคืออะไรนั้นเอาไว้ในใจได้
นางยิ้มอย่างจริงใจขณะพูดคุยกับฮูหยินผู้เฒ่ากัว ฮูหยินผู้เฒ่ากวนและคนอื่นๆ ที่มาส่งนาง จากนั้นกลับถนนผิงเฉียวไปด้วยน้ำตาคลอเบ้าไปตลอดทาง
บ้านเดิมที่ถนนผิงเฉียวยังคงตั้งตระหง่านอย่างเงียบสงบอยู่ตรงนั้นเหมือนเมื่อก่อน ซึ่งภรรยาของหม่าฟู่ซานที่ได้รับข่าวมาตั้งแต่เมื่อวานได้ทำความสะอาดห้องหับต่างๆ จนเอี่ยมอ่องเอาไว้แล้ว กระทั่งนางรับมื้อกลางวันเสร็จ ข้าวของของนางก็ถูกจัดวางอยู่ในตำแหน่งที่นางคุ้นชินเรียบร้อยแล้ว
ชุนหว่านเกลี้ยกล่อมนางว่า “คุณหนูรอง เมื่อวานท่านเกือบจะไม่ได้นอนเลยตลอดทั้งคืน รีบไปพักสักหน่อยเถิดเจ้าค่ะ ข้าค่อยไปเรียกท่านตื่นเมื่อถึงเวลาอาหารเย็น”
เนื่องจากคุ้นเคยกับห้องพระของฮูหยินผู้เฒ่ากัว คุ้นชินกับความสุขเวลาได้รอคอยท่านน้าฉือ และเคยชินกับเสียงพูดคุยและหัวเราะของปี้อวี้และคนอื่นๆ บ้านเดิมของตระกูลโจวจึงเปลี่ยนเป็นเงียบเหงาว่างเปล่าขึ้นมา
วันถัดมา ฮูหยินผู้เฒ่ากัวให้สื่อมามามาดูว่านางคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตที่นี่หรือไม่ โจวเสาจิ่นรั้งให้นางอยู่พูดคุยด้วยครู่หนึ่ง มอบผ้าซงเจียงสีขาวพระจันทร์สำหรับตัดเสื้อตัวในให้นางสองพับ ยังไม่ทันได้ส่งคนออกไป หวังมามาคนข้างกายของฮูหยินผู้เฒ่ากวนก็มาถึงแล้ว
นางรับมืออยู่เช่นนี้ กระทั่งวันที่สามถึงได้สงบสุขขึ้นมา
หีบสัมภาระที่โจวเสาจิ่นนำกลับมาด้วยยังไม่ได้เปิดออกทั้งหมด ส่วนกระถางดอกไม้ที่ปลูกเอาไว้ล้วนถูกย้ายเข้าเรือนเพาะชำเป็นการชั่วคราวให้อวี๋มามาช่วยดูแลแล้ว
นานๆ ทีทุกคนถึงจะมีเวลาว่าง นั่งทำงานเย็บปักด้วยกัน
เป็นเช่นนี้อยู่ครึ่งเดือน หลี่ฉางกุ้ยบ่าวคนสนิทของโจวเจิ้นก็นำจดหมายของโจวเจิ้นมาถึงเมืองจินหลิง
โจวเจิ้นให้โจวเสาจิ่นเมื่อได้รับจดหมายให้ออกเดินทางเลย ไม่ต้องเคร่งครัดว่าจะเป็นวันดีหรือไม่ ส่วนทางด้านของซอยจิ่วหรูนั้น ปล่อยให้เขาเป็นคนจัดการเอง
โจวเสาจิ่นรับจดหมายมา น้ำตาคลอเบ้าอย่างห้ามไม่อยู่ ถามหลี่ฉางกุ้ยว่า “ท่านพ่อของข้ายังมีคำสั่งอื่นอีกหรือไม่”
หลี่ฉางกุ้ยตอบอย่างนอบน้อมว่า “นายท่านให้ข้านำของฝากท้องถิ่นมาด้วยจำนวนหนึ่ง รอให้นำของขวัญไปส่งมอบให้ซอยจิ่วหรูในวันพรุ่งนี้แล้ว ก็ออกเดินทางได้เลยขอรับ”
โจวเสาจิ่นให้หม่าฟู่ซานพาหลี่ฉางกุ้ยออกไป เก็บจดหมายเอาไว้ในกล่อง
จะไปจากซอยจิ่วหรูที่นางใช้ชีวิตมาร่วมสิบสี่ปี ไปจากเมืองจินหลิงสถานที่ที่นางเกิดและเติบโตมาเช่นนี้แล้วจริงๆ หรือ
โจวเสาจิ่นยืนอยู่ใต้โถงทางเดินของเรือนหลัก ทอดสายตามองไปยังทิศทางที่ซอยจิ่วหรูตั้งอยู่ ในหัวสมองว่างเปล่า ไม่อยากจะคิดอะไรทั้งนั้น
วันต่อมา เอาของฝากท้องถิ่นที่บิดานำมาไปกล่าวอำลาซอยจิ่วหรู
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรับรองนางที่โถงรับแขก
นางไม่ได้พบทั้งเฉิงฉือและเฉิงสวี่
แต่นางยังคงไปที่เรือนหลีอิน ไปพบจี๋อิ๋ง
แม้จะบอกว่าจี๋อิ๋งถูกกักบริเวณ แต่อารมณ์ของนางกลับดียิ่ง พอรู้ว่าโจวเสาจิ่นกำลังจะไปเมืองเป่าติ้ง นางก็กล่าวขึ้นอย่างยินดีว่า “อีกไม่กี่วันข้าก็จะได้กลับบ้านแล้ว ชังโจวอยู่ใกล้เมืองเป่าติ้งยิ่ง ถึงเวลานั้นข้าจะไปเยี่ยมเจ้า”
เห็นจี๋อิ๋งไม่เป็นอะไร โจวเสาจิ่นถึงได้วางใจลง ไปที่จวนสี่
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนส่งนางจนถึงปากประตูเรือนเจียซู่
ส่วนเหอเฟิงผิงผู้เป็นสะใภ้ใหญ่เก้าและเฉิงเจียไปส่งนางจนถึงท่าเรือข้างทะเลสาบของเมืองจินหลิง
ถึงแม้เรือที่โจวเสาจิ่นนั่งจะเป็นเรือสำราญของโจวเจิ้น ทว่าภายในกล่องกลับบรรจุป้ายชื่อของเฉิงจิงที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวมอบให้นางก่อนออกเดินทางเอาไว้
เมื่อเปรียบเทียบกับความหวาดกลัวตอนเดินทางไปจิงเฉิงในชาติก่อนแล้ว นางทั้งสงบและไม่กระวนกระวาย
นางจะนั่งเรือไปเยี่ยมโจวชูจิ่นที่เจิ้นเจียงก่อน จากนั้นเดินทางต่อไปที่เมืองเป่าติ้ง
สะใภ้ใหญ่เก้าย้ำกำชับนางซ้ำๆ ว่าให้ระมัดระวัง ทว่าเฉิงเจียกลับกอดนางเอาไว้พร้อมกับร้องไห้ออกมา “เสาจิ่น เจ้าจะต้องดูแลตัวเองให้ดี! รอข้าแต่งงานออกเรือนไปแล้ว ข้าจะรับเจ้าไปเที่ยวที่ลั่วหยาง ถึงตอนนั้นพวกเราพี่น้องอยากทำอะไรก็จะได้ทำสิ่งนั้น ไม่ว่าผู้ใดก็อย่าได้คิดจะชักสีหน้าให้พวกเราอีก!”
โจวเสาจิ่นหัวเราะ กล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นเจ้าก็จะต้องดีกับหลี่จิ้งให้มากสักหน่อยถึงจะถูก! หากข้าไปแล้ว พวกเจ้าสองสามีภรรยาไม่ลงรอยกัน ข้าไหนเลยจะมีที่ให้พักอาศัยได้!”
เฉิงเจียถูกนางเย้าแหย่จนหัวเราะออกมาทั้งน้ำตา กล่าวขึ้นว่า “เจ้ามีจิตใจชั่วร้ายเช่นนี้ได้อย่างไร ข้ายังไม่ทันได้แต่งออกไปเลย เจ้าก็เฝ้ารอให้พวกข้าทะเลาะกันแล้ว”
โจวเสาจิ่นหัวเราะร่า
กูที่สิบเจ็ดของตระกูลกู้และคุณหนูของตระกูลกัวเองก็ทยอยส่งมามาข้างกายมาส่งนางเช่นกัน
โจวเสาจิ่นขึ้นเรือสำราญไปท่ามกลางสายตาอาลัยอาวรณ์ของทุกคน โบกมือลาญาติและบ่าวรับใช้ที่เคยอยู่กับนางมาหลายปี
เรือค่อยๆ แล่นออกจากท่าเรือช้าๆ
โจวเสาจิ่นยืนอยู่ตรงหัวเรือ มองเมืองจินหลิงที่ยิ่งอยู่ก็ยิ่งเล็กลงเรื่อยๆ ไปจากสายตาของตัวเอง
นางหลั่งน้ำตาออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
“คุณหนูรอง คุณหนูรองเจ้าคะ” ชุนหว่านเองก็รู้สึกโศกเศร้ายิ่งนัก นางหยิบผ้าเช็ดหน้าให้โจวเสาจิ่นเช็ดน้ำตา “ด้านนอกนี้ลมแรงนัก ระวังจะต้องลมจนล้มป่วยเอาได้ พวกเรากลับเข้าไปพักข้างในเถิดเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นกลับเข้ามาในห้องโดยสารด้วยจิตใจหดหู่ เปิดหน้าต่างออก ทรุดกายนั่งลงบนตั่งเคลือบข้างหน้าต่าง
มีสาวใช้เด็กเข้ามากระซิบกล่าวเสียงเบาว่า “คุณหนูรอง อากาศเย็นยิ่งนัก ข้ากลัวว่าลมหนาวจะเสียดแทงจนถึงกระดูก จึงต้มน้ำขิงมาให้เล็กน้อย ท่านรีบดื่มขณะที่กำลังร้อนๆ เถิดเจ้าค่ะ!”
โจวเสาจิ่นเงยหน้าขึ้นมาอย่างประหลาดใจ “เสี่ยวถาน?”
เสี่ยวถานเอียงคอพร้อมกับหัวเราะ ใบหน้าเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ กล่าวขึ้นว่า “นายท่านสี่บอกว่า เห็นข้าทำอะไรมีไหวพริบดี ข้างกายของท่านยังขาดคนปรนนิบัติอยู่สองสามคน จึงมอบพวกข้าให้ท่าน วันนี้ฟ้ายังไม่ทันสว่างพวกข้าก็ตื่นขึ้นมาแล้ว และถูกส่งมาขึ้นเรือเจ้าค่ะ…”
“พวกข้าหรือ” ดวงตาของโจวเสาจิ่นเบิกกว้างยิ่งขึ้น “ยังมีผู้ใดอีกอย่างนั้นหรือ”
เสี่ยวถานจึงหันไปมองทางปากประตูห้องโดยสาร
โจวเสาจิ่นเห็นสตรีแต่งงานแล้วผู้หนึ่งสวมเสื้อเจี๋ยเอ่าผ้าไหมลู่สีเขียวนกแก้วยืนเงียบๆ อยู่ตรงปากประตูของห้องโดยสาร
ปิ่นเงินบนศีรษะของนางเปล่งประกายแวววาวอยู่ใต้แสงแดด ใบหน้าแต้มยิ้มน้อยๆ นั้นทั้งดูอ่อนโยนและใจดี
“ซางมามา!” โจวเสาจิ่นร้องขึ้นอย่างประหลาดใจ
“เป็นบ่าวเองเจ้าค่ะ!” ซางมามายิ้มพร้อมกับก้าวออกมายอบกายทำความเคารพโจวเสาจิ่น เอ่ยขึ้นว่า “นายท่านสี่บอกว่า คนข้างกายคุณหนูรองล้วนเป็นสาวใช้เด็กกันทั้งนั้น มีเพียงฝานมามาผู้เดียวที่เป็นสตรีแต่งงานแล้ว จึงให้ข้ามาเป็นคู่หูของฝานมามา จะได้ช่วยกันดูแลคุณหนูรองให้ดีเจ้าค่ะ…”
นั่นก็หมายความว่า ท่านน้าฉือยังคงใส่ใจนางเป็นอย่างยิ่ง!
โจวเสาจิ่นคิดถึงความเย็นชาและเหินห่างของเฉิงฉือในวันนั้น ในใจทั้งรู้สึกหอมหวานและปวดแปลบ
สุดท้ายแล้วท่านน้าฉือก็ยังคงใส่ใจดูแลเรื่องของนางอยู่!
นางรีบเชิญให้ซางมามาลุกขึ้นมา เอ่ยถามว่า “ที่พักของท่านจัดเตรียมเสร็จเรียบร้อยหรือยัง”
ซางมามายิ้มร่าพร้อมกับพยักหน้า กล่าวขึ้นว่า “จัดเตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้ว อยู่ข้างๆ ห้องของคุณหนูรอง หากทางด้านนี้ของท่านมีความเคลื่อนไหวอะไรทางด้านโน้นของข้าล้วนได้ยินทุกอย่างเจ้าค่ะ” จากนั้นกล่าวขึ้นอย่างมีนัยยะว่า “เรือเคลื่อนตัวออกมาแล้ว คุณหนูรองคงไม่ไล่พวกข้าลงจากเรือหรอกกระมัง ไม่อย่างนั้นในสถานที่ที่ไม่คุ้นเช่นนี้ พวกข้าไม่รู้ว่าจะกลับเมืองจินหลิงอย่างไร เกรงว่าคงต้องเป็นขอทานตามถนนเสียแล้ว”
โจวเสาจิ่นเม้มปากกลั้นหัวเราะ
ทันใดนั้นก็รู้สึกฟ้าสูงแผ่นดินกว้างขึ้น เป็นความรู้สึกสบายใจและมั่นคงอย่างที่อธิบายออกมาไม่ได้
นางสั่งชุนหว่านว่า “ให้หรูอี้รับใช้อยู่ข้างกายซางมามาก็แล้วกัน!”
หรูอี้เป็นบ่าวที่สืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่นของโจวเสาจิ่น ก่อนออกเดินทางไปเมืองเป่าติ้งในครั้งนี้หม่าฟู่ซานเลือกสาวใช้เด็กมาให้นางสองคน ในจำนวนนั้นผู้หนึ่งมีนามว่าจี๋เสียง ส่วนอีกผู้หนึ่งมีนามว่าหรูอี้ ทั้งสองคนล้วนยังมีอายุไม่เกินแปดถึงเก้าปี แววตาสุกใส แค่มองก็รู้ว่าฉลาดมีไหวพริบยิ่ง
ชุนหว่านขานรับคำอย่างยิ้มแย้ม
ดูออกว่านางเองก็ดีใจเป็นอย่างมากเช่นกัน
ทุกคนต่างหัวเราะกันอย่างมีความสุข
บรรยากาศบนเรือพลันเปลี่ยนเป็นอบอุ่นมีชีวิตชีวาขึ้นมา ราวกับว่าทุกคนได้กลับมาที่เรือนหานปี้ซานอีกครั้ง
โจวเสาจิ่นรับมื้อเที่ยงอยู่บนเรือด้วยความสบายใจ และหลับกลางวันไปหนึ่งตื่น
เสี่ยวถานกับชุนหว่านยกเม็ดบัวต้มเห็ดหิมะดอกไป่เหอที่นางชอบเข้ามา ส่วนซางมามานั่งเป็นเพื่อนนางอยู่ตรงหัวเตียงสอบถามนางเกี่ยวกับสถานการณ์ของตระกูลโจว
เดินทางเช่นนี้อยู่สองวัน พวกนางก็มาถึงเมืองเจิ้นเจียง
คนของตระกูลเลี่ยวได้รับข่าวแล้ว จึงให้พ่อบ้านและมามาที่มีความรอบรู้มารออยู่ที่ท่าเรือล่วงหน้าแล้วหนึ่งวัน
โจวเสาจิ่นสวมหมวกคลุมหน้าเอาไว้ ปล่อยให้ซางมามาประคองไปขึ้นเกี้ยวของตระกูลเลี่ยว
ระหว่างทาง นางแอบเลิกผ้าม่านขึ้นมองสำรวจเมืองเจิ้นเจียง
ธงหลากหลายสีสัน ท้องถนนที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คน เสียงร้องตะโกนขายของไม่หยุดไม่หย่อน ดูจอแจเบียดเสียดกว่าเมืองจินหลิง ทว่ากลับขาดความขึงขังและใหญ่โตส่วนนั้นของเมืองจินหลิงไป
นางยิ้มพร้อมกับปล่อยผ้าม่านลง เข้าจวนตระกูลเลี่ยวไปด้วยจิตใจที่ลิงโลด
พี่สาวตั้งครรภ์แล้ว จึงดูมีน้ำมีนวลกว่าตอนก่อนออกเรือนเล็กน้อย ฉือเซียงนำสาวใช้และป้ารับใช้ประมาณเจ็ดถึงแปดคนยืนรายล้อมนางขณะยืนรออยู่ตรงปากประตูเรือนชั้นใน ป้ารับใช้ผู้หนึ่งในจำนวนนั้นยังกล่าวขึ้นอย่างกระวนกระวายว่า “สะใภ้ใหญ่ ท่านนั่งลงเถิดเจ้าค่ะ! ท่านยืนมาเกือบจะหนึ่งเค่อแล้วนะเจ้าคะ!”
โจวเสาจิ่นที่ก้าวเท้าออกมาแล้วข้างหนึ่งได้ยินแล้วก็หัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
ตอนพี่สาวอยู่ที่ซอยจิ่วหรูมิได้ทำตัวเอิกเกริกเช่นนี้
ดูท่าทางแล้วก็ทราบได้ว่าพี่สาวมีชีวิตที่ดีในตระกูลเลี่ยว
นางลงมาจากเกี้ยวด้วยรอยยิ้ม
โจวชูจิ่นเดินเข้ามาด้วยน้ำตาคลอหน่วยทั้งสองข้าง “เสาจิ่น! ข้าเฝ้ารอคอยการมาถึงของเจ้ามาโดยตลอด!”
โจวเสาจิ่นพุ่งตัวเข้าหาอ้อมกอดของพี่สาว
ป้ารับใช้ผู้นั้นตกใจจนใบหน้าซีดเผือด รีบกล่าวขึ้นว่า “คุณหนูตระกูลโจวเจ้าคะ ท่านระวังด้วยเจ้าค่ะๆ สะใภ้ใหญ่ของพวกข้าตั้งครรภ์แล้ว”
“ข้ารู้ๆ!” โจวเสาจิ่นซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของพี่สาวครู่หนึ่ง กล่าวอย่างน่ารักน่าเอ็นดูว่า “ข้าไม่มีทางทำให้พี่สาวบาดเจ็บอย่างแน่นอน!”
โจวชูจิ่นเองก็ตำหนิป้ารับใช้ผู้นั้นว่ามากเรื่อง เอ่ยกับโจวเสาจิ่นอย่างช่วยไม่ได้เล็กน้อยว่า “เจ้าเองก็อย่าโทษนางเลย เป็นแม่สามีที่หามาให้ดูแลข้า นางจึงระมัดระวังเกินกว่าเหตุไปบ้าง!”
โจวเสาจิ่นพยักหน้าด้วยดวงหน้ายิ้มตาหยีจนดวงตาและคิ้วโก่งโค้ง สั่งซางมามาว่า “ตกรางวัลให้นางสิบเหลี่ยงเงิน!”
บรรยากาศโดยรอบหยุดนิ่งไปชั่วขณะ
ซางมามาประหนึ่งไม่รู้เรื่องอย่างไรอย่างนั้น ยิ้มพลางหยิบถุงเงินหนึ่งถุงยื่นส่งให้ป้ารับใช้ผู้นั้น
ป้ารับใช้ผู้นั้นได้สติคืนกลับมา รีบคุกเข่าลงกล่าวขอบคุณ
โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “มีรางวัลให้กับทุกคน”
เสียงคุกเข่าดังพึ่บพับอยู่ครู่หนึ่ง
โจวชูจิ่นลอบขมวดคิ้วมุ่น แต่ก็ไม่อาจต่อว่าอะไรโจวเสาจิ่นต่อหน้าบรรดาบ่าวรับใช้หนึ่งกลุ่มนี้ ได้แต่กล่าวขึ้นว่า “ข้าจัดเตรียมห้องเอาไว้ให้เจ้าเรียบร้อยแล้ว ไปล้างหน้าล้างตาก่อนแล้วข้าค่อยพาเจ้าไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่า”
ฮูหยินผู้เฒ่าของตระกูลเลี่ยวคือท่านย่าทวดของเลี่ยวเส้าถังผู้เป็นพี่เขย
ท่านย่าของเขาเสียชีวิตแล้ว
ชาติก่อนหลังจากที่ตระกูลเฉิงเกิดเรื่องแล้ว ก็เป็นท่านย่าทวดผู้นี้ที่คิดจะขับไล่โจวชูจิ่นผู้เป็นพี่สาวของนาง
นางยิ้มพร้อมกับจับมือของพี่สาวเอาไว้ ถามถึงสุขภาพของนางขึ้นมา
“ข้าสบายดี” เมื่อโจวชูจิ่นเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ดวงหน้าพลันดูสดชื่นแจ่มใสเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน “ลูกในท้องก็ไม่ดื้อไม่ซน ข้ากินได้นอนได้อย่างสบาย ไม่ต่างอะไรกับเวลาปกติ เริ่มแรกหากมิใช่เพราะพวกฉือเซียงเอ่ยทักข้า ข้าคงยังไม่รู้ว่าตัวเองตั้งท้องแล้ว…”
สีหน้าของโจวเสาจิ่นหม่นหมองลง
ชาติก่อน ก็เพราะเป็นเช่นนี้พี่สาวถึงได้แท้งบุตรคนแรกไป
ต่อมาเมื่อท้องเฉิงฟาง ก็ไม่มีอาการอะไรเลยเช่นกัน
หรือว่านาง…ก็จะ…