ตอนที่เฉิงฉือเดินเข้ามาในเรือนฝูชุ่ยนั้น กลับเห็นว่าในเรือนเต็มไปด้วยหีบสัมภาระ
เขายืนอยู่ตรงต้นการบูรที่ยังคงเขียวชอุ่ม ทันใดนั้นก็รู้สึกหายใจติดขัดขึ้นมาเล็กน้อย
เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น หากเสาจิ่นยังอยู่ที่ซอยจิ่วหรูต่อไป ไม่ว่าจะด้วยเหตุและผลก็ไม่ค่อยเหมาะสมแล้ว
เขาเข้าใจเป็นอย่างดี
แต่ตอนอยู่ในโถงรับแขกนั้น เขาได้พิจารณาเผื่อนางทุกๆ จุดแล้ว ทว่าก็ยังไม่ได้พิจารณาถึงปัญหาข้อนี้เลยสักนิด
นอกจากนี้เขามองว่าโจวเสาจิ่นยังเด็ก ต่อให้นางจะรู้สึกอย่างไร แต่ด้วยนิสัยขี้กลัวและอ่อนแอของนางแล้ว อย่างไรก็ต้องรออีกสักช่วงหนึ่งถึงจะรวบรวมความกล้ามาบอกเขาได้…ตอนที่นางจะจากไปก็น่าจะเข้าฤดูหนาวแล้ว
แต่สิ่งที่ทำให้เขาคาดไม่ถึงมาก่อนเลยก็คือ ดูเหมือนว่าพอกลับถึงเรือนหานปี้ซานนางก็เริ่มจัดเก็บข้าวของแล้ว
สายตาของเฉิงฉือหยุดอยู่ที่กระถางดอกเบญจมาศสีหมึกที่เมื่อก่อนโจวเสาจิ่นเคยวางมันไว้ตรงมุมกำแพงทว่าตอนนี้ถูกพวกสาวใช้ย้ายไปวางไว้ตรงใต้โถงทางเดิน
เห็นได้ชัดว่าเสาจิ่นคิดจะเอามันไปด้วย!
นางรักต้นไม้ดอกไม้ รักสิ่งของเก่าๆ ที่ตนเคยใช้ ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็เอาไปด้วย
เขานึกถึงภาพเหตุการณ์ตอนที่นางเพิ่งย้ายมาที่เรือนฝู่ชุ่ยใหม่ๆ
ตอนรดน้ำดอกไม้นางพูดกับดอกซานฉาที่นางปลูกเอาไว้หลายกระถางเหล่านั้นเป็นครั้งคราวว่า ย้ายมาอยู่ที่ใหม่อีกแล้ว พวกเจ้าคุ้นชินหรือยัง…
ดวงตาของเฉิงฉือประหนึ่งร่วงหล่นลงไปในดงเข็มนับหมื่นนับพันเล่ม ถูกทิ่มแทงจนเจ็บปวดยิ่งนัก
เสาจิ่นช่างเหมือนกับคนเร่ร่อนผู้หนึ่งจริงๆ จากเรือนหว่านเซียงมาถึงเรือนฝูชุ่ย จากเรือนฝูชุ่ยไปที่ถนนผิงเฉียว จากถนนผิงเฉียวไปยังเมืองเป่าติ้ง…คล้ายกับว่าที่ผ่านมาไม่มีที่ใดที่เป็นบ้านของนาง!
เพราะฉะนั้นนางถึงได้เลี้ยงดอกไม้เอาไว้ในกระถางเท่านั้น ไม่เคยปลูกต้นไม้ลงดินในลานบ้านเลย!
เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน
เพราะสุดท้ายแล้วโจวต้าเฉิงคือบิดาของนาง
มิใช่มีคนเคยกล่าวเอาไว้หรือว่า บ้านคือที่ๆ มีบิดามารดาอยู่ด้วย
นางกลับไปอยู่ข้างกายบิดาของตัวเอง ก็เพียงพอให้นับได้ว่ามีบ้านสักหลังหนึ่งแล้วกระมัง!
เฉิงฉือออกจากเรือนฝู่ชุ่ยไปอย่างเงียบเชียบเหมือนกับตอนมา เดินไปที่เรือนหลัก
เฉิงสวี่นอนหลับไปแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกำลังนั่งหลับตาอยู่บนหัวเตียงของเขาสวดมนตร์ให้เฉิงสวี่ฟัง
เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหว ฮูหยินผู้เฒ่ากัวลืมตาขึ้น กล่าวเสียงเบาออกมาประโยคหนึ่งอย่างไม่แปลกใจเลยสักนิดว่า “เจ้ากลับมาแล้วหรือ” จากนั้นก็ลุกขึ้นมา
เฉิงฉือก้าวออกไปประคองฮูหยินผู้เฒ่ากัว ทั้งสองคนไปนั่งที่ห้องรับแขก รอให้สาวใช้นำน้ำชาและของว่างมาให้และถอยออกไปทั้งหมดแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถึงได้กล่าวขึ้นว่า “เรื่องด้านนอกนั่นจัดการเรียบร้อยดีหรือไม่”
“เรียบร้อยแล้วขอรับ!” เฉิงฉือกล่าวเสียงเบา “สร้างกับดักขึ้นมาสักสองสามอัน ให้จวนรองกับจวนสามต่างสงสัยซึ่งกันและกัน หวาดผวาอยู่อย่างไม่เป็นสุขไปก็แล้วกัน รอให้ถึงเวลาที่ใช้งานพวกเขาได้ค่อยจัดการเก็บกวาดพวกเขาอีกที”
ถึงแม้แววตาของเขายังคงสว่างสุกใส สีหน้ายังคงอบอุ่นเช่นเดิม ทว่ากลับทำให้คนรู้สึกว่าเขารู้สึกหดหู่ใจเล็กน้อยอย่างอธิบายไม่ได้
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอดไม่ได้กล่าวขึ้นอย่างลังเลว่า “จื่อชวน เจ้าไม่พอใจเจียซ่านเป็นอย่างมากใช่หรือไม่”
ไม่อย่างนั้นจะยอมให้จี๋อิ๋งทุบตีเจียซ่านได้อย่างไร
เฉิงฉือปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็น กล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “เรื่องของจี๋อิ๋ง ท่านอย่าสนใจเลยขอรับ ถ้าพี่สะใภ้ใหญ่ถามถึง ก็บอกไปว่าข้าขายออกไปแล้ว เป็นการปิดปากนาง”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้า ไม่สะดวกจะไปเซ้าซี้เรื่องนี้อีก กล่าวขึ้นว่า “เสาจิ่นอยากกลับไปที่เมืองเป่าติ้ง…”
ท่าทางของเฉิงฉือดูเคร่งขรึมขึ้นมา กล่าวขึ้นว่า “ก่อนหน้านี้ได้ยินคนพูดกันว่าเลี่ยวเส้าถังคิดจะไปร่ำเรียนที่จิงเฉิง ข้าจะเขียนจดหมายไปให้ท่านอารองฉบับหนึ่ง ให้เขาช่วยชี้แนะเลี่ยวเส้าถังสักหน่อยก็แล้วกัน! จากนั้นข้าจะดูว่ามีที่ทางอะไรดีๆ บ้างหรือไม่ จะซื้อสักที่จดชื่อเป็นนามของเสาจิ่น”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ยินแล้วก็พรูลมหายใจยาวออกมาครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “เป็นตระกูลเฉิงของพวกเราที่ผิดต่อนาง เจ้าช่วยดูแลให้มากสักหน่อยก็แล้วกัน!” จากนั้นเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างหัวเสียว่า “สุดท้ายเรื่องของเจียซ่านว่าอย่างไรบ้าง”
เฉิงฉือกล่าว “จะว่าอย่างไรได้ นอกเสียจากว่า เจียซ่านถูกคนวางยา สติสัมปชัญญะไม่ครบถ้วน เข้าใจผิดคิดว่าจี๋อิ๋งเป็นเสาจิ่น ต้องการดึงตัวจี๋อิ๋งมาหาท่านที่นี่ จี๋อิ๋งคิดว่าเจียซ่านจะล่วงเกินนางขณะที่มึนเมา จึงพลั้งมือตีเจียซ่าน…”
เขาเล่าเรื่องหลักๆ ที่สำคัญให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวฟัง
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวตามความคิดของเฉิงฉือได้อย่างรวดเร็ว พึมพำกล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นเรื่องที่ต้องตรวจสอบอย่างเร่งด่วนที่สุดคือใครเป็นคนวางยาเจียซ่าน ตั้งแต่พ่อครัวแม่ครัวใหญ่ที่โรงครัวไปจนถึงบ่าวรับใช้ที่รับผิดชอบดูแลน้ำชาและสุราในห้องโถง ทุกคนล้วนเป็นผู้ต้องสงสัยทั้งสิ้น…ถือโอกาสนี้ปล่อยคนออกไปสักกลุ่มหนึ่งดีหรือไม่ โดยเฉพาะคนที่รับใช้อยู่ข้างกายท่านผู้นำตระกูลจวนรอง อยู่รับใช้มาเป็นเวลานาน จึงเหลี่ยมจัดอยู่บ้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คนประเภทนี้ถึงแม้จะใช้การใช้งานได้สะดวกมือ แต่ก็ชอบอ้างอำนาจของนายรังแกผู้น้อยกว่า ระเบียบปฏิบัติที่พึงมีภายในบ้านล้วนถูกทำลายไปจนหมด ข้าคิดว่า ให้เป็นตอนที่รับบ่าวชายข้างกายของเฉิงสือเข้ามา จวนรองน่าจะไม่คัดค้านถึงจะถูก”
หากเป็นเช่นนี้ ก็จะได้ถือโอกาสจัดการสอดแทรกคนเข้าไปในแต่ละจวน
เห็นได้ชัดว่าเฉิงฉือไม่สนใจเรื่องพวกนี้ กล่าวขึ้นว่า “ท่านจัดการเองก็ได้แล้วขอรับ”
หลังจากที่สองแม่ลูกพูดคุยกันว่าครึ่งค่อนวันแล้ว เฉิงฉือเข้าไปดูเฉิงสวี่ที่หลับสนิทไปแล้วอีกครั้งหนึ่ง ถึงได้กลับไปที่เรือนหลีอิน
ฝึกคัดอักษรได้ครู่หนึ่ง ก็ถึงเวลาต้องพักผ่อนแล้ว
แต่เขากลับไม่รู้สึกง่วงเลยสักนิด จึงหยิบตำราเล่นหมากออกมาตั้งกระดานหมากตามในตำรา เดินหมากคนเดียวซ้ายขวาอยู่พักใหญ่ กระทั่งไหวซานเข้ามาเร่งเขา เขายังเอ้อระเหยอยู่อีกครู่หนึ่ง ถึงได้ขึ้นเตียงไปนอนหลับพักผ่อน
วันรุ่งขึ้นหลังจากรับประทานมื้อเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว เฉิงฉือกำลังคุยเรื่องของสิบสามห้างกับฉินจื่อผิงอยู่ ชิงเฟิงเข้ามารายงานว่า “นายท่านสี่ พ่อบ้านหม่าของตระกูลโจวมา ต้องการรับตัวคุณหนูรองกลับไปอยู่ที่ถนนผิงเฉียวสักสองสามวันขอรับ”
เฉิงฉือจัดเสื้อผ้าเล็กน้อย
ไหวซานตกใจเป็นอย่างมาก
ทุกครั้งที่เฉิงฉือทำกิริยาท่าทางเช่นนี้ออกมา ล้วนเป็นตอนที่เขาอารมณ์ไม่ดีเป็นอย่างมากทั้งนั้น
เขาอดเกลี้ยกล่อมไม่ได้ว่า “นายท่านสี่ เรื่องที่โพรงหินนั้นเป็นคุณชายใหญ่สวี่ที่ผลีผลามเกินไปบ้าง ท่านคุยกับเขาดีๆ ก็ได้แล้วขอรับ ส่วนทางด้านของคุณหนูรองตระกูลโจว ได้รับความทุกข์ใจใหญ่หลวงขนาดนั้น ท่านไม่สู้ชดเชยให้คุณหนูรองสักหน่อย!”
เฉิงฉือได้ยินแล้ว ก็ชำเลืองมองเขาอย่างคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “จากที่เจ้ากล่าวมา ควรจะชดเชยให้คุณหนูรองอย่างไรดีหรือ”
ไหวซานรู้สึกว่าขนแขนตั้งชันไปหมด ระหว่างที่กำลังลนลานนั้นจึงไม่ทันได้คิดอย่างถี่ถ้วน กล่าวขึ้นว่า “ฮูหยินโจวที่เมืองเป่าติ้งนั้นเป็นมารดาเลี้ยงของคุณหนูรอง ข้าได้ยินคนพูดกันว่า มารดาเลี้ยงกับลูกเลี้ยงมักจะไม่ถูกกันโดยธรรมชาติ ต่อให้จะใกล้ชิดสนิทสนมกันเพียงใด นั่นก็เป็นเพียงการแสดงออกมาภายนอกเท่านั้น ข้าว่าไม่สู้ท่านให้จี๋อิ๋งตามคุณหนูรองไปด้วยดีกว่า ข้อหนึ่งให้จี๋อิ๋งได้มีสถานที่พักที่หนึ่ง ข้อสองคุณหนูรองเองก็จะได้มีสหายผู้หนึ่ง และข้อสามถ้าหากว่าฮูหยินโจวผู้นั้นไม่ให้เกียรติคุณหนูรอง จี๋อิ๋งก็ยังช่วยดูแลคุณหนูรองได้ระยะหนึ่ง อย่างมากอีกสองปี คุณหนูรองเองก็น่าจะออกเรือนแล้ว ถึงเวลานั้นจี๋อิ๋งก็จะได้ปลดเกษียณจากหน้าที่และได้กลับชังโจว”
เฉิงฉือลูบคางของตัวเองเบาๆ ครุ่นคิดพิจารณาถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างจริงจังอย่างเหนือความคาดหมาย
ไหวซานถือโอกาสตอนที่เฉิงฉือไม่ได้สังเกตนั้นเช็ดหน้าผากของตัวเอง
ฉินจื่อผิงกลับก้มศีรษะลงด้วยจิตใจเลื่อนลอยเล็กน้อย
***
โจวเสาจิ่นไปกล่าวอำลาฮูหยินผู้เฒ่ากวน ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนและสะใภ้ใหญ่เก้าที่แต่งเข้าเรือนมาใหม่
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนและฮูหยินใหญ่เหมี่ยนต่างทราบตื้นลึกหนาบางของเรื่องนี้ดี แต่ละคนต่างทอดถอนหายใจพร้อมกับหลั่งน้ำตา ดึงซองแดงให้นางซองหนึ่ง บอกว่าให้นางเอาไว้เป็นค่าขนม แล้วก็ย้ำกำชับนางว่าเมื่อได้วันเดินทางไปเมืองเป่าติ้งแล้วจะต้องให้คนมาแจ้งพวกนางสักครั้ง ถึงเวลานั้นพวกนางจะได้ไปส่งนาง มีเพียงสะใภ้ใหญ่เก้าที่ยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น คิดว่าเป็นเพราะเฉิงสวี่ถูกคนวางยาแล้วไปหลู่เกียรติจี๋อิ๋งแล้วถูกโจวเสาจิ่นมาพบเห็นเข้า และเพื่อมิให้จวนหลักอับอาย จึงตัดสินใจไปเยี่ยมโจวเจิ้นที่เมืองเป่าติ้งเท่านั้นจริงๆ
นางจับมือโจวเสาจิ่นเอาไว้พลางกล่าวอย่างแสนเสียดายว่า “วันแรกที่ข้าแต่งเข้ามาพี่ชายเก้าของเจ้าก็เอ่ยกับข้าว่า ให้ข้าปฏิบัติกับเจ้าเสมือนเป็นน้องสาวแท้ๆ ผู้หนึ่ง ข้านึกถึงคนที่งดงามประหนึ่งหยกแกะสลักที่เจอตอนตระกูลเฉิงไปวางของหมั้นชุดเล็กผู้นั้น ในใจก็ชื่นชอบไปก่อนแล้วถึงสามส่วน กำลังคิดว่าอย่างไรก็ต้องสนิทสนมกับน้องสาวรองให้ได้ แต่ผู้ใดจะรู้ว่าข้ากับเจ้ายังไม่ทันได้พูดคุยกันดีๆ เลยสักประโยค เจ้าก็ต้องไปเมืองเป่าติ้งแล้ว…”
โจวเสาจิ่นกล่าวปลอบโยนนางว่า “ข้าไม่ได้เจอท่านพ่อมานานแล้ว จึงอยากไปฉลองปีใหม่กับท่านพ่อสักครั้งเท่านั้น ระหว่างทางจะแวะไปเยี่ยมพี่สาวที่เจิ้นเจียงด้วยเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนได้ยินแล้วรีบกล่าวขึ้นว่า “เสาจิ่น เจ้าจะไปเยี่ยมพี่สาวของเจ้าหรือ ช่วยข้านำของไปฝากพี่สาวของเจ้าด้วย!”
โจวเสาจิ่นขานรับคำยิ้มๆ
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนรั้งให้นางอยู่กินข้าวด้วยแล้วค่อยไป
โจวเสาจิ่นปฏิเสธอย่างสุภาพว่า “ข้าเพียงกลับไปอยู่ไม่กี่วันเท่านั้น ไม่แน่ว่าผ่านไปเพียงไม่กี่วันก็เข้ามาเยี่ยมท่านที่จวนอีกแล้วก็เป็นได้เจ้าค่ะ!”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนไม่ได้บีบคั้นอีก ไปส่งนางจนถึงโถงทางเดินด้วยตัวเอง
สะใภ้ใหญ่เก้าเป็นตัวแทนของฮูหยินผู้เฒ่ากวนไปส่งโจวเสาจิ่นที่ประตู
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนมองเงาร่างของเด็กสาวที่งดงามดุจดอกไม้ทั้งสองคนหายลับเข้าไปในดงต้นไม้เขียวขจี ทอดถอนใจกล่าวว่า “ล้วนเป็นเฉิงเจียซ่านผู้นั้นที่สร้างปัญหาขึ้นมา!”
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนมิได้เปล่งเสียงอันใด ทว่ากล่าวอยู่ในใจว่า ถ้าให้เสาจิ่นรั้งอยู่ที่เรือนเจียซู่ตั้งแต่แรกก็คงจะดี!
โจวเสาจิ่นกลับถึงเรือนฝูชุ่ย หีบสัมภาระต่างๆ ก็จัดเก็บเกือบจะเสร็จแล้ว
นางยืนอยู่บนขั้นบันไดของโถงหลัก มองไปที่เรือนหลีอิน ลังเลกว่าครู่ใหญ่ สุดท้ายก็ตัดสินใจเดินไปกล่าวอำลาเฉิงฉือ
ขอเพียงครั้งนี้!
นางขอเห็นเขาเป็นครั้งสุดท้าย!
ต่อจากนี้ไปจะเก็บซ่อนเขาเอาไว้ในใจ
หากมีโอกาสได้เจอหน้ากันอีก นางจะต้องปฏิบัติต่อเขาประหนึ่งเป็นน้าแท้ๆ ของตัวเองให้ได้ จะไม่คิดเกินเลยเช่นนี้อีก
แต่ถ้าไม่มีโอกาสได้เจอกันอีก ยามนางหวนนึกถึงขึ้นมา ท่านน้าฉือสวมเสื้อผ้าแบบไหน ใช้เครื่องหอมอะไร พูดอะไรกับนาง และมีท่าทางอย่างไรบ้าง…ก็จะเพียงพอให้นางได้นึกถึงไปตลอดชีวิตแล้ว!
โจวเสาจิ่นเปลี่ยนไปสวมชุดเพ่ยจื่อผ้าไหมหังโจวสีชมพูปักลายแมกไม้ กระโปรงจีบสีเขียวเข้มมันเงาไร้ลวดลาย สวมเพ่ยจื่อผ้าโปร่งสีชมพูทับด้านนอกอีกหนึ่งผืน หวีผมขึ้นเป็นมวย สวมตุ้มหูไข่มุกใต้ขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียวคู่หนึ่ง แล้วไปหาเฉิงฉือ
เฉิงฉือชี้ไปที่เพ่ยจื่อผ้าโปร่งบนตัวนาง กล่าวขึ้นว่า “นี่เป็นแบบที่กำลังเป็นที่นิยมหรือ”
โจวเสาจิ่นยิ้มพร้อมกับพยักหน้า พลางคิดว่าต่อให้ได้พบกันอีกก็ไม่รู้ว่าจะเป็นเมื่อไร ต่อให้ต้องเสียหน้าก็ไม่รู้ว่าผู้อื่นเคยหัวเราะเยาะนางหรือไม่ จึงทำใจกล้าเอ่ยขึ้นว่า “สวยหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่เลว!” เฉิงฉือมองอีกครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “ดูประหนึ่งสวมทับเอาไว้ด้วยควันหนึ่งชั้นก็ไม่ปาน ไม่เลวเลยทีเดียว”
โจวเสาจิ่นเม้มปากหัวเราะ
เฉิงฉือจึงกล่าวขึ้นว่า “เจ้ามาได้จังหวะพอดี เจ้ากลับไปอยู่ที่เมืองเป่าติ้งช่วงหนึ่ง ไม่รู้ว่าหลี่ซื่อผู้นั้นจะเป็นคนนิสัยเช่นไร หากนางสร้างปัญหาให้ เจ้าก็ไม่มีใครให้พูดคุยด้วย เดิมทีอยากให้จี๋อิ๋งตามเจ้าไปที่เป่าติ้งด้วย แต่ครั้งนี้นางทำได้ไม่เลวเลย ก่อนหน้านี้ข้ารับปากแล้วว่าจะปล่อยนางกลับไปที่ชังโจว หากเป็นเช่นนี้ข้างกายเจ้าก็จะไม่มีคนให้ใช้งานได้แล้ว…ข้าก็เลยจะให้ซางมามาไปอยู่เป่าติ้งเป็นเพื่อนเจ้าช่วงหนึ่ง ต่อไปเวลาเจ้ามีเรื่องอะไร ก็ให้ปรึกษาหารือกับนาง!”
“ซางมามาหรือเจ้าคะ” โจวเสาจิ่นประหลาดใจ เอ่ยขึ้นว่า “เช่นนั้นข้างกายท่านก็จะไม่มีคนคอยรับใช้แม้แต่คนเดียวแล้วมิใช่หรือ”
“มิใช่ว่ามีไหวซาน มีหนานผิงอยู่หรอกหรือ” เฉิงฉือกล่าวอย่างไม่เห็นด้วย “ซางมามาอายุมากกว่า มีเรื่องอะไรก็ควบคุมอารมณ์ได้ดีกว่า นางไปน่าจะเหมาะสมกว่าจี๋อิ๋ง”
โจวเสาจิ่นก้มศีรษะลง น้ำตาคลอไหวระริกอยู่เต็มเบ้าตา
อย่างไรเสียหลี่ซื่อก็เป็นมารดาในนามของนาง ท่านน้าฉือกลัวว่าหลี่ซื่อจะเอาเปรียบนาง จี๋อิ๋งคนอารมณ์ร้อนดุจไฟปะทุผู้นี้ก็ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ดังนั้นก็เลยจะให้ซางมามาติดตามไปอยู่กับนางที่เป่าติ้งด้วยกระมัง
เหตุใดท่านน้าฉือถึงได้ดีกับนางขนาดนี้
ทำให้นางรู้สึกทั้งเจ็บปวดใจและเสียใจไปด้วย…
เฉิงฉือเห็นนางก้มหน้า ไม่ได้มีท่าทางดีใจเลยสักนิด จึงเดินออกจากหลังโต๊ะหนังสือมาที่เบื้องหน้าของนางอย่างอดไม่ได้ กล่าวเสียงอบอุ่นว่า “เป็นอะไรไป อยากให้จี๋อิ๋งกลับไปกับเจ้าด้วยใช่หรือไม่ หรือไม่ ข้าให้เสี่ยวถานตามเจ้าไปอยู่ที่เป่าติ้งด้วยดีหรือไม่ มีนางอยู่เป็นเพื่อน เจ้าเองก็จะได้มีคนให้พูดคุยด้วยสักคนหนึ่ง…”