คนจากตระกูลฉินเก็บกล่องกลับก่อนจะคำนับแล้วขอตัวลา ฮูหยินใหญ่เฉิงเองยังคงตกตะลึงไม่หาย
“ท่านพี่” เสียงของฮูหยินหวังดังขึ้นจากด้านหลัง ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าที่เดินออกมาจากหลังฉากบังลม นางมองดูฮูหยินใหญ่เฉิงท่าทางอาลัยอาวรณ์ “ท่านคงไม่ได้หวั่นไหวใช่ไหมเจ้าคะ”
ฮูหยินใหญ่เฉิงยิ้ม
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร” นางเอ่ย “หากมาสู่ขอแม่นางคนอื่นก็ว่าไปอย่าง นางคงรู้ดีอยู่แก่ใจ ว่าคนพวกนั้นไม่มีทางทำเพื่อนาง”
เพียงแต่คนพวกนั้นคงทำเพื่อนางจริงๆ
ทว่าฮูหยินหวังคงเอ่ยออกไปเช่นนั้นไม่ได้ คนเราก็ต้องคิดเพื่อหาประโยชน์ให้ตนเองก่อนอยู่แล้ว
ฮูหยินหวังหัวเราะกลบเกลื่อนความละอายใจ
“อันที่จริง แม่นางเฉิงต่างหากที่ถูกใจชายสิบเจ็ดของข้า” นางเอ่ย
“แน่นอนอยู่แล้ว ชายสิบเจ็ดของพวกเราช่างแสนดี” ฮูหยินใหญ่เฉิงเอ่ย
“เช่นนั้นเรื่องนี้เป็นอันว่าตกลง ฤกษ์เกิดก็แลกกันแล้ว ที่เหลือข้ากลับไปจัดการไม่กี่วันก็คงเรียบร้อยดี วันที่สิบเอ็ดจัดงานหมั้น วันปีใหม่พอดี” ฮูหยินหวังเอ่ยด้วยรอยยิ้มก่อนจะเดินออกไป
“เจ้าเหนื่อยนัก พักเสียก่อนค่อยกลับไม่ดีกว่าหรือ” ฮูหยินใหญ่เฉิงเอ่ยรั้งไว้ด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ กลับตอนนี้เลยน่าจะดีกว่า” ฮูหยินหวังเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“เช่นนั้นก็ไปเถิด ชายสิบเจ็ดคงรอแย่แล้ว” ฮูหยินใหญ่เฉิงเอ่ยพลางยิ้มก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปส่ง แข้งขาของฮูหยินหวังก็พลันอ่อนแรงขึ้นมายามที่ก้าวเท้าพ้นประตู นางยกมือคว้ากรอบประตูไว้เพื่อพยุงตัว
ชายสิบเจ็ด…
คนที่บ้านก็คงตั้งตารอคอยอยู่ จะทำเช่นไรดี
“แม่นางอู๋ จะทำเช่นไรดี คิดไม่ถึงเลยว่าตระกูลเฉิงจะปฏิเสธ ไม่…ไม่เหมือนกับที่ฮูหยินคาดไว้เลย”
หน้าประตูเรือนตระกูลเฉิง สองแม่นมเอ่ยถามด้วยสีหน้าร้อนรน
หญิงสาวที่ถือกล่องใส่ฤกษ์เกิดในมือก็ดูท่าทางเป็นกังวลไม่น้อย
“ไม่หวั่นไหวเลยสินะ….” นางเอ่ยขึ้นพลางเหลียวกลับไปมองที่หน้าประตูใหญ่ของเรือนตระกูลเฉิง
ถึงได้บอกว่าโลกภายนอกมีเรื่องไม่คาดฝันมากมายสินะ
“แล้วพวกเราจะกลับไปเช่นนี้หรือเจ้าคะ” แม่นมนางหญิงถาม
“ไม่ได้หรอก” แม่นางอู๋เอ่ยพลางส่ายหน้าในทันที “ยังไม่ทันได้ทำอะไรเลย จะกลับไปได้อย่างไร”
“แล้วตอนนี้ต้องไปหาผู้ใดอีกหรือเจ้าคะ” เหล่าแม่นมถาม “ไปหาแม่นางเฉิงเลยหรือ”
พูดถึงเพียงเท่านั้น ก็มีเสียงครื้นเครงดังมาจากมุมหนึ่งในตรอก คนกลุ่มหนึ่งพากันพูดคุยหัวเราะเดินออกมา
“ระบำไฉ่ฉิวของที่นี่งดงามนัก พวกท่านเฉาอยู่ที่เมืองหลวงคงไม่เคยเห็นที่ใดครึกครื้นถึงเพียงนี้” จินเกอร์เอ่ยอย่างภาคภูมิใจ ก่อนจะพูดต่อท้ายอีกว่า “ข้าเลี้ยงเอง”
พ่อบ้านเฉาและคนอื่นๆ ก็พลันหัวเราะขึ้นมาอย่างไม่เกรงใจ
“เอาสิ ให้จินเกอร์ถังแตกไปเลย” พวกเขาเอ่ยหัวเราะยกใหญ่
“จินเกอร์!”
มีเสียงของหญิงสาวดังขึ้น
“จินเกอร์ที่ติดตามแม่นางเฉิงหรือ”
พ่อบ้านเฉาและจินเกอร์รวมทั้งคนอื่นๆ พากันชะงักไป ก่อนจะมองไปที่เหล่าแม่นมที่เดินยิ้มเข้ามาใกล้ บวกกับรถม้าและองครักษ์บนหลังมาอีกสี่นายที่อยู่ด้านหลัง
“แม่นมตระกูลฉินหรือ” พ่อบ้านเฉารู้ในทันใดเมื่อเห็นตราสัญลักษณ์บนรถม้า เขารีบก้าวเดินเข้าไปคำนับในทันที
พวกเขาพบหน้ากันอยู่บ่อยครั้ง เหล่าแม่นมตระกูลฉินถอนหายใจอย่างโล่งอก แม้พวกนางจะไม่รู้จักคนมากมายตรงหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกสนิทชิดเชื้อเหลือเกิน
“พวกเจ้าเพิ่งมาถึงหรือว่าได้พบแล้ว…” พ่อบ้านเฉาถามพลางชี้นิ้วไปที่เรือนตระกูลเฉิง
“ได้พบแล้วเจ้าค่ะ…” แม่นางอู๋ตอบ “กำลังคิดอยู่พอดีว่าจะทำเช่นไรต่อ”
พ่อบ้านเฉาเข้าใจในทันที
“เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน พวกเจ้าเดินทางมาไกลคงเหนื่อยไม่น้อย พวกเราไปนั่งพักเหนื่อย ดื่มชาคุยกันดีหรือไม่” เขาถาม
แม่นางอู๋และเหล่าแม่นมยิ้มก่อนจะคำนับให้
“เช่นนั้นก็ขอบคุณยิ่งนักเจ้าค่ะ”
“จินเกอร์ เจ้าหามาสิ….” พ่อบ้านเฉาหันกลับมาถามหยอกล้อจินเกอร์“ โรงน้ำชาที่ดีที่สุดของที่นี่…”
“ตามข้ามาเลย” จินเกอร์ยืดอกเอ่ย
บ้านสวนตระกูลฟ่านคือร้านอาหารที่โด่งดังที่สุดในเจียงโจว ท่ามกลางความคึกคักนั้นกลับให้บรรยากาศแสนเงียบสงบ นอกจากเรือนสองชั้นติดถนนที่แบ่งเป็นห้องอาหารส่วนตัวแล้ว ด้านหลังยังมีสวนดอกไม้ที่ตกแต่งอย่างงดงามตระการตา
ที่แบบนี้หากเป็นแต่ก่อนบ่าวตัวน้อยอย่างเขาคงไม่มีทางได้เหยียบเข้ามา ทว่าหากเป็นบ่าวข้างกายของท่านชายก็พอจะมีโอกาสบ้าง เมื่อก่อนจินเกอร์ไม่เคยแม้แต่จะหวังว่าจะได้เป็นบ่าวข้างกายของท่านชายคนไหน ที่แบบนี้ก็ไม่เคยคิดว่าจะได้ย่างเท้าเข้ามา ทว่ายามนี้เขากลับเดินเข้ามาในฐานะเจ้าภาพเลี้ยงแขกเสียอย่างนั้น
พอเห็นว่ามีคนเดินมา คนงานที่รับหน้าที่ดูแลรถม้าก็วิ่งเข้ามาใกล้ ก่อนจะโค้งคำนับเอ่ยต้อนรับ ทว่าพอเห็นว่าคนข้างหน้าเป็นผู้ใดก็อดมองจนตาค้างไม่ได้
“เอ๊ะ เจ้าคือจินเกอร์ที่บ้านอยู่ริมน้ำหลังเรือนตระกูลโจวมิใช่หรือ” คนงานผู้นั้นถามอย่างตกตะลึง
จินเกอร์จำเขาได้เช่นกัน
“ท่านพี่เป่า” เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มพลางยกมือตบบ่าอีกคน “ไม่ได้เจอกันตั้งนาน”
“เจ้า… ได้ข่าวว่าถูกขายไปแล้ว….” คนงานหนุ่มถามก่อนจะมองจินเกอร์หัวจรดเท้า
แม้เสื้อผ้าที่จินเกอร์สวมใส่จะดูแปลกตา ทว่าคนงานร้านบ้านสวนตระกูลฟ่านอย่างเขาเห็นแล้วก็อดอิจฉาตาร้อนไม่ได้ มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นผ้าชั้นดี เพราะมีแต่เหล่าท่านชายลูกเศรษฐีมีเงินที่มากินข้าวในห้องส่วนตัวหรือว่านั่งชมสวนเท่านั้นที่สวมเสื้อผ้าเช่นนี้
เป็นไปไม่ได้หรอก
“อะไรของท่าน พูดจาเหลวไหล รีบไปเตรียมห้องที่ใหญ่ที่สุด ห้องที่ดีที่สุดให้พวกข้าเร็ว” จินเกอร์เอ่ย
ห้องที่ใหญ่ที่สุด ห้องที่ดีที่สุดอย่างนั้นหรือ!
“จินเกอร์ เจ้าบ้าไปแล้วหรือ เจ้ารู้หรือไม่ว่าราคาเท่าใด…” คนงานหนุ่มอ้าปากค้างก่อนจะลากตัวเขาไปกระซิบ
จินเกอร์ล้วงถุงเงินออกมาจากอกก่อนจะโยนให้เขา เดิมทีคนงานต้อนรับที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็กำลังเตรียมตัวเข้าไปต้อนรับ ทว่าพอได้ยินคนดูแลม้าพูดก็ชะงักไป แต่พอได้ยินอีกครั้งว่าต้องการห้องที่ใหญ่ที่สุดและห้องที่ดีที่สุด เขาจึงยืนเหยียดหลังตรงอีกครั้งก่อนจะเดินเข้าไปหาอย่างไม่ลังเล
“ท่านลูกค้า เชิญตามข้ามาได้เลยขอรับ” เขาเอ่ยเสียงทุ้มก้องกังวาน ก่อนจะเบียดคนงานดูแลม้าไปอีกฝั่ง แล้วโค้งตัวผายมือเชิญ
พอเห็นจินเกอร์และคนอีกราวยี่สิบคนกรูกันเข้าไป คนงานดูแลม้าได้แต่ยืนเหม่ออยู่หน้าประตูจนแทบลืมโบกรถ
บ้าไปแล้วกระมัง…
ถึงจะไม่สั่งอาหารมากิน แต่เพียงแค่เปิดห้องที่ใหญ่ที่สุดและดีที่สุดของร้านก็คงเท่ากับค่าแรงทั้งปีของเขา หากสั่งสุราอาหารมากินดื่มกันอีกก็คงเท่ากับเงินที่เขาหามาได้ทั้งชีวิตกระมัง นี่แค่สมมุติว่าเขาจะได้อยู่ทำงานเป็นคนงานที่ร้านบ้านสวนตระกูลฟ่านไปตลอดชีวิตนะ
ไม่ใช่ว่าประเดี๋ยวจะถูกทุบตีลากคอออกหรอกนะ
ไม่สนใจว่าบ่าวข้างนอกจะร้อนใจแค่ไหน จินเกอร์และพรรคพวกก็เข้ามานั่งในห้องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แม้บ้านสวนตระกูลฟ่านจะมีแต่แขกผู้ดีมีเงิน แต่ปีหนึ่งคงมีไม่กี่หนที่จะมีลูกค้ามากมายมาเหมาทั้งห้องเช่นนี้ ทั้งร้านจึงโกลาหลวุ่นวายขึ้นมาในทันใด
ผู้ดูแลร้านออกมาต้อนรับด้วยตนเอง เครื่องเคียงและผลไม้มากมายถูกยกขึ้นโต๊ะเป็นอันดับแรก ก่อนอาหารหลักชามเล็กชามใหญ่จะตามกันมา นางคณิกาที่ถูกเรียกตัวมาร้องเพลงขับกล่อมรินเหล้าก็เดินเข้ามาพร้อมกับฉินในอ้อมอก บรรยากาศครื้นเครงแต่ไม่วุ่นวาย แม้จะวุ่นวายแต่ก็ไม่ทำให้รำคาญใจ
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ผู้ดูแลร้านและคนงานต้อนรับจึงออกจากห้องไป เหล่าผู้คนภายในห้องรินชาให้แก่กัน เคล้าคลอไปกับเสียงบรรเลงดนตรีของนางคณิกา แม่นางอู๋จากตระกูลฉินโค้งคำนับให้แก่พ่อบ้านเฉา
“ฮูหยินสั่งให้พวกข้ามาจัดการเรื่องเรื่องหนึ่ง ทว่ากลับถูกฮูหยินใหญ่เฉิงปฏิเสธเสียแล้ว ไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดี จึงอยากขอคำแนะนำจากท่านเฉา” นางเอ่ยเปิดประเด็น
“เกี่ยวกับนายหญิงของข้าหรือ” พ่อบ้านเฉาถาม
แม่นางอู๋พยักหน้า
“ก่อนมาฮูหยินกำชับกับพวกข้าว่าอย่าได้รบกวนแม่นางเฉิง ให้ไปคุยกับญาติผู้ใหญ่ก่อน แต่ตอนนี้ท่านคิดว่าข้าควรทำเช่นไรดีเจ้าคะ” นางเอ่ย
พ่อบ้านเฉายิ้มก่อนจะฉันไปทางจินเกอร์
“เช่นนั้นพวกเจ้าต้องถามจินเกอร์แล้วล่ะ” เขาตอบ
ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นคนของตระกูลโจว จินเกอร์ต่างหากที่เป็นบ่าวข้างกายของแม่นางเฉิง
สายตาทุกคู่จ้องมองมาที่จินเกอร์
“มีเรื่องอันใดหรือ มีผู้ใดคิดกลั่นแกล้งนายหญิงของข้าหรือ” จินเกอร์เอ่ยถามอย่างไม่เกรงใจ
“เรื่องหมั้นหมายของแม่นางเฉิงน่ะ” แม่นางอู๋ตอบอย่างไม่ลังเล
จินเกอร์ถอนหายใจก่อนจะยิ้มออกมา
“เรื่องเล็กแค่นี้ ไม่ต้องไปหานายหญิงของข้าหรอก” จินเกอร์เอ่ยพลางโบกมือปัด
เรื่องเล็กอย่างนั้นหรือ
ถามถูกคนจริงๆ เหมือนกับที่ฮูหยินพูดไว้ไม่มีผิด
“เช่นนั้น…” แม่นางอู๋รีบขยับเข้ามาใกล้ก่อนจะเอ่ยถามอย่างนอบน้อม “พวกข้าควรทำเช่นไร”
“พวกท่านไปพบฮูหยินใหญ่มาแล้ว” จินเกอร์ยกชาขึ้นดื่มไปพลางเคี้ยวข้าวไปพลาง จนเสียงพูดอู้อี้ “แต่ยังไม่ได้ไปพบฮูหยินรองนี่…”
ฮูหยินรองอย่างนั้นหรือ
พวกนางไม่คุ้นเคยกับที่นี่สักเท่าไหร่ พอเข้าไปพบฮูหยินใหญ่เฉิงก็ถูกปฏิเสธซึ่งหน้าเสียขนาดนั้น หากต้องไปพบฮูหยินรองอีกคงปวดหัวไม่น้อย
แม่นางอู๋ยิ้มก่อนจะโค้งคำนับให้
“เช่นนั้นคงต้องรบกวนจินเกอร์ช่วยไปบอกที” นางเอ่ย
คนงานที่รู้จักกับจินเกอร์เอาแต่นั่งคุกเข่าอยู่ที่หน้าประตู ไม่สนใจแขกไปใครมา ถึงจะมีสายตาจ้องเขม็งมาหรือเสียงตะโกนด่าก็ยังไม่ยอมห่างจากหน้าประตู เพราะกลัวว่าจะพลาดอะไรดีๆ ไป ทว่ารอจนกระทั่งพวกจินเกอร์พากันเดินออกมา ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะเกิดปากเสียงทะเลาะวิวาทเพราะมาหลอกกินแต่ไม่มีเงินจ่าย แถมยังเห็นผู้ดูแลร้านที่ออกไปส่งแขกด้วยตนเองกำลังยิ้มหน้าแป้นอีกต่างหาก
“นายน้อย เดินทางปลอดภัยขอรับ เชิญมาอุดหนุนอีกคราวหน้าขอรับ” ผู้ดูแลร้านเอ่ยด้วยรอยยิ้ม แถมยังช่วยจัดแจงเสื้อผ้าของจินเกอร์อีกต่างหาก
คนกลุ่มนั้นพูดคุยหัวเราะพลางพากันเดินออกไป คนดูแลม้ามองตาค้างยืนสติเลื่อนลอยยืนอยู่กับที่
“ท่านชายจากตระกูลใดกัน มือเติบแท้…”
“นั่นสิ นั่นสิ เจ้าดูเงินที่เขาให้ข้า ใช้ได้เป็นเดือนเชียวล่ะ…”
นางคณิกาสองคนให้ห้องเอ่ยหัวเราะชอบใจ
ให้เงินนางคณิกามากถึงเพียงนั้นเชียวหรือ
คนดูแลม้ากลืนน้ำลอยลงคอ
“นั่นสินะ ท่านชายจากตระกูลใดกัน เหตุใดแต่ก่อนถึงไม่เคยเห็นเลย มือเติบแท้” ผู้ดูแลร้านเอ่ยน้ำเสียงประหลาดใจ
ท่านชายตระกูลใดอย่างนั้นหรือ
“ไม่ใช่ท่านชายอะไรทั้งนั้น” คนผู้แลม้าเอ่ยออกไปอย่างอดไม่ได้ “เขา…เขาก็แค่บ่าวตระกูลเฉิงเหนือ!”
เป็นแค่บ่าวอย่างนั้นหรือ!
ทุกคนตกตะลึงตาค้าง
“บ่าวตระกูลเฉิงอย่างนั้นหรือ” ผู้ดูแลร้านเอ่ยอย่างประหลาดใจ “โธ่ สวรรค์ ตระกูลเฉิงนั้นร่ำรวย เพียงแต่ร่ำรวยถึงเพียงนี้เลยหรือ!” บ่าวคนหนึ่งใช้เงินคราวละหนึ่งร้อยก้วน แถมยังดูไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด!
แม่นางเฉิงเจ็ดเดินกระทืบเท้าตึงตังเข้ามาในโถงของฮูหยินรองเฉิงพร้อมกับสายลมหนาว ก่อนจะนั่งลงข้างเตาผิงเอามิออังกับไฟ
“พี่สาวเจ้าล่ะ” ฮูหยินรองเฉิงรีบมองออกไปนอกประตู ในมือหิ้วตะเกียงอุ่นมือของตนเพื่อรอยื่นให้กับเฉิงเจียวเหนียง
ทว่านอกประตูกลับว่างเปล่า มีเพียงเหล่าแม่นมและสาวใช้ที่ยืนกันกระจัดกระจาย
“นางเป็นบ้า ข้าไม่ออกไปเดินเล่นข้างนอกกับคนบ้าหรอกเจ้าค่ะ” แม่นางเฉิงเจ็ดเอ่ยหน้าบูดบึ้ง
“เด็กคนนี้นี่ ข้าสั่งเจ้าว่าอย่างไร” ฮูหยินรองเฉิงขมวดคิ้วตำหนิ “นางเป็นบ้า ก็เลยให้เจ้าคอยตามเอาใจ แค่คนบ้าคนเดียวเจ้าคอยเอาใจนางไม่ได้เชียวหรือ”
“นางฟังคำข้าเสียที่ไหน” แม่นางเฉิงเจ็ดเถียง “ข้าบอกให้ไปทางหนึ่ง นางก็จะไปอีกทางหนึ่ง…”
“ใครบอกให้สั่งนางกัน เจ้าจะทำตามใจนางไม่ได้เชียวหรือ!” ฮูหยินรองเฉิงเอ่ยพลางดีดหน้าผากนาง
“ข้าไม่ไปเดินเล่นฝั่งใต้อันแสนโสโครกนั่นกับนางหรอก” แม่นางเฉิงเจ็ดส่งเสียงฮึดฮัด “นางเป็นบ้า! ทำอะไรก็แปลกพิกลนัก!”
ฮูหยินรองเฉิงไม่สนใจนางอีกต่อไป ก่อนจะรีบถามถึงเฉิงเจียวเหนียง
“ไปเดินเล่นที่ตรอกฝั่งใต้เจ้าค่ะ แล้วก็ไปที่ริมแม่น้ำด้วย” แม่นมตอบ “ฮูหยินวางใจเถิดเจ้าค่ะ แม่นางเจ็ดแค่หนาวจึงกลับมาก่อน ยังทิ้งคนไว้ที่นั่นให้ติดตามนางอยู่เจ้าค่ะ”
ฮูหยินรองเฉิงพยักหน้า
“เอาตะเกียงอุ่นมือไปให้นาง” นางสั่ง
พอสิ้นเสียงก็มีแม่นมวิ่งพรวดพราดเข้ามาจากด้านนอก
“ฮูหยิน ฮูหยิน”
“มีอะไรอีก” ฮูหยินรองเฉิงขมวดคิ้วถาม
“ฮูหยิน ฮูหยิน เมื่อครู่ข้าได้ข่าวมาจากแม่เฒ่าที่ซักผ้าอยู่ริมน้ำ บอกว่ามีคนมาสู่ขอแม่นางเฉิงเจ้าค่ะ” แม่นมเอ่ยอย่างรีบร้อน
“ไม่เห็นแปลก ก็ตกลงหมั้นหมายแล้วนี่…” ฮูหยินรองเฉิงเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์นัก
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ ไม่ใช่คนจากฝั่งตระกูลฮูหยินใหญ่ แต่เป็นคนจากเมืองหลวง เอาฤกษ์เกิดมาตั้งมากมาย ไม่ใช่แค่ตระกูลเดียวด้วยนะเจ้าคะ” แม่นมเอ่ยในทันใด
ฮูหยินรองเฉิงร้องอ๋อ ทว่าพอได้สติกลับมาก็กระเด้งตัวนั่งหลังตรงในทันใด
“เจ้าว่าอย่างไรนะ” นางถามน้ำเสียงร้อนรน
แม่นมขยับเข้ามาใกล้
“เพิ่งมากันเมื่อครู่เจ้าค่ะ คนข้างนอกก็เห็นกันหมด บอกว่ามาจากจวนองค์หญิงตระกูลฉิน” นางเอ่ยเสียงแผ่วเบา
“องค์หญิงรึ!” ฮูหยินรองเฉิงตะโกนลั่น ก่อนจะยื่นมือออกไปคว้าแขนของแม่นมไว้ในทันใด