สองแม่นมเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน ส่วนฮูหยินรองเฉิงนั่งไม่ติดที่ เอาแต่เดินวนไปมา สองแม่นมพอเห็นดังนั้นก็รีบรุดเข้าไปหา
“เป็นอย่างไรบ้าง” นางถาม
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ เป็นเช่นนั้นจริงๆ มีแม่นมมากันสองนาง พูดจาสำเนียงเมืองหลวง ไปพบฮูหยินใหญ่มาแล้วด้วยเจ้าค่ะ” แม่นมเอ่ยพลางพยักหน้า “แม่นมที่อยู่ระเบียงหน้าห้องได้ยินเองกับหู บอกว่าจะมาสู่ขอ ไม่ใช่แค่ตระกูลเดียวด้วยนะเจ้าคะ แถมยังเอาฤกษ์เกิดมาพร้อมด้วย”
ฮูหยินรองเฉิงนั่นลงอย่างเหม่อลอย
“มาสู่ขอเด็กบ้านั่น…สู่ขอเจียวเหนียงจริงๆ หรือ” ฮูหยินรองเฉิงถามออกไปอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
“ไม่ผิดแน่เจ้าค่ะฮูหยิน บ่าวหน้าประตูยังบอกอีกว่า ตอนที่มาเคาะประตูคำแรกที่พูดก็คือเฉิงเจียวเหนียง บอกว่าจะมาพบญาติผู้ใหญ่ของเฉิงเจียวเหนียง” แม่นมเอ่ยในทันใด
“ตอนนั้นฮูหยินหวังก็อยู่ในห้องด้วยเจ้าค่ะ” แม่นมอีกนางหนึ่งเอ่ยเสริม
เป็นแผนของตระกูลโจวหรือ
ตระกูลโจวถึงขนาดเชิญองค์หญิงมาเชียวหรือ
ฮูหยินรองเฉิงกุมมือนิ่งไปครู่ใหญ่ ก่อนจะตบโต๊ะดังลั่นขึ้นมา
“ญาติผู้ใหญ่อย่างนั้นหรือ! พวกเราต่างหากที่เป็นญาติผู้ใหญ่ตัวจริงของเจียวเหนียง! นางก็แค่ป้า!” นางตวาดลั่น “กล้าดีอย่างไรถึงมาเจ้ากี้เจ้าการเรื่องหมั้นหมายของเจียวเหนียง!”
น่าโมโห น่าโมโหยิ่งนัก ลองนึกดูว่าหากมีคนมาขัดขวางเรื่องหมั้นหมายของแม่นางเจ็ดเช่นนี้เหมือนกัน นางจะทำเช่นไร
นางจะตบคนผู้นั้นจนปากฉีก! นางจะเอาให้ตายกันไปข้างหนึ่ง!
“แม่นางหวังสิบ เจ้ากับข้า…” ฮูหยินรองเฉิงตะโกนลั่น ก่อนจะพรวดลุกขึ้นแล้วเดินออกไป
เหล่าแม่นมตกใจก่อนจะรีบเข้าไปรั้งนางไว้
“ฮูหยิน ฮูหยิน ถามให้รู้แจ้งเสียก่อนแล้วค่อยลงมือเถิดเจ้าค่ะ คนจากตระกูลฉินก็ยังไม่กลับนะเจ้าคะ…”
“ใช่เจ้าค่ะ ใช่เจ้าค่ะ ไปดูให้เห็นเสียก่อนว่าเป็นคนอย่างไร หากมีเพียงยศถาบรรดาศักดิ์เป็นองค์หญิง แต่อันที่จริงแล้วมิใช่คนดี ก็คงไม่มีประโยชน์อันใด…”
เหล่าแม่นมพากันพูดไม่หยุดปาก
ใช่แล้ว ตอนนี้ยังไม่รู้ชัดแจ้ง จะวู่วามไม่ได้
“รีบไปตามนายรองกลับมา!” ฮูหยินรองเฉิงตะโกนเสียงกระหืดกระหอบ
เด็กบ้านั่นกลับมามิใช่เรื่องสลักสำคัญอันใด นายรองเฉิงจะกลับมาหรือไม่ก็มีค่าเท่ากัน แต่ยามนี้มีคนที่ดีกว่ามาสู่ขอก็ย่อมสร้างผลประโยชน์มากกว่า จึงกลายเป็นเรื่องใหญ่โตขึ้นมา
“บอกเขาว่าข้าจะตายแล้ว รีบกลับคืนนี้เลย พรุ่งนี้เช้าต้องถึงบ้าน!”
ฮูหยินรองเฉิงเร่งเร้าจนแม่นมรีบกุลีกุจอวิ่งออกไป
“แม่นมตระกูลฉินพักอยู่ที่ใด” นางถาม
“พักอยู่โรงเตี๊ยมในเมืองเจ้าค่ะ” แม่นมตอบ
ฮูหยินรองเฉิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกวักมือเรียกให้แม่นมขยับเข้ามาใกล้
“พวกเจ้าคิดหาหนทางให้พวกนางรู้ความตั้งใจของเราให้ได้….” นางเอ่ยกระซิบ
แม่นมเข้าใจความนัยแอบแฝง ก่อนจะพยักหน้ารับแล้วออกไป
ฮูหยินรองเฉิงยืนเหม่ออยู่กลางห้องโถงอยู่ครู่ใหญ่
“เจียวเหนียงเล่า” พอได้สตินางก็เอ่ยถามในทันที
“อยู่ที่ริมแม่น้ำเจ้าค่ะ…” แม่นมเดินเข้ามาใกล้ก่อนจะตอบ ในมือยังถือตะเกียงอุ่นมือไว้ “ฮูหยินจะให้ข้าเอาตะเกียงอุ่นมือไปให้นางหรือเจ้าคะ…”
“ยังไม่รีบไปอีก!” ฮูหยินรองเฉิงขมวดคิ้วตวาดลั่น “หากเจียวเหนียงของข้าหนาวตาย เจ้ารับผิดชอบไหวหรือ”
แม่นมขานรับในทันใดแล้วรีบวิ่งออกไป
สายลมพัดผ่านผิวน้ำ กิ่งก้านของต้นหลิวที่ไร้ใบขยับไหว แม้จะเป็นฤดูหนาวก็ยังดูชดช้อยงามตา
“นายหญิง หนาวหรือไม่เจ้าคะ” ปั้นฉินถาม
เฉิงเจียวเหนียงที่กำลังมองไปยังแม่น้ำส่ายหน้า
“คราวก่อนพวกเรามองมาจากบนสะพาน แต่เพราะค่ำแล้วจึงเห็นไม่ค่อยชัด” ปั้นฉินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม พลางมองไปที่แม่น้ำเช่นกัน
แม่น้ำตื้นเขิน เหล่าแมลงพากันปรากฏตัวขึ้นในฤดูหนาว ขณะเดียวกันก็มีเหล่าแม่นมซักผ้าอยู่ริมน้ำ เสียงหัวเราะพูดคุยจากดังลอยมาตามสายน้ำ
“ไม่ควรมีแม่น้ำ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
ปั้นฉินได้ยินไม่ชัด
“ว่าอย่างไรนะเจ้าคะ” นางเอ่ยถาม
เมื่อสิ้นเสียง ก็ได้เสียงพูดดังลอยเข้าหูมา
“…คำทำนายบอกว่าดี เพียงแต่ที่นี่ไม่ควรมีแม่น้ำ…”
ขณะนั้นพวกนางกำลังเดินผ่านปากทางของตรอกเล็กๆ เฉิงเจียวเหนียงและปั้นฉินเหลียวไปมองอย่างอดไม่ได้ เห็นว่ามีทั้งเด็กเล็กเด็กโต บ้างก็นั่งยองบ้างก็นั่งลงกับพื้นล้อมเป็นวงอยู่กลางตรอก ทว่ากลับเห็นไม่ชัดว่ากำลังล้อมผู้ใดอยู่ ได้ยินเพียงแต่เสียงดังกังวานลอยมา รวมถึงก้านไม้ไผ่ยาวและธงลายที่โบกสะบัดไปตามแรงลม
“… แม่น้ำไม่ควรตัดผ่านเรือน ท่าทางเดิมทีคงมีคนฝีมือดีมาช่วยดูให้ แม้แม่น้ำจะตัดผ่านเรือนแต่จะทำให้มีลูกหลานมากมาย ทว่าหาความสงบสุขได้ยาก… วันหน้าหากเจ้าออกเรือนไป สิ่งแรกที่ต้องทำคือถมแม่น้ำนี้เสีย เอาล่ะ ข้าทำนายดวงชะตาให้เจ้าแล้ว เจ้าจ่ายมาให้ข้าหนึ่งเหวิน…”
“ข้าไม่มีเงินหรอก!” เสียงเด็กน้อยหัวเราะดังขึ้น
“ได้ที่ไหนกัน ดูดวงแล้วจะให้ข้ากลับมือเปล่าหรือ…” เด็กหนุ่มขึ้นเสียงใส่
ปั้นฉินเผลอหัวเราะออกมา
“นายหญิง โจรใช่ไหมเจ้าคะที่ไม่ยอมกลับมือเปล่า” นางเอ่ยพลางหัวเราะ
เฉิงเจียวเหนียงยิ้มไม่เอ่ยคำใด ก่อนจะละสายตากลับมาแล้วเดินต่อไป
“ไม่มีเงินอย่างนั้นหรือ… ไม่มีเงิน เช่นนั้นเจ้าก็กลับบ้านไปขนมแป้งทอดมาให้ข้ากินก็ได้…”
เสียงหัวเราะชอบใจของชายหนุ่มดังมาจากท้ายตรอก
ที่แท้ก็เป็นพวกต้มตุ๋นหลอกหากินไปวันๆ ปั้นฉินส่ายหน้าก่อนจะรีบเดินตามเฉิงเจียวเหนียงไป ด้านหน้ามีชายร่างใหญ่หกเจ็ดคนวิ่งเข้ามา พวกเขาเหลียวมองซ้ายขวา ก่อนจะวิ่งผ่านเฉิงเจียวเหนียงสองนายบ่าวไป
“พี่หก! ทางนี้!”
เสียงตะโกนดังขึ้นจากด้านหลัง
ปั้นฉินเหลียวกลับไปมองอย่างอดไม่ได้ ก็เห็นว่าคนกลุ่มนั้นหยุดอยู่ที่ปากซอย หนึ่งในนั้นกำลังชี้นิ้วไปข้างใน
“เจ้านักต้มตุ๋นนั่นอยู่ที่นี่!”
นักต้มตุ๋นอย่างนั้นหรือ คงหมายถึงคนที่หลอกเอาของกินจากเด็กๆ เมื่อครู่กระมัง
“เฉิงผิง เจ้าอย่าหนีนะ!”
ด้านหลังเริ่มโกลาหลวุ่นวาย
ปั้นฉินก้าวไปข้างหน้าทว่าหัวกลับชนเข้ากับแผ่นหลังของเฉิงเจียวเหนียง
“นายหญิง” นางเอ่ยอย่างสงสัย
ไม่รู้ว่าเฉิงเจียวเหนียงหยุดเดินตั้งแต่เมื่อใด สายตาของนางดูเหม่อลอย
“เฉิงผิง…” นางเอ่ยคำสองพยางค์นั้นอย่างเชื่องช้า ก่อนหันหลังกลับในทันที
ปั้นฉินจำต้องถอยไปข้างหลัง ก่อนจะเห็นแววตาเป็นประกายของนายหญิง
“นายหญิง เป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ” นางถาม
เฉิงเจียวเหนียงไม่ตอบ แต่กลับวิ่งออกไป
เฉิงผิง!
“นายหญิง!” ปั้นฉินตกตะลึง นี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นนายหญิงวิ่ง จากแต่เดิมที่แทบจะเดินไม่ได้ จากนั้นก็เริ่มเดินอย่างเชื่องช้า พอมาวันนี้แม้นางเคลื่อนไหวกายได้อย่างใจหมาย แต่ก็ยังเยื้องย่างอย่างสง่างาม ไม่เคยแม้แต่จะก้าวฉับๆ เลยสักครั้ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงถกชายกระโปรงวิ่งเลย
เกิดอะไรขึ้น
“เกิดเรื่องแล้ว เกิดเรื่องแล้ว”
เสียงตะโกนของแม่นมที่ดังมากจากด้านนอกทำเอาฮูหยินใหญ่เฉิงตกใจจนผุดลุกขึ้นนั่งอีกครั้ง เป็นเพราะพรวดพราดลุกขึ้นเร็วจนเกินไป ฮูหยินใหญ่เฉิงจึงเวียนหัวจนตาพร่า บั้นเอวก็ปวดหนึบขึ้นมา
“เกิดอะไรขึ้นอีก” นางตะโกนถามอย่างโมโห
“เหมือนว่าแม่นางเฉิงจะมีเรื่องทะเลาะวิวาทเจ้าค่ะ…” แม่นมใบหน้าซีดเผือดคุกเข่าอยู่หน้าประตูห้อง
“แม่นางเฉิงคนไหน” ฮูหยินใหญ่เฉิงตวาดลั่น
กล้าดีอย่างไรถึงมารบกวนเวลาพักผ่อนของนาง นางจะไม่ยอมให้หญิงผู้นั้นใช้แซ่เฉิงอีกต่อไป!
“เฉิงเจียวเหนียงเจ้าค่ะ” แม่นมตอบอย่างร้อนรน
แม่นางผู้นี้ไม่ได้ถูกเรียงลำดับอยู่ในตระกูล ยามเอ่ยถึงจึงกระอักกระอ่วนยิ่งนัก
“นางหรือ” ฮูหยินใหญ่เฉิงตกใจไม่น้อย
“ใช่เจ้าค่ะ ใช่เจ้าค่ะ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น นางพาคนตระกูลโจวไปล้อมเขาไว้แล้วเจ้าค่ะ อยู่ที่ริมน้ำเจ้าค่ะ” แม่นมรีบตอบ
คราวนี้ไปมีเรื่องนอกบ้านเชียวหรือ…
ตระกูลเฉิงของพวกนางไม่เคยต้องอับอายเช่นนี้มาก่อน!
ฮูหยินใหญ่เฉิงยกมือขึ้นมาพยุงบั้นเอว รู้สึกถึงความเจ็ดปวดที่ทวีคูณมากขึ้นเรื่อยๆ
นางกาลกิณี! เข้ามาในเรือนได้ไม่ถึงสองวัน ก็ก่อเรื่องเสียจนหาความสงบสุขไม่ได้ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป นางคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่ถึงปีเป็นแน่!
“รีบไปตามนายใหญ่กลับมา! เดือนนี้ต้องจัดการเรื่องหมั้นหมายให้เสร็จสิ้นเสียที!” นางตะโกนลั่นก่อนเดินออกไปข้างนอกอย่างรีบเร่ง
เหล่าแม่นมขานรับในทันใด
ยามฮูหยินใหญ่เฉิงพาคนออกมาข้างนอก ริมน้ำก็มีผู้คนมากมายมามุงดูกันอย่างคึกครื้นแล้ว ส่วนผู้ติดตามจากตระกูลโจวนับสิบคนกำลังล้อมคนกลุ่มหนึ่งอยู่ในตรอก แต่ละคนท่าทางดูไม่เป็นมิตรเลยสักนิด ราวกลับพร้อมจู่โจมตลอดเวลา
แม้พ่อบ้านเฉาและคนอื่นๆ จะพักอยู่ที่เรือนคนใช้ แต่ก็ยังสั่งการให้คนไปเฝ้าเวรยามทั้งสี่ประตูของเรือนตระกูลเฉิง พอเฉิงเจียวเหนียงออกจากประตูเมื่อใด ผู้ติดตามจากตระกูลโจวย่อมรู้ในทันที ทั้งยังมีอีกสองคนที่คอยติดตามอยู่ห่างๆ พอเห็นเฉิงเจียวเหนียงวิ่งเข้ามาในตรอก แถมในตรอกยังมีเสียงตะโกนโหวกเหวกของชายหนุ่มอีกต่างหาก สององครักษ์ที่คอยตาม คนหนึ่งก็รีบตามเข้าไป ส่วนอีกคนหนึ่งก็วิ่งไปบอกคนที่เฝ้าเวรอยู่หน้าประตูใกล้เคียง
คนหนึ่งส่งข่าว คนหนึ่งรีบตามประกบ ภายในพริบตาเดียวก็มีคนคอยปกป้องนายหญิงอยู่ข้างกาย และมั่นใจได้ว่าจะต้องมีกำลังเสริมเข้ามาเพิ่มอย่างแน่นอน
ยามพ่อบ้านเฉามาถึง ชายที่ชี้นิ้วด่าทอเฉิงเจียวเหนียงก็ถูกทุบตีจนหมอบลงกับพื้นแล้ว ส่วนคนอื่นก็ตกตะลึงเพราะเหล่าผู้ติดตามที่จู่ๆ ก็กรูกันเข้ามา
“รีบพูดออกมา!” พ่อบ้านเฉาตะโกนลั่นพลางชี้นิ้วไปที่ชายที่อยู่เบื้องหน้า
ชายร่างใหญ่หกเจ็ดคนเบื้องหน้ากำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นเหมือนดั่งนกน้อยตัวสั่นเครือ
น่ากลัวชะมัด ก็แค่ตวาดแม่นางผู้นั้นว่ามายุ่งอะไรด้วยก็โดนต่อยจนร่วงลงไปกับพื้นแล้ว แต่ที่แย่ไปกว่านั้นคือแม่นางผู้นั้นเป็นคนขึ้นเสียงใส่พวกเขาก่อน
รู้ดีว่าอย่าได้ล่วงเกินคนฝั่งเฉิงเหนือ แต่นึกไม่ถึงเลยว่าจะมาหาเรื่องคนฝั่งเฉิงใต้ไม่ได้เหมือนกัน
รู้อย่างนี้ก็คงปล่อยให้โดนหลอกเลยตามเลย ก็แค่เงินหนึ่งเหวิน ดูพวกคนตรงหน้าท่าทางเหี้ยมโหดยิ่งนัก ไม่รู้ว่าทุบตีกันเช่นนี้แล้วจะหมดเรื่องหมดราวหรือไม่…
“พวกข้าไม่กล้าแล้ว พวกข้าไม่กล้าแล้ว…” พวกเขาตะโกนดังระงม “นายท่านไว้ชีวิตข้าเถิด”
พ่อบ้านเฉายืนตัวตรงสีหน้าไม่พอใจ ก่อนหันไปหาเฉิงเจียวเหนียง
“นายหญิง พวกมันไม่กล้าแล้วขอรับ” เขาเอ่ย
“ข้าไม่ได้บอกให้พูดเช่นนั้น” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย นางขมวดคิ้วก่อนจะมองไปที่ชายทั้งหกที่คุกเข่าอยู่บนพื้น “เมื่อครู่พวกเจ้าตามหาผู้ใด”
เมื่อครู่ตามหาผู้ใดอย่างนั้นหรือ
คนหนึ่งกำลังจะอ้าปากตอบ ก็ถูกอีกคนที่ท่าทางไหวพริบเร็วกว่าห้ามไว้
“ไม่มีขอรับ ไม่มี” ชายผู้นั้นตอบในทันใด สีหน้าดูเคร่งครึม “พวกข้าไม่ตามหาผู้ใดทั้งนั้น พวกข้าแค่หลงทางมา!”
ดูสิดู เจ้าเล่ห์นัก
เฉิงเจียวเหนียงถามอย่างมีชั้นเชิง เจ้าหมอนี่ก็ตอบอย่างมีเล่ห์เหลี่ยม!
พ่อบ้านพยักหน้าแกมชมเชย
เฉิงเจียวเหนียงมองชายผู้นั้นแล้วหัวเราะออกมา
“ข้าเองก็ตามหาคนผู้นั้นเช่นกัน” นางเอ่ย “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว”
เข้าใจผิดแล้วอย่างนั้นหรือ
ทุกคนพากันนิ่งชะงักไป
ที่แม่นางผู้นี้ตะโกนว่าหยุดเดี๋ยวนี้นะ ที่จริงแล้วกำลังพูดกับเจ้านักต้มตุ๋นผู้นั้นหรอกหรือ
หากพวกเขาไม่ได้ตะโกนกลับไปอย่างเดือดดาลเพราะเข้าใจผิดว่ามีคนเข้ามาห้าม ไม่แน่ว่าคนที่ถูกซ้อมจนตัวสั่นงันงกอยู่บนพื้นตอนนี้คงเป็นเจ้านักต้มตุ๋นนั่น…
“เช่นนั้นก็พูดให้ชัดสิ!” ชายคนหนึ่งอดรนทนไม่ไหวจึงตะโกนออกมาอย่างขุ่นเคือง
พอสิ้นเสียง ผู้ติดตามที่อยู่ข้างกายเฉิงเจียวเหนียงก็ถลึงตาใส่เขาก่อนจะตวาดลั่นในทันที
“เจ้าตวาดผู้ใด” พวกเขาตะโกนลั่น
ชายหนุ่มตกใจกลัวจนผุดลุกขึ้นนั่ง
ก็พาผู้ติดตามมาเสียขนาดนี้ จะให้พูดจากันดีๆ ได้อย่างไร ไม่เข้าใจผิดก็แปลกแล้ว!
“ชายผู้นั้นคือใคร” เฉิงเจียวเหนียงถามอีกครั้ง
“เป็นคนฝั่งเฉิงใต้” คราวนี้เหล่าชายหนุ่มตอบอย่างเร็วไว พลางชี้นิ้วไปในตรอก “ชื่อว่าเฉิงผิง”
เฉิงเจียวเหนียงก้าวเข้ามาใกล้แล้วจ้องมองชายที่พูด
“ชื่อว่าเฉิงผิงอย่างนั้นหรือ” นางทวนคำถามอีกครั้ง
แม่นางน้อยผู้นี้ช่างงดงามนัก น้ำเสียงก็นุ่มนวล เพียงแต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด พอมองหน้านางและได้ยินประโยคที่พูดออกมานั้น เหล่าชายหนุ่มก็รู้สึกเหมือนหัวใจกำลังถูกบีบรัด ราวกับว่าคำตอบของพวกเขานั้นสำคัญยิ่งนัก
“ใช่ ชื่อว่าเฉิงผิง” ชายหนุ่มพยักหน้าอย่างแรง
เฉิงผิง!
เฉิงเจียวเหนียงยืดตัวขึ้นแล้วมองเข้าไปในตรอก
พอเห็นนางเดินเข้าไป ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้นก็พากันนิ่งไป
“รีบตามไป!” พ่อบ้านเฉาเอ่ยพลางม้วนพับแขนเสื้อขึ้นอย่างคล่องแคล่ว ส่วนตัวเองก็รีบตามไปเช่นกัน
ทีแท้ก็ยังจับตัวการไม่ได้นี่เอง
ทุกคนขานรับก่อนจะพากันตามเข้าไป
ชายหนุ่มทั้งหกที่นั่งอยู่บนพื้นหันมาสบตากัน
“แล้วพวกเราล่ะ” คนหนึ่งถามอย่างงุนงง
“หนีสิ จะรอให้พวกเขามาเลี้ยงข้าวเจ้าหรือไร” คนหนึ่งตะโกนขึ้น
เหล่าชายหนุ่มลุกขึ้นยืนก่อนจะเบียดเสียดฝูงชนแล้ววิ่งหนีไป
แม้เสียงตะโกนโหวกเหวกจะหยุดลงแล้วผู้คนที่มามุงดูก็ยังไม่แยกย้าย เพราะถูกผู้ติดตามจากตระกูลโจวยืนขว้างเอาไว้ จึงได้ยินไม่ชัดว่าพวกเขาพูดอะไรกันอยู่ นานกว่าจะมีคนบอกต่อกันมาถึงพอได้รู้เรื่องราวโดยคร่าว
พอฮูหยินใหญ่เฉิงพาคนเข้ามาใกล้ ก็ไม่เห็นทั้งเฉิงเจียวเหนียงทั้งคนตระกูลโจวแล้ว
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่” นางขมวดคิ้วถาม พอมองดูฝูงชนที่กำลังถกเถียงกันอย่างออกรสออกชาติก็พลันหงุดหงิดขึ้นมา
ทันใดนั้นก็มีแม่นมนางหนึ่งเดินเข้ามา
“ฮูหยินเจ้าคะ ได้ความมาว่ามีเรื่องเพราะชายผู้หนึ่งเจ้าค่ะ…”
เพราะชายผู้หนึ่งอย่างนั้นหรือ!
ฮูหยินใหญ่เฉิงประคองบั้นเอวของตนเองไว้ ในหูอื้ออึงไปหมด สายตาพร่ามัวจนเห็นดาว นางอยากจะกระโดดน้ำตายไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด