ตอนที่ 342 สกุลฉินกับระเบิดสายฟ้าลูกใหญ่จากนายท่านเจวี้ยน

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

ฉินซิวเฉินมองดูเหล่านักศึกษาที่เดินขวักไขว่ไปมา พลางดึงหมวกแก๊ปลง: “หลังจากท่านอาวุโสตายไปก็ไม่เหลือใครแล้ว”

“ที่แท้เป็นทายาทสายตรง พ่อบ้านฉินของพวกคุณคงไม่รู้ว่าเธออยู่ที่นี่……” ผู้จัดการร้อง “จิ๊” ขึ้นมาคำหนึ่ง

หากอีกฝ่ายรู้เรื่องมีหรือจะนิ่งนอนใจแบบนี้?

ฉินซิวเฉินนิ่งเงียบ เขาไม่ใช่ทายาทสายตรง ทว่าก็เป็นคนที่ผู้อาวุโสแห่งบ้านสกุลฉินอุ้มเขาออกมาจากถ้ำเสือของพวกคนชั่ว เป็นเหตุผลที่เขาหนีรอดจากพายุลูกนั้นมาได้อย่างยากลำบาก หากไม่มีผู้อาวุโสฉิน เขาคงมีอายุไม่ถึงสิบปีด้วยซ้ำ จนกระทั่งไม่กี่ปีมานี้เส้นสายของเขามากขึ้น ถึงสามารถช่วยพ่อบ้านฉินพาฉินฮั่นชิวกลับมาได้

ทั้งสองคุยกันไม่กี่ประโยค ก็เห็นฉินหร่านเดินหิ้วกระเป๋าออกมาจากหน้าประตูใหญ่

ที่คอยังมีสายหูฟังสีดำพันไว้อยู่

ผู้จัดการหยุดพูด

“พี่ครับ!” ฉินหลิงเดินเข้าไปหาสองก้าวพลางร้องตะโกนเรียกด้วยความดีใจ ดวงตาสีดำสนิทเกิดแสงประกายวาว

ฉินหร่านเดินผ่านฝูงคนด้วยจังหวะก้าวเดินที่ไม่เร็วเกินไปไม่ช้าเกินไป บริเวณหน้าประตูไม่ค่อยมีคนมากนัก ก่อนสายตาหรี่เห็นวัตถุสะดุดตาที่อำพรางทั้งตัวอย่างน่าเกลียด

ฉินซิวเฉินดึงแมสลง ก่อนกดเสียงต่ำพูดว่า “ขึ้นรถก่อน”

ขณะที่พวกเขาเดินกลับขึ้นรถ ไม่ไกลจากตรงนั้นมีผู้ชายสามคนวิ่งเข้ามาหา “ฉินหร่าน ศาสตราจารย์บอกว่าเธอทำแบบฝึกหัดเกือบเสร็จแล้ว ให้พวกฉันยืมดูหน่อยได้ไหม?”

ผู้ชายที่กำลังพูดอยู่สวมเสื้อโค้ตสีดำทับด้านนอก แต่ไม่ได้รูดซิปขึ้น ส่วนสูงชะลูดดูมั่นคง หน้าตาหล่อเหลาคมเข้ม

ฉินหร่านก้มหน้าหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมา ก่อนส่งให้เขา “เพิ่งเขียนเสร็จน่ะ”

เห็นชัดได้ว่าผู้ชายทั้งสามคนคุ้นเคยกับฉินหร่านดี ทั้งไม่มีท่าทางเกรงใจเธอแต่อย่างใด

เมื่อทั้งสามคนเดินจากไปแล้ว ฉินซิวเฉินก็ขึ้นรถ พลางถามเธอ “เพื่อนในคลาสเดียวกันเหรอ?“

“เปล่า” ฉินหร่านเปลี่ยนมือถือหนังสือ

ก่อนหรี่ตามองด้วยสายตาเกียจคร้าน “เป็นรุ่นพี่ปีสองน่ะ”

“คุณไม่ใช่นักศึกษาใหม่เหรอครับ?” ผู้จัดการถือกุญแจรถไว้ในมือ พลางมองฉินหร่านด้วยความตกใจ

ฉินหร่านขึ้นรถ ก่อนถอดหูฟังข้างหนึ่งออกพลางหรี่ตาเล็กน้อย “ใช่แล้ว”

ผู้จัดการนั่งอยู่บนตำแหน่งคนขับเรียบร้อย เขายังอยากถามด้วยว่าทำไมรุ่นพี่ปีสองพวกนั้นถึงต้องมาขอแบบฝึกหัดกับเธอ แต่เมื่อเห็นฉินหร่านจากกระจกรถด้านหลังที่มีสีหน้าเย็นชาและเบื่อหน่าย จึงได้แต่เก็บคำถามไว้ในใจ

ครั้งนี้ฉินหลิงและฉินซิวเฉินออกเดินทางในช่วงบ่าย เนื่องจากมีทั้งเด็กและผู้หญิงอยู่ด้วย ฉินซิวเฉินจึงไม่ได้ดื่มเหล้า เพียงสั่งเครื่องดื่มให้เด็กทั้งสองแทน เมื่อรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฉินหร่านไม่ได้ให้คนมารับ แต่ให้ผู้จัดการพาไปส่งบริเวณปากทางเข้าด้านนอกมหาวิทยาลัยเมืองหลวง

นี่เป็นนิมิตหมายที่ดี อย่างน้อยก็ไม่ทำท่าทีห่างเหินกับเขา

ฉินซิวเฉินสวมเสื้อกันลมตัวใหญ่ ก่อนส่งฉินหร่านลงรถ ไม่กล้าล่วงเกินส่งเธอกลับบ้าน

เพียงยืนอยู่ที่รถ จนมองไม่เห็นเงาของฉินหร่านแล้ว ถึงถอดเสื้อคลุมตัวใหญ่ออก ก่อนเดินขึ้นรถไป

“ซุปตาร์ฉิน หลานสาวของคุณน่าสนใจไม่น้อยเลยนะ” ผู้จัดการหยิบบุหรี่จากกระเป๋าออกมา เขามองแผ่นหลังของฉินหร่านด้วยความรู้สึกประหลาดใจ

**

สกุลเฉิง

เดิมเฉิงเจวี้ยตัดสินใจไม่กลับมาทานข้าวที่บ้านในช่วงเย็น ทว่าเนื่องจากฉินหร่านไม่กลับมา เขาจึงต้องขับรถมาที่บ้านเดิม

ความจริงแล้ววันนี้ไม่ใช่วันประชุมประจำเดือน แต่เฉิงเวินหรู เฉิงเหราฮั่น และหัวหน้าผู้จัดการใหญ่แต่ละฝ่ายจำนวนหนึ่งมารวมตัวกันที่ห้องโถงใหญ่เพื่อหารือกัน

ผู้อาวุโสเฉิงนั่งอยู่หน้าสุดสวม เสื้อคอจีนด้วยท่าทางเคร่งขรึมเหมือนอย่างเคย

“เมื่อเร็วๆ นี้เมืองหลวงมีการเคลื่อนไหว” หัวหน้ารายงาน “มีคนจากทั้งสองฝ่ายฝั่งนั้นต้องการโยกย้ายไปที่เมือง C ในปีนี้……”

เมือง C เป็นเขตภูเขา สกุลเฉิงมีสิทธิ์และอำนาจมากในพื้นที่แห่งนั้น นอกจากเมืองหลวงแล้ว เมือง C ก็นับว่ามีกำลังคนอยู่จำนวนมหาศาล

ผู้อาวุโสยกน้ำชา หน้าตาขึงขังของเขาหันมองเฉิงเจวี้ยนที่กำลังเล่นบุหรี่อยู่อย่างเฉื่อยชา: “งั้นปีนี้ให้แกไป”

“พ่อครับ? !” เมื่อเฉิงเหราฮั่นได้ยินดังนั้น ก็รีบลุกขึ้นยืนทันที ด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป

ดูเหมือนว่าโทรศัพท์ในมือถูกเขาบีบจนเปลี่ยนรูปแล้ว

ที่แท้ผู้อาวุโสก็ยังให้ท้ายลูกชายคนเล็กของตัวเองเหมือนอย่างเคย แม้ว่าเขาจะทำอย่างไรก็ไม่เป็นผล ขนาดก้อนเนื้อชิ้นดีอย่างเมือง C ก็ยังยกให้มัน

มีใครเล่าจะไม่รู้ว่าผู้ใดที่ได้ไปเมือง C ผู้นั้นก็จะได้รับผลประโยชน์

หัวหน้าคนอื่นๆ ต่างมองหน้ากัน

ท่าทางของชายผู้นั้นที่นั่งอยู่บนเก้าอี้กลับสุขุม ก่อนสันกรามล่างอันประณีตยกขึ้นด้วยความเกียจคร้านและเอื่อยเฉื่อย “ผมขอปฏิเสธครับ”

เฉิงเวินหรูที่นั่งไขว้เท้าอยู่ข้างเขาพลันหันมองเขาด้วยท่าทีและสายตาของกุลสตรีผู้มีจิตใจอันเมตตาที่รู้จักรักษาความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของตัวเอง

เฉิงเจวี้ยนก้มมองโทรศัพท์ บอกเวลาสองทุ่มครึ่ง คาดว่าเธอน่าจะกลับมาแล้ว เขาจึงค่อยๆ พับแขนเสื้อก่อนยืนขึ้น “คุณพ่อครับ หัวหน้าทุกท่าน ผมกลับก่อนนะครับ”

เฉิงเหราฮั่นกลืนความคิดของตัวเองลงท้อง พลางส่งยิ้มให้อย่างเย็นชา

ที่แท้ ก็แค่คนไม่เอาไหนวันยังค่ำ

เฉิงเวินหรูมองแผ่นหลังของเฉิงเจวี้ยน ก่อนยืนขึ้นกล่าวกับผู้อาวุโสเฉิงและคนอื่นๆ แล้วรีบรุดตามเฉิงเจวี้ยนไป

“โอกาสดีขนาดนี้นายกลับไม่ไปเนี่ยนะ? อยากให้พ่อโมโหจนตายรึไง!” เธอกอดอก พลางพูดอย่างหัวร้อน

เฉิงเจวี้ยนกัดบุหรี่ ตอบอย่างใสซื่อว่า “เมือง C ไม่เห็นมีอะไรน่าเที่ยวเลย ไม่ไปอ่ะ ขอตัวนะ”

เขาโบกมือลาเฉิงเวินหรูอย่างเกียจคร้าน ก่อนกดปุ่มสตาร์ทรถขับออกไปอย่างรวดเร็ว

**

บ่ายวันต่อมา

ฉินซิวเฉินและฉินหลิงเดินทางมาถึงสนามบินเมือง C ก่อนอัดกันขึ้นรถของทีมงานกองถ่าย จนเดินทางมาถึงเขตอุทยานกึ่งเปิดภูเขาโบราณ

หลังจากที่เขาถึงเมือง C แล้ว ก็ไม่ได้ทำงานทันที แต่พาฉินหลิงลงเขาเพื่อเยี่ยมชมแหล่งท่องเที่ยวโบราณรอบหนึ่ง หลังจากถามฉินหลิงว่าฉินหร่านชอบอะไรแล้ว เขาก็ซื้อของฝากประจำท้องถิ่นกลับไปจำนวนมาก

ทั้งยังแบ่งของฝากออกเป็นสามส่วนอย่างเป็นระเบียบ

เมื่อผู้จัดการเห็นของฝากทั้งสามถุงนั้นก็รับมา “เป็นของพ่อบ้านฉิน หลานสาวของคุณแล้วก็นายน้อยสองใช่ไหมครับ?”

ของฝากพวกนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉินซิวเฉินวานให้ทำ แต่ทุกครั้งที่ไปสถานที่แห่งไหน เขามักจะซื้อของฝากประจำท้องที่กลับไป

ครั้งนี้แบ่งออกเป็นสามถุง น่าจะเอาไปให้ทั้งสามคนที่อยู่เมืองหลวง

ฉินซิวเฉินมองทั้งสามถุงอยู่พักหนึ่ง พลางหลับตาลง เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ก่อนเปิดปากพูดขึ้น: “ไม่ต้อง ฝากให้พ่อบ้านฉินทั้งสามถุงเลย”

“ฝากให้พ่อบ้านฉินหมดเลยเหรอครับ?” ผู้จัดการนิ่งไป เขาไม่เข้าใจความคิดของฉินซิวเฉิน ทว่าในเมื่อเขาพูดแล้วว่าฝากให้พ่อบ้านฉินทั้งหมด ผู้จัดการก็ไม่ได้ถามอะไรมาก ก่อนรีบหมุนตัวสั่งคนจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย

หลังจากผู้จัดการเดินจากไปแล้ว ฉินซิวเฉินถึงเดินกลับห้อง

ฉินหลิงกับเขาพักอยู่ห้องเดียวกัน เพราะที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่พวกเขาคุ้นเคย การให้ฉินหลิงอยู่ที่นี่คนเดียวทำให้เขารู้สึกไม่วางใจ

เมื่อเข้าเดินเข้าไป ฉินหลิงกำลังเปิดคอมเล่มเกมอยู่

ฉินซิวเฉินดึงเก้าอี้ยาวตัวหนึ่งนั่งข้างเขา “เสี่ยวหลิง อาให้พ่อบ้านเอาของฝากไปให้พี่สาวนาย นายคิดว่าพี่สาวต้องการมันไหม?”

ทั้งคู่ไปมาหาสู่กันมานาน ฉินซิวเฉินรู้แล้วว่าพี่สาวที่ฉินหลิงพูดถึงก็คือฉินหร่านนั่นเอง

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินหลิงเงยหน้าขึ้นมาจากคอม

เขาไม่ได้ตอบทันที แต่เปิดวีแชทขึ้นมา คลิกรูปโปรไฟล์สีขาวอันแรกที่เขาปักหมุดไว้บนสุด

[พี่ครับ คุณอาจะส่งของให้พี่ครับ]

หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ เขาถึงได้รับคำตอบทื่อๆ กลับมาว่า

[อืม]

มีเพียงแค่นี้ ฉินหลิงมองดูตัวอักษรคำนี้อย่างคิดไม่ตกพักหนึ่ง ทั้งเปิดบัญชีรายชื่ออยู่นานสองนาน ก่อนเจอรูปโปรไฟล์สีดำอันหนึ่ง

เสียงลั่นของแชทที่ส่งมาอย่างระรัวดังขึ้น

ที่ถิงหลาน เฉิงเจวี้ยนที่ได้รับข้อความจากฉินหลิง กำลังนั่งพิงอยู่บนโซฟา พลางนั่งมองตัวอักษรตัวหนึ่งที่ฉินหลิงส่งมาเป็นชุดด้วยใบหน้าเรียบเฉย

คำตอบของฉินหร่านแสดงเจตนารมณ์อย่างชัดเจน

ผ่านไปพักใหญ่ ก็ตอบกลับไปว่า

[จำไว้ว่าให้ไปส่งที่มหาลัย]

แน่นอนว่าเขาย่อมรู้ดี ฉินหร่านโปรดปรานน้องชายคนนี้มาก เฉิงเจวี้ยนตอบกลับเร็วกว่าฉินหร่าน ไม่ถึงสองนาทีฉินหลิงก็ได้รับข้อความจากเฉิงเจวี้ยน

เขากวาดตาอ่านรอบหนึ่ง จากนั้นส่งอิโมจิรูปยิ้มกลับไป

ตอนที่ฉินหลิงพิมพ์แชทอยู่นั้น ฉินซิวเฉินก็มองไปทางอื่นตลอด เขาให้เกียรติความเป็นส่วนตัวของฉินหลิง มิเช่นนั้นคงจำรูปโปรไฟล์ฉินหลิงที่ส่งข้อความมาได้อย่างแน่นอน

เมื่อได้รับคำตอบ ฉินหลิงจึงเก็บโทรศัพท์ “พี่บอกว่าไม่ชอบคนเสียงดัง”

“ได้” ฉินซิวเฉงคิดอยู่ครู่ใหญ่ก็ตีความหมายนั้นไม่ออก เพียงจดจำเอาไว้ “อาจะไม่ให้พ่อบ้านฉินพูดสักคำ ช่างเถอะ เดี๋ยวอาเขียนลงกระดาษก็แล้วกัน”

“อ้อ งั้นก็ไม่เป็นไรแล้ว” ฉินหลิงละสายตา หันมาเล่นเกมต่อ

ฉินซิวเฉินพยักหน้า พลางถามเพิ่มว่า “พี่สาวนายมีอะไรที่ชอบอีกไหม?”

เมือง C มีของเล่นแปลกใหม่มากมาย เขาเคยซื้อให้ฉินหลิงก่อนหน้านี้จำนวนหนึ่งแล้ว

เป็นเรื่องแปลกนัก เพราะตั้งแต่ผู้อาวุโสเสียชีวิตลง เขาก็ไม่ได้รู้สึกจงรักภักดีต่อตระกูลอีกเลย ทว่าสำหรับพี่น้องคู่นี้ เขากลับเป็นห่วงอย่างมาก

**

หนึ่งวันผ่านไป เวลาสองทุ่มตรง ของฝากทั้งสามชิ้นที่ส่งไปเมืองหลวงส่งถึงมือพ่อบ้านฉินแล้ว

ขณะนี้พ่อบ้านฉินกับพวกโปรแกรมเมอร์ทั้งสามคนกำลังศึกษาเกี่ยวกับโปรแกรมครั้งนี้อยู่

นี่เป็นครั้งแรกที่ไม่กี่ปีมานี้มีวิศวกรจากสำนักงานใหญ่ติดต่อมา ทั้งเป็นเวลาเร่งด่วน

ทำให้พ่อบ้านฉินกังวลอย่างยิ่ง

ขณะเดียวกันอาเหวินเดินเข้ามา “พ่อบ้านฉินครับ คุณชายหกฝากของมาให้ครับ”

“ส่งให้บ้านเดิมสินะ” พ่อบ้านฉินเงยหน้ามองเหมือนทุกครั้ง

อาเหวินยังไม่ออกไป เขาขมวดคิ้ว “คนที่ส่งมาบอกว่า มีหนึ่งในนี้ต้องส่งให้ถึงมือผู้รับเท่านั้นครับ”

“ตอนนี้ฉันกำลังยุ่งมากๆ ” พ่อบ้านฉินวางเอกสารในมือลง ก่อนยืนขึ้น พลางนวดหัวคิ้วอย่างเหนื่อยหน่าย: “ของสำคัญขนาดไหนถึงกับให้ฉันไปส่งเอง?”

“เป็นที่อยู่ในมหาวิทยาลัยเมืองหลวงครับ” อาเหวินก้มหน้าอ่านข้อความบนโน้ต ก่อนตอบกลับ

พ่อบ้านฉินเงยหน้ามองห้องฟ้า ก่อนพูดอย่างหนักแน่นว่า: “ตอนนี้ดึกมากเเล้ว พรุ่งนี้ค่อยไปส่งละกัน”

หากไม่ใช่เพราะฉินซิวเฉินเป็นคนพูดเอง ขณะเกิดเรื่องเร่งด่วนแบบนี้ พ่อบ้านฉินคงไม่ออกจากบ้านเพื่อไปส่งของแม้แต่ก้าวเดียว