ตอนที่ 343 พ่อบ้านฉินเจอฉินหร่าน ณ วันสอบ!

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

ช่วงเช้าตรู่ในวันต่อมา

ฉินหร่านตื่นแต่เช้า

เฉิงมู่ที่กำลังถือกรรไกรตัดแต่งกิ่งดอกไม้บนระเบียงอย่างประณีต เมื่อเห็นฉินหร่านเขาก็รีบพูดขึ้นทันที “คุณหนูฉินครับ วันนี้คุณมีสอบใช่ไหม? พ่อครัวตั้งใจทำอาหารเช้าไว้ให้คุณแล้ว”

เขาชี้อาหารเช้าที่วางอยู่บนโต๊ะ

มหาวิทยาลัยเมืองหลวงมีชื่อเสียงด้านการออกข้อสอบยาก แน่นอนว่าเป็นมหาวิทยาลัยหลักที่ฉินหร่านเลือก และการสอบในทุกๆ ครั้งก็ไม่ต่างจากการสอบเข้ามหาวิทยาลัย

พ่อครัวเตรียมรับมือกับการสอบครั้งนี้เต็มที่

วันนี้เฉิงเจวี้ยนไม่ได้วิ่งยามเช้า เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว เดินถือโทรศัพท์เดินเข้ามานั่งก่อนเงยหน้ามองฉินหร่าน “เมือง C เป็นเขตภูเขาที่อันตราย ทำไมพวกเขาถึงเลือกไปถ่ายวาไรตี้ที่เขตภูเขาละ?”

“อันตรายเหรอ?” ฉินหร่านเงยหน้ามอง

“ครั้งก่อนนี้มีฝนตกหนัก” เฉิงเจวี้ยนหยิบขนมปัง ฉินหลิงส่งที่อยู่ให้เขา เขาจึงส่งคนไปตรวจสอบ

สถานที่แห่งนั้นเป็นแบบกึ่งเปิด เขากังวลว่าจะเกิดดินถล่ม

มือของฉินหร่านชะงักไปครู่หนึ่ง

เฉิงเจวี้ยนเห็นสีหน้าของเธอ ก่อนพูดอย่างใจเย็นว่า: “น่าจะไม่มีอะไรหรอก ฉินซิวเฉินเป็นดาราที่มีชื่อเสียง ยังไงซะรายการก็มีมาตรการความปลอดภัยอยู่”

ผ่านไปครู่ใหญ่ ก็หันมายิ้มให้เธอ “วางใจเถอะ ฉันส่งคนไปจับตาแล้ว”

ได้ยินดังนั้นฉินหร่านถึงก้มหน้ากินต่อไปได้

**

ฉินหร่านถึงสนามสอบแรกเวลาเจ็ดโมงสี่สิบ

เมื่อเธอมาถึง ก็มีคนกว่าครึ่งห้องที่นั่งตามตำแหน่งเลขนักศึกษา ฉินหร่านกับหนานฮุ่ยเหยานั่งแยกกันสองที่นั่ง

ขณะเดียวกันคนในห้องก็เข้ามาทักทายฉินหร่านทีละคน

“ฉินหร่าน เธอมาสอบจริงๆ เหรอ?” กลุ่มผู้ชายมองฉินหร่านอย่างดีใจ “ฉันนึกว่าเธอไปวิศวกรรมนิวเคลียร์แล้วจะไม่กลับมาอีก”

ฉินหร่านเพียงหยิบปากกา และไม้บรรทัดอันหนึ่ง ส่วนของชิ้นอื่นไม่ได้หยิบมาด้วย ก่อนฟุบหน้าลงโต๊ะอย่างเกียจคร้าน

เมื่อคนอื่นมาพูดกับเธอ เธอเพียงถามคำตอบคำ

ส่วนหนานฮุ่ยเหยาและสิงไคที่ปกติเป็นคนพูดมาก กลับนิ่งเงียบ ทั้งสองคนนั่งอยู่ตำแหน่งของตัวเองอย่างกังวลใจ

ฉู่หังมองสิงไค “ทำไมนายไม่พูดอะไรเลยล่ะ? ปกติจะเอาแต่เรียกหาฉินหร่านอยู่ท่าเดียวเลยไม่ใช่เหรอ?”

สิงไคเบ้ปาก เขาหันไปมองฉินหร่านอีกฝั่ง

ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาก้มหน้าลงอีกครั้ง โดยไม่พูดจาอะไร

หากรู้ว่าเมื่อสองวันก่อนฉินหร่านยังถามเขาว่าวิศวกรรมอัตโนมัติปีแรกเรียนอะไร นายคงเป็นแบบฉันเนี่ยแหละ……

สิงไคหยิบกระดาษคำตอบของตัวเองออกมาอย่างหนักอกหนักใจ

สนามสอบแรกของมหาวิทยาลัยคือวิชาฟิสิกส์

หนังสือฟิสิกส์เล่มแรกของมหาวิทยาลัยคือวิชากลศาสตร์และอุณหวิทยา

เนื้อหาบทนี้เป็นบทเรียนที่ฉินหร่านเคยอ่านมาแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้หลักวิเคราะห์ทางกลศาสตร์สูตรไหนทั้งนั้น เพียงใช้สูตรลากรองจ์[1]ก็สามารถหาสมการอนุพันธ์ออกมา โดยใช้ความรู้ระดับมัธยมปลายที่ครั้งหนึ่งเธอไม่คุ้นเคยกับการที่อาจารย์ฟิสิกส์ให้เธอวิเคราะห์กลศาสตร์ทุกประเภท

โดยทั่วไปแล้วคนที่เจอกับกลศาสตร์ทางทฤษฎีเป็นครั้งแรก ต่างรู้สึกว่าทฤษฎีนี้เป็นวิธีที่มีประโยชน์มาก

ทว่าคำถามฟิสิกส์ของมหาวิทยาลัยเมืองหลวง ย่อมไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจง่าย เนื่องจากไม่ได้เรียนถึงอุณหวิทยา ข้อสอบทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องกลศาสตร์

ฉินหร่านกวาดตาดูข้อสอบปรนัยด้านหน้ารอบหนึ่ง ก่อนรู้สึกตกใจกับคำถามจำนวนหนึ่งด้านหน้า ราวกับว่าทั้งหมดมาจากข้อมูลวิทยานิพนธ์ของต่างประเทศ

แค่ข้อสอบปรนัยส่วนแรกก็วางกับดักไว้แล้ว

ก่อนหน้านี้หนานฮุ่ยเหยามักพูดเรื่องระดับความยากของข้อสอบกลางภาคมหาวิทยาลัยเมืองหลวงปีนี้ ฉินหร่านไม่รู้ว่ายากขนาดไหน เมื่อใช้ความรู้สึกวัดระดับความยากของข้อสอบ พอจะเข้าใจที่หนานฮุ่ยเหยาบอกว่ายากได้แล้ว

ไม่นับเรื่องระดับความยากของข้อสอบโดยรวม นับได้ว่าอาจารย์ผู้ออกข้อสอบทำได้อยู่ในระดับละเอียดรัดกุม ฉินหร่านมองออกว่า สาขาฟิสิกส์ให้ความสำคัญกับการสอบกลางภาคครั้งนี้จริงๆ

เธอถือปากกา พลางเขียนคำตอบลงไปอย่างขะมักเขม้น

เนื่องจากเป็นการสอบกลางภาค จึงมีเพียงอาจารย์คุมสอบเพียงคนเดียว

นักศึกษาที่สามารถสอบเข้าสาขาฟิสิกส์ของมหาลัยมหาวิทยาลัยเมืองหลวงได้ ย่อมมีความทระนงอยู่ในตัว เพราะฉะนั้นจึงเกิดการลอกข้อสอบกันน้อยมาก อาจารย์คุมสอบเองก็ไม่ค่อยเข้มงวดมากนัก พลางนั่งถือแก้วช้าอยู่หน้าห้องอย่างสบายใจ

เขาเป็นอาจารย์ปีสองสาขาฟิสิกส์ แต่ไม่ได้สอนวิชาฟิสิกส์ ทั้งไม่มองกระดาษข้อสอบของนักศึกษาแม้แต่น้อย ทว่าเพียงชั่วเวลาแห่งการสั่นคลอนนี้ ก็หยุดมองฉินหร่านอยู่ด้านข้างครู่หนึ่ง

มีเวลาสองชั่วโมงในการสอบ

ห้าสิบนาทีผ่านไป นักศึกษาส่วนใหญ่ยังไม่ได้เปลี่ยนหน้ากระดาษ เมื่อฉินหร่านเขียนเสร็จ ก็ตรวจทานรอบหนึ่ง ก่อนเก็บปากกาและไม้บรรทัด ยื่นกระดาษข้อสอบส่งให้อาจารย์คุมสอบ

ก่อนเดินออกจากห้องไป

ภายในห้องสอบ นักศึกษาคนอื่นต่างหันไปมองฉินหร่านอัตโนมัติ จากนั้นมองกระดาษข้อสอบที่อยู่ในมือของตัวเอง

อาจารย์ปีสองไม่ได้สอนฟิสิกส์ ทว่าเขาก็ได้ยินกิตติมศักดิ์ของฉินหร่านมาบ้าง เขาพลิกหน้ากระดาษข้อสอบของฉินหร่าน ก่อนเงยหน้าด้วยความประหลาดใจ นึกไม่ถึงว่าจะเขียนตอบทุกข้อ?

ทว่าเขาไม่รู้คำตอบที่ถูกต้อง ต้องให้อาจารย์เฉพาะทางเป็นผู้ตรวจสอบ

**

ทางด้านหนึ่ง

ก่อนพ่อบ้านฉินออกเดินทางจากที่พัก อาเหวินได้เตรียมของฝากที่ฉินซิวเฉินฝากมาให้เรียบร้อย ก่อนขับรถมุ่งไปที่มหาลัยมหาวิทยาลัยเมืองหลวง

“พ่อบ้านฉินครับ คุณชายหกบอกไหมครับว่าคนคนนั้นคือใคร? เพื่อนของเขาเหรอครับ? ทำไมต้องให้คุณไปส่งถึงมือเองด้วย?” แถมยังเขียนกำกับไว้อีกด้วยว่าถ้าพ่อบ้านเฉิงเจอเธอแล้วไม่ต้องพูดอะไรมาก

พ่อบ้านฉินนวดหัวคิ้ว ในใจของเขากังวลเรื่องงานโปรแกรมของสกุลฉิน เมื่ออาเหวินถาม เขาก็ไม่แยแสที่จะตอบ

หากเป็นเมื่อก่อน พ่อบ้านฉินคงแปลกใจว่าฉินซิวเฉินให้เขาเอาของไปส่งให้ใคร ทว่าตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์อยากรู้แม้แต่น้อย

ทั้งไม่สนใจด้วยว่าเป็นใคร

ในใจยังคงร้อนรน คิดอยากจะกลับสำนักงานใหญ่เพื่อตามเรื่องโปรแกรมเดี๋ยวนั้น

ทั้งสองคนเดินทางมาถึงมหาวิทยาลัยเมืองหลวง

ขณะเดียวกันที่มหาลัยมีการจัดการสอบกลางภาค บนถนนจึงมีนักศึกษาไม่มาก อาเหวินขับรถมาถึงถนนหลัก

พ่อบ้านฉินหยิบโทรศัพท์เปิดดูบัญชีรายชื่อที่บันทึกทิ้งไว้

เขากดโทรออกเบอร์โทรศัพท์นั้น ทว่าจำได้ว่าฉินซิวเฉินบอกไม่ต้องโทรไป จึงส่งข้อความอย่างระมัดระวังไปประโยคหนึ่ง

[คุณอยู่ที่ไหนครับ?]

ไม่มีคำตอบจากอีกฝ่าย

พ่อบ้านฉินนั่งรออยู่ในรถ สิบนาทีผ่านไป อีกฝ่ายส่งที่อยู่กลับมา

เมื่ออาเหวินเห็นที่อยู่บนโทรศัพท์มือถือของพ่อบ้านเฉิง จึงขับรถไปที่นั่น

สถานที่คือปากทางเข้าอาคารสาขาฟิสิกส์แห่งหนึ่ง เมื่ออาเหวินขับรถมาถึง ก็จอดรถลง ก่อนเดินไปที่ท้ายรถเพื่อเอาของที่ฉินซิวเฉินฝากให้ลงมา

เมื่อเห็นสัญลักษณ์ของสาขาฟิสิกส์ อาเหวินก็ถึงกับช็อก “ที่แท้คนที่คุณชายหกพูดถึงก็เรียนอยู่สาขาฟิสิกส์ของมหาวิทยาลัยเมืองหลวง? ไม่รู้ว่าเป็นใครกันแน่”

พ่อบ้านฉินเดินลงมาจากหลังรถ เดิมทีใบหน้าที่ไม่ได้สนใจอะไรก็ถึงกับตะลึงไปชั่วขณะหนึ่ง

เป็นนักศึกษาของสี่คณะหลักหรือนี่?

ทั้งสองคนรออยู่ปากทางเข้า ไม่ถึงสองนาที ก็เห็นผู้หญิงรูปร่างสูงเพรียวคนหนึ่งเดินมา เธอสะพายกระเป๋าเป้สีดำ สวมเสื้อฮู้ดแขนยาวสีดำ ขณะที่หมวกฮู้ดปิดบังหน้าราวกับว่าไม่อยากให้ใครเห็น

มองดูแล้ว ก็สัมผัสได้เพียงความเท่ของอีกฝ่าย

ที่แท้เป็นนักศึกษาหญิงคนหนึ่งรึ?

ทั้งพ่อบ้านเฉิงและอาเหวินต่างประหลาดใจ

ฉินหร่านเดินหยุดอยู่หน้าทั้งสองคน เธอถอดหมวกเสื้อฮู้ดพลางมองพ่อบ้านฉินคราหนึ่ง ถามด้วยสายตาเย็นชา “ซุปตาร์ฉินให้พวกคุณมาหาฉันเหรอคะ?”

พ่อบ้านเฉิงมองเธออย่างตกตะลึงจนพูดไม่ออก

เมื่อหญิงสาวดึงหมวกฮู้ดออก ก็ไร้ซึ่งเงาที่ปิดบังใบหน้า ทำให้มองเห็นโฉมหน้าของเธอได้อย่างชัดเจน ดวงตาดั่งเม็ดซึ่งอัดแน่นไปด้วยไอแห่งความหนาวเหน็บ ขนตายาวตกลงเล็กน้อย เป็นความงดงามที่ไร้ที่ติ

ดวงตาคู่นั้นเหมือนกับฉินฮั่นซิวอยู่แปดส่วน และเหมือนฉินหลิงอยู่เก้าส่วน และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เหมือนราวกับว่าเขามองเห็นความรู้สึกอันแรงกล้าของผู้อาวุโสที่ยังมีลมหายใจอยู่ในนั้น

แม้ไม่เคยเจอฉินหร่านมาก่อน ทั้งไม่ได้รับการยืนยันจากฉินซิวเฉิน พ่อบ้านฉินก็รู้ว่าเธอคือลูกสาวอีกคนของฉินฮั่นชิวแน่นอน

ชั่วขณะนั้นพ่อบ้านฉินลืมคำพูดของตัวเองหมดสิ้น เพียงมองฉินหร่านอย่างตะลึงงันจนพูดอะไรไม่ออก ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ยังไม่ได้สติกลับมา

นี่คือลูกสาวอีกคนของนายท่านสองที่เขาไม่เคยตามหาข้อมูลหรอกหรือ?

ที่แท้ก็เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยเมืองหลวง?

ทั้งยังเป็นนักศึกษาสาขาฟิสิกส์?

เมื่อครั้งแรกที่พ่อบ้านฉินรู้เรื่องนี้จากฉินซิวเฉิน เขามีท่าทีรำคาญใจอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ได้เจอฉินหร่านตรงหน้า เขากลับไม่มีความคิดนั้นเลยแม้แต่น้อย

แท้กระทั่งดวงตาในตอนนี้ยังลุกวาวเล็กน้อย

ตอนนี้กลับรู้สึกเสียใจที่ไม่รีบมาตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็น เสียเวลาไปตั้งหนึ่งวันเต็มๆ !

รู้เหตุผลแล้วว่าทำไมฉินซิวเฉินถึงต้องให้เขาเอาของมาส่งถึงมือฉินหร่านเองให้ได้

พ่อบ้านฉินไม่พูดอะไรเลยอยู่พักใหญ่

กระเป๋าเป้ในมือฉินหร่านถูกสะบัดไปด้านหลัง คิ้วเลิกขึ้นอย่างไม่ค่อยพอใจ: “ถ้าไม่มีอะไรฉันไปแล้วนะคะ”

เธอเดินไปได้สองก้าว อาเหวินไม่ได้คิดมากเหมือนพ่อบ้านฉิน การตอบสนองของเขารวดเร็วกว่าพ่อบ้านฉิน ก่อนรีบคว้าของมายื่นให้ฉินหร่าน

ของที่ฉินซิวเฉินฝากมาให้ฉินหร่านมีเพียงของกินจำนวนหนึ่ง นอกเหนือจากนั้นเป็นเสื้อผ้าท้องถิ่นไม่กี่ชุด ไม่หนักมาก

ฉินหร่านหิ้วอย่างเบามือ ก่อนกล่าวขอบคุณกับอาเหวิน แล้วเดินตรงไปห้องสมุด

ณ ปากทางเข้า เมื่อด็อกเตอร์โจวเห็นฉินหร่าน สายตาของเขาก็เป็นประกาย พลางกวักมือเรียกฉินหร่านจากด้านหลัง

“นักศึกษาฉินหร่าน เธอรอก่อน” เขารีบสาวเท้าเดินเข้าไปหาฉินหร่าน เพื่อพูดคุยกับเธอ “วันนี้ระดับความยากของข้อสอบกลางภาคเป็นยังไงบ้าง?”

ด็อกเตอร์โจวไม่รู้จักกับทางพ่อบ้านฉินฝั่งนั้น จึงไม่ได้พูดคุยกับพวกเขา ก่อนเดินไปกับฉินหร่านที่กำลังไปห้องสมุด ทั้งเขายังช่วยเธอถือของด้วยท่าทีกระตือรือร้น

ฉินหร่านกล่าวปฏิเสธอย่างเย็นชายิ่ง “ไม่ต้องค่ะ”

ด็อกเตอร์โจวนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสนามฝึกทหาร เขาเงียบไปครู่หนึ่ง จึงไม่มีความตั้งใจอยากช่วยฉินหร่านถือของอีก

จึงเดินสนทนาเรื่องข้อสอบครั้งนี้กับฉินหร่าน

“พอไหว” นี่เป็นคำถามที่ถามเธอรอบที่ n ได้ ฉินหร่านคิดอยู่พักหนึ่ง จากนั้นตอบอย่างไม่รีบร้อน

เมื่อทั้งสองเดินไปถึงห้องสมุด ด็อกเตอร์โจวไม่ได้เดินเข้าไปด้วย

ด็อกเตอร์โจวได้แต่มองแผ่นหลังของฉินหร่าน จากนั้นหยิบโทรศัพท์ดูเวลา ขณะนี้เพิ่งสิบโมงกว่า ยังเหลือเวลาสอบอีกหนึ่งชั่วโมงสินะ?

เขาเปิดโทรศัพท์ ก่อนส่งข้อความถามหาอาจารย์ฟิสิกส์ปีหนึ่งประโยคหนึ่ง

[นี่คุณตั้งใจออกข้อสอบแล้วใช่ไหมครับ?]

[1] กลศาสตร์แบบลากรองจ์ หรือ Lagrangian Machanics เป็นกลศาสตร์แบบหนึ่งที่อยู่ภายในขอบเขตของกลศาสตร์ดั้งเดิม ของกฎนิวตัน ถูกเสนอในปีค.ศ. 1788 โดยนักคณิตศาสตร์ชาวฝรั่งเศส – อิตาลี โฌแซ็ฟ หลุยส์ ลากร็องฌ์ สูตรนี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการเคลื่อนที่แบบต่างๆ ที่มีความซับซ้อนและแก้ปัญหาด้วยกลศาสตร์นิวตันได้ยาก