“หึ! ท่านพลลาดตระเวน ท่านดูพฤติกรรมของซูหวานหว่านสิขอรับ! เห็นหรือไม่ว่าทั้ง ๆ ที่นางเรียกข้าว่าลุง! แต่ดูสิ่งที่ครอบครัวของนางทำสิ เช่นนี้จะไม่เรียกว่าเลวทรามต่ำช้าได้อย่างไรกัน!”

“เลวทรามต่ำช้า” ไป๋หยวนซูพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

“ใช่ไหมขอรับ! เห็นได้ชัดว่าเลวทรามต่ำช้า! ท่านให้พวกเขาแบ่งเงินมาให้ข้าครึ่งหนึ่งเลย!” ซูต้าจ้วงกล่าวออกมาอย่างกับคนมีความสุขมากจนควบคุมไม่ได้

ท่าทางคนผู้นี้น่าจะสติไม่ปกติหรือเปล่า? ไป๋หยวนซูถึงกับขมวดคิ้ว “ข้าหมายถึงเจ้าต่างหากที่เลวทรามต่ำช้า ไม่ใช่คนอื่นเสียหน่อย”

พอกล่าวจบ ไป๋หยวนซูก็เตะไปที่ขาของซูต้าจ้วงจนล้มลงไปกับพื้นอย่างแรงพร้อมทั้งเงยหน้าขึ้นไปมองที่ซูหวานหว่านและกล่าวออกมาว่า “คุณหนูซู ท่านอยากจะให้ข้าจับเขาไปพร้อม ๆ กับคนเหล่านั้นเลยหรือไม่ขอรับ?”

ซูหวานหว่านครุ่นคิด นัยน์ตาของนางเต็มไปด้วยความลังเลใจ กำลังคิดอยู่ว่าจะจัดการกับลุงของตนเองอย่างไรเพื่อที่ไม่ให้ชาวบ้านเอาไปว่าได้ว่านางใจร้ายกับลุงของตัวเองเกินไป

ไป๋หยวนซูเข้าใจถึงจุดประสงค์ของซูหวานหว่านทันที และกล่าวออกมาด้วยสีหน้าจริงจังว่า “คุณหนูซู ท่านอย่าขอร้องแทนเขาเลย คนที่ไร้ยางอายเช่นนี้ทำให้หมู่บ้านเสื่อมเสีย ข้าจะจับเขาไปขังคุกสักสองสามวัน จนกว่าเขาจะสำนึกผิด ข้าถึงจะปล่อยตัวเขาออกมานะขอรับ”

“หากเป็นเช่นนั้นแล้วข้าก็คงจะช่วยอะไรไม่ได้” ซูหวานหว่านตอบกลับไป ทว่าดวงตาของนางกลับเต็มไปด้วยความสุข และนางก็แอบชมไป๋หยวนซูอยู่ภายในใจหลายต่อหลายครั้ง

ชายผู้นี้มีไหวพริบที่ดีมาก! แน่นอนว่าต่อไปในอนาคตเขาจะต้องได้เป็นคนใหญ่คนโตอย่างแน่นอน! หากนางมีมิตรไมตรีต่อเขาเรื่อย ๆ เช่นนั้นคงจะดีมากแน่ ๆ

แม่เจิ้นจำได้ว่าคราก่อนที่มีคนมาบุกรุกรื้อถอนบ้านของนาง พลลาดตระเวนกลุ่มนี้เป็นคนช่วยกันจับคนเหล่านั้น นางจึงยิ้มแย้มออกมาแล้วส่งขนมให้

จากนั้นกลุ่มชาวบ้านก็พากันพูดซุบซิบนินทาว่า พลลาดตระเวนเหล่านี้ที่กลับมาที่นี่ก็เพื่อมาตรวจสอบให้แน่ใจ ซึ่งก็ได้คลายข้อสงสัยของพวกเขาไปเสียจนหมดว่าพลลาดตระเวนกลุ่มนี้มาที่นี่ด้วยเหตุใด

ไป๋หยวนซูและคนอื่น ๆ ต่างเข้ามาเสนอตัวช่วยเหลือซูหวานหว่าน ทว่านางรู้สึกว่าตัวตนของพลลาดตระเวนเหล่านี้เด่นชัดเกินไปในหมู่บ้าน จึงเกรงว่าพวกชาวบ้านจะเอาไปพูดสร้างเรื่องหรือข่าวลือที่เป็นเท็จขึ้นมา เด็กสาวจึงปฏิเสธไป

หลังจากได้ยกเหล้าและเอาอาหารดี ๆ ให้พลลาดตระเวนได้ดื่มและกิน พอพวกเขากินเสร็จนางก็ได้ไปส่งไป๋หยวนซูและพลลาดตระเวนคนอื่นกลับ

ก่อนจากไป ไป๋หยวนซูหันกลับมาพร้อมเอ่ยว่า “คุณหนูซูขอรับ ตอนนี้ข้ามาประจำการอยู่ที่หมู่บ้านไป๋เจียแล้ว หากท่านมีปัญหาหรือต้องการให้ข้าช่วยเหลือ ท่านสามารถมาหาข้าได้ทุกเมื่อนะขอรับ”

ซูหวานหว่านยังไม่ทันได้เอ่ยปากส่งเสียงออกไป พลันก็ได้ยินเสียงของชาวบ้านลอยเข้าหู

“ตายแล้ว! มิใช่ว่าน้องชายผู้นี้ชอบซูหวานหว่านหรอกหรือ? อีกทั้งยังบอกที่พักอาศัยของตนให้กับนางอีก!”

“ช่างน่าเสียดาย ข้าว่าจะแนะนำหญิงสาวให้เขารู้จักเสียหน่อย!”

“…”

ไป๋หยวนซูยังไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยด้วยซ้ำ

ซูหวานหว่านก็ถึงกับตกตะลึงต่อชาวบ้านพวกนี้ที่ต่างรู้จักฉวยโอกาสเสียเหลือเกิน!

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ไป๋หยวนซูก็แย้มยิ้ม เกาหัวของตนเองด้วยท่าทางเขินอาย

เมื่อทุกอย่างกลายเป็นเช่นนี้ ซูหวานหว่านจึงรีบส่งตัวไป๋หยวนซูและพลลาดตระเวนคนอื่นกลับไป

เพราะเหตุใดวันนี้ถึงมีเรื่องเกิดขึ้นมากมายนัก! เมื่อชาวบ้านเห็นว่าสถานการณ์ของครอบครัวซูหวานหว่านไม่มีอันใดแล้ว จึงพากันเดินกลับบ้านของตนเอง และเอาเรื่องนี้ไปพูดต่อที่บ้านหลังอื่น ๆ

เหมี่ยวอี้เซิงที่เดินเตร็ดเตร่อยู่ในหมู่บ้านที่กำลังจะไปแสวงหาความก้าวหน้ากับหัวหน้าหมู่บ้าน พอได้ยินเสียงพูดคุยของเหล่าชาวบ้าน พลันใดเขาก็นึกได้ว่าอาจจะทำให้ซูหวานหว่านเปลี่ยนใจมาชอบตนเอง เหตุนั้นแล้วเขาจึงตัดสินใจเดินไปที่บ้านของซูหวานหว่านทันที

เมื่อเดินมาถึงก็ได้พบกับซูหวานหว่านที่กำลังเก็บของอยู่ที่หน้าประตูบ้าน เหมี่ยวอี้เซิงเดินเข้าไปอย่างช้า ๆ พลางดึงเสื้อผ้าที่มีรอยยับเล็กน้อยของตนเองเบา ๆ “ข้าได้ยินมาว่าท่านลุงของเจ้ากลับมาสร้างปัญหาให้แก่เจ้ารึ? พวกเขาไม่น่าจะใช่คนจริง ๆ เจ้าไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหนใช่หรือไม่?”

น้ำเสียงนั้นนุ่มนวลราวสายน้ำ และอบอุ่นดั่งแสงอาทิตย์ ทว่าซูหวานหว่านกลับรู้สึกรังเกียจและขยะแขยงมันเป็นอย่างมาก

เมื่อเห็นท่าทางตกตะลึงของซูหวานหว่าน เหมี่ยวอี้เซิงก็เดินวนไปพลางสำรวจรอบ ๆ ตัวของนาง เขารู้สึกว่าซูหวานหว่านมีร่างกายผอมเพรียว จึงเอ่ยออกมาเบา ๆ ว่า “ให้ข้าดูหน่อยสิ ว่าเจ้านั้นไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหน”

นางไม่เคยรู้มาก่อนว่าเหมี่ยวอี้เซิงจะเป็นคนที่น่าสะอิดสะเอียนได้ถึงเพียงนี้!

อะไรที่ทำให้เขาเปลี่ยนจากหลังเท้ามาเป็นหน้ามือได้กัน?

ซูหวานหว่านทำทีเป็นไม่สนใจเขาและยังคงกวาดพื้นต่อไป โดยจงใจกวาดฝุ่นใส่เท้าของเหมี่ยวอี้เซิง

การกระทำของนางทำให้เหมี่ยวอี้เซิงรู้สึกโกรธขึ้นมาทันใด และเขาก็นึกคิดได้ที่ซูหวานหว่านจงใจทำเช่นนี้กับเขาเป็นเพราะว่านางต้องชอบเขาเป็นแน่! เพียงแต่ว่าตอนนี้นางยังคงรู้สึกโกรธเขาอยู่เท่านั้นเอง!

“หวานหว่าน~” เหมี่ยวอี้เซิงเรียกชื่อนางออกมาเบา ๆ อีกหน และทันใดเขาก็เห็นว่ามีดอกไม้วัชพืชที่ขึ้นในสนามหญ้า เขาเด็ดดอกไม้ป่าสีขาวเอามาให้กับซูหวานหว่านพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงอย่างนุ่มนวล “ดอกไม้นี้มันช่างงดงาม บริสุทธิ์มากเฉกเช่นเจ้า และข้าคิดว่ามีเพียงเจ้าเท่านั้นที่คู่ควรกับมัน”

“!”

คำพูดนี้ช่างน่าสะอิดสะเอียนจริง ๆ!

ซูหวานหว่านทำเหมือนว่านางไม่ได้ยินสิ่งใด จากนั้นนางก็ยังคงทำความสะอาดต่อไป แต่ไม่ว่านางจะเดินไปทิศไหนเหมี่ยวอี้เซิงก็ได้เดินตามนางไปทุกที่ โดยยังพูดไม่หยุดปาก

“หวานหว่าน ข้ารู้ว่าเจ้ายังโกรธข้าอยู่”

“หวานหว่าน! เจ้าช่วยสนใจข้าสักหน่อยเถิด ข้ารู้ว่าเจ้ายังโกรธเรื่องที่เมื่อก่อนข้าใจร้ายต่อเจ้าเกินไป… เอาเป็นว่าข้าจะเพิ่มเงินสินสอดให้มากขึ้นกว่าเดิม จากนั้นพวกเราสองคนก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมเถอะ เจ้ายังเป็นคู่หมั้นของข้าและข้าก็ยังเป็นคนที่เจ้าจะแต่งงานด้วย เจ้าจะว่าอย่างไรล่ะ?”

“…”

เหตุใดเขาถึงคิดไม่ได้ตั้งแต่ต้น แล้วตอนนี้จะกลับมางั้นหรือ? นางไม่มีทางกลับไปอย่างแน่นอน

ซูหวานหว่านหยุดสะอิดสะเอียนกับคำพูดของเขาไปชั่วครู่ นางนำไม้พิงไว้ที่กำแพงบ้านพร้อมกับเหล่มองไปที่เหมี่ยวอี้เซิง “เหมี่ยวอี้เซิง เหตุใดเจ้าไม่พูดเช่นนี้ตั้งแต่ครานั้น?”

“ตอนแรก…ข้าเพียงสับสน แต่ในตอนนี้ข้ารู้สึกเสียใจมาก เจ้าจะให้โอกาสข้าอีกสักครั้งได้หรือไม่ ให้ข้าได้แก้ไขความผิดพลาดของตนเอง ข้าจะปฏิบัติต่อเจ้าเป็นอย่างดี” เหมี่ยวอี้เซิงกล่าวด้วยความมั่นใจอย่างมาก แล้วได้สอดดอกไม้เข้าไปในผมของซูหวานหว่านก่อนจะสบตาหญิงสาวอย่างจัง พลันหัวใจของเขาก็สั่นไหวและเตรียมกดริมฝีปากลงไป

แต่ทันใดนั้นก็มีคนเข้ามาขัดจังหวะเขากับซูหวานหว่านเสียก่อน

“แม่นางซู” ชายหนุ่มใส่เสื้อสีเขียวได้ปรากฏตัวพร้อมกับเดินไปยืนกั้นระยะห่างระหว่างนางกับเหมี่ยวอี้เซิงออกจากกัน “เหมี่ยวอี้เซิง นี่เป็นเวลากลางวันแสก ๆ โปรดระวังการกระทำของเจ้าด้วย”

ชายหนุ่มคนนี้เป็นใครกัน? ซูหวานหว่านเอียงศีรษะนึกคิดเป็นเวลานาน ทว่าก็คิดชื่อไม่ออก และจู่ ๆ นางก็นึกถึงเรื่องการถูกจับคู่พร้อมกับขมวดคิ้วขึ้นมา หรือว่าจะเป็นคนในตระกูลไป๋ ดูจากลักษณะท่าทางของบุคคลผู้นี้แล้ว เขาน่าจะเป็นไป๋ชุนซุ่ย

เหมี่ยวอี้เซิงรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมากกับการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของไป๋ชุนซุ่ย “คุณชายไป๋! เจ้าก็ควรระวังการกระทำของเจ้าด้วยเหมือนกันนะ กลางวันแสก ๆ เช่นนี้เจ้าเข้ามาหาคู่หมั้นของข้าถึงที่บ้าน หมายความว่าอย่างไรกัน?“

“ห้ะ? คู่หมั้น?” ไป๋ชุนซุ่ยอดไม่ได้ที่จะพูดออกมา

ซูหวานหว่านเอ่ยออกมาอย่างเย็นชา “เหมี่ยวอี้เซิง เจ้าควรระวังคำพูดของเจ้าเสียบ้างนะ ข้าไม่ได้เป็นคู่หมั้นของเจ้า อีกทั้งข้าได้คืนเงินให้เจ้าไปตั้งแต่วันถอนหมั้นแล้ว ต่อจากนี้ข้ากับเจ้าก็ไม่มีอะไรที่ติดค้างกันอีก ที่เจ้ากลับมาหาข้า ข้าก็ช่วยอะไรเจ้าไม่ได้เช่นกัน”

“แม่นางซูได้พูดออกมาหมดแล้ว เจ้าจะยังหน้าด้านหน้าทนยืนอยู่ที่นี้อีกงั้นหรือ?” ไป๋ชุนซุ่ยเอ่ยขึ้นพร้อมเหลือบไปมองใบหน้าอันซีดเซียวของเหมี่ยวอี้เซิง “หากจะให้ข้าพูดสรุปง่าย ๆ ก็คือตั้งแต่วันถอนหมั้นวันนั้น เจ้ากับแม่นางซูก็ไม่ใช่คู่หมั้นกันอีกต่อไป”

“ไป๋ชุนซุ่ย เจ้าพูดจาเช่นนี้ไม่กลัวว่าข้าจะทำให้เจ้าสอบไม่ติดชั้นขุนนางยศสูงหรอกหรือ?”

“เฮอะ เจ้าเนี่ยนะจะมีสิทธิ์ทำอย่างนั้น เช่นนั้นแล้วเรามาดูกันว่าเจ้าจะทำให้ข้าสอบไม่ผ่านหรือว่าข้าจะทำให้เจ้าเหม็นเน่ากับข่าวฉาวก่อนกัน”

ไป๋ชุนซุ่ยพูดพร้อมทั้งหัวเราะเยาะเย้ย “เจ้าจะไปรู้จักใครได้? ซื่อต้าฟู่งั้นเหรอ? เจ้าคิดว่าเขาจะช่วยเจ้าได้หลังจากที่ข้าได้เล่นงานเจ้าไปแล้วอย่างงั้นหรือ?”

“ระวังไว้เถอะ!” เหมี่ยวอี้เซิงกัดฟันพูดและเขาก็ไม่ได้เดินไปหาหัวหน้าหมู่บ้านเพื่อหาความก้าวหน้า ทว่าเขาได้ออกเดินทางเข้าไปในเมือง เพื่อไปขอความช่วยเหลือจากซื่อต้าฟู้เพื่อตัดอนาคตของไป๋ชุนซุ่ย

นี่ผู้ชายสองคนกำลังทะเลาะกันเพราะนาง? เหตุใดบรรยากาศมันดูแปลก ๆ นัก ซูหวานหว่านก็อยากจะพูดห้าม ทว่านางรู้สึกว่าควรอยู่เงียบ ๆ เสียจะดีกว่า

“เจ้ารอดูเถอะ!” เหมี่ยวอี้เซิงพูดทิ้งท้ายและเดินจากไป

หลังจากเหมี่ยวอี้เซิงเดินออกไปแล้ว เหลือเพียงไป๋ชุนซุ่ยและซูหวานหว่านเท่านั้น ซึ่งบรรยากาศรอบตัวก็ค่อนข้างอึดอัด

ซูหวานหว่านเองก็รู้สึกไม่สบายใจ นางเดินไปกวาดพื้นต่อ เมื่อเห็นการกระทำที่สงบของหญิงสาว หัวใจของไป๋ชุนซุ่ยก็สั่นไหวอย่างไม่คาดคิดและไม่กล้าที่จะสบตา

ส่วนฉีเฉิงเฟิงที่เดินผ่านมาได้เห็นเหตุการณ์ตรงหน้าเข้า เขาพลันรู้สึกตื่นตระหนกอย่างบอกไม่ถูก