นางกำลังทำอันใดอยู่กับชายแปลกหน้าผู้นั้น? อีกทั้งยังหน้าแดงอีกด้วย?

ฉีเฉิงเฟิงอดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปด้านใน เมื่อเขาก้าวเท้าเข้าไปซูหวานหว่านก็พลันมองมาหาเขาทันที ทว่าฉีเฉิงเฟิงกลับรู้สึกคิดผิดที่เดินเข้ามา

เพราะเขาไม่รู้ว่าตนเองจะเข้ามาทำไม และเขามาทำอันใดอีกด้วย? ทั้งยังไม่มีอะไรจะพูดอีก!

ฉ่ายโกววิ่งเข้าไปหาและเห่าใส่ฉีเฉิงเฟิง ซูหวานหว่านจึงดึงตัวฉ่ายโกวเอาไว้ “อย่ากัดเขา เขาไม่ได้เป็นคนไม่ดี”

“ดูเหมือนว่าเจ้าจะคุ้นเคยกับชายผู้นี้ดีนะ?” ไป๋ชุนซุ่ยและฉีเฉิงเฟิงเอ่ยคำพูดเดียวกันนี้ขึ้นมาพร้อมกัน

ชายหนุ่มสองคนจดจ้องไปที่ซูหวานหว่าน ทำให้บรรยากาศรอบข้างอึมครึมแปลก ๆ

ซูหวานหว่านก็ไม่รู้จะตอบกลับไปอย่างไรดี

พลันใดแม่เจิ้นก็เดินเข้ามาและเอ่ยว่า “หว่านเอ๋อร์ รีบมาช่วยข้าทำอาหารให้กับพวกท่านป้าและท่านลุงที่มาช่วยกันทำบ้านของเราเร็ว…”

เหตุใดถึงมีผู้ชายสองคน?

แม่เจิ้นเดินเข้ามาและเมื่อนางได้เห็นไป๋ชุนซุ่ย สีหน้านางก็เปลี่ยนไป พร้อมกับพูดความคิดของตัวเองออกมาอย่างตรงไปตรงมา “คุณชายไป๋ เมื่อวานนี้ท่านแม่ของเจ้ามาหาข้าที่นี่เพื่อพูดคุยกับหวานหว่าน เจ้ารู้เรื่องนี้หรือไม่?”

“ข้าทราบขอรับ วันนี้ที่ข้ามาที่นี่ก็เพื่อที่จะมาขอโทษหวานหว่านที่เมื่อวานนี้แม่ของข้าทำกิริยาไม่สุภาพขอรับ” ไป๋ชุนซุ่ยพูดออกมาอย่างสุภาพ

“เจ้าไม่ได้ชอบหวานหว่านใช่หรือไม่?” แม่เจิ้นถามออกมา

เขาควรจะตอบกลับไปอย่างไรดี? ไป๋ชุนซุ่ยรู้สึกกังวลขึ้นมา เขาครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง ทว่าก็คิดไม่ออกอยู่ดี แต่ใบหน้าของเขานั้นกลับแดงก่ำ

แม่เจิ้นจึงกล่าวความเห็นของตัวเองออกมา “ในเมื่อเจ้าไม่ชอบนาง ก็อย่ามาสู่ขอนางไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม ข้าจะไม่ยอมให้ลูกสาวของข้าไปเป็นเมียรองของเจ้าอย่างเด็ดขาด”

เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ ฉีเฉิงเฟิงก็รู้สึกเบิกบานขึ้นมาทันที เมื่อนึกถึงสิ่งที่ซูหวานหว่านพูดเอาไว้ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาพร้อมกับเอ่ยว่า “ตลอดชีวิตมีคู่ชีวิตเพียงคนเดียวก็เพียงพอแล้ว”

ซูหวานหว่านพยักหน้าเห็นด้วย “หากจะให้ข้าไปเป็นเมียรองย่อมเป็นไปไม่ได้ และทั้งชีวิตนี้ของข้าไม่มีทางเป็นได้ หากให้ข้าไปเป็นเมียรอง ข้าขอแก่ตายไปคนเดียวเสียดีกว่า”

แม่เจิ้นตีที่ศีรษะลูกสาวทันที “เจ้าพูดจาเช่นนั้นได้อย่างไรกัน!”

นางมีความคิดเช่นนี้ด้วยหรือ?

ทว่าก็เป็นความจริง

ไป๋ชุนซุ่ยหยุดไตร่ตรองครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจพูดบางสิ่งออกมา ที่เขาอยากจะพูดออกมาตั้งนานแล้วแต่ไม่กล้าที่จะพูดมันออกมา

“ท่านป้าขอรับ หวานหว่านไม่จำเป็นต้องไปเป็นเมียรองหรือว่าอนุหรอก ข้าสัญญาว่าหากข้าสอบได้ที่หนึ่งของชั้นขุนนาง ข้าจะให้นางเป็นภรรยาเอกขอรับ”

หลังจากพูดออกไป ไป๋ชุนซุ่ยก็รู้สึกประหม่าขึ้นมา ชายหนุ่มลอบมองใบหน้าของซูหวานหว่านอย่างเงียบ ๆ

ซูหวานหว่านและแม่เจิ้นยังไม่มีผู้ใดเอ่ยอันใดออกมา ทว่าฉีเฉิงเฟิงกลับเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า “ในตอนนี้เจ้ายังสอบไม่ผ่านตำแหน่งซิ่วฉาย*[1] เสียด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับสอบได้ที่หนึ่งของชั้นขุนนาง หากเจ้าจะได้ตำแหน่งที่หนึ่งของชั้นขุนนางแล้วล่ะก็ เจ้าจะต้องสอบผ่านซิ่วฉายมานานแล้วล่ะ”

ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นคนปากร้าย ทว่าเป็นเพราะไป๋ชุนซุ่ยเสียต่างหากที่ไม่ยอมรับว่าตนเองสอบไม่ผ่านชั้นซิ่วฉาย! นับประสาอะไรจะสอบได้ที่หนึ่งของชั้นขุนนาง!

ใบหน้าของไป๋ชุนซุ่ยซีดลง แม้ว่าฉีเฉิงเฟิงจะอายุยังน้อย ทว่าเขาก็ได้ยินข่าวลือเรื่องฉีเฉิงเฟิงอยู่บ้าง ชายหนุ่มผู้นี้ทั้งกล้าหาญ มีความรู้ความสามารถ แม้ว่าเขาไม่เคยสอบขุนนางระดับชั้นเคอจวี่*[2] เลยแต่เขาก็สามารถสอบผ่านระดับชั้นซิ่วฉายแล้ว

ไป๋ชุนซุ่ยถึงกับพูดไม่ออก

แม่เจิ้นกล่าวออกมาอีกว่า “ใช่! ใครจะไปรู้ว่าเจ้าจะสอบได้คะแนนสูงสุดเมื่อไร! ไม่รู้ว่ามันต้องใช้เวลานานเท่าใดจนกว่าเจ้าจะสอบได้อันดับต้น ๆ ลูกสาวของข้าเองก็ไม่สามารถรอเจ้าได้นานขนาดนั้นเช่นกัน”

“นางสามารถเป็นเมียรองไปก่อน…” ไป๋ชุนซุ่ยกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเบาหวิว

“เช่นนั้นลูกสาวของข้าจะต้องทนข่มขืนใจอีกกี่ปีกัน?” แม่เจิ้นพูดออกมาด้วยโทสะ ไม่ว่าไป๋ชุนซุ่ยจะพูดสิ่งใดออกมาก็ตาม ทว่ามันก็ฟังไม่ขึ้นแล้ว

ไป๋ชุนซุ่ยรู้ว่าตัวเองไม่มีปัญญาทำอะไรแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากจะต้องเดินกลับบ้านไป

เมื่อตอนที่กำลังจะเดินกลับบ้านไป เขารู้สึกว่ามีอะไรติดค้างภายในใจของเขาเล็กน้อย จึงเดินหันกลับมาอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าแม่เจิ้นเดินกลับเข้าบ้านแล้ว ทว่าฉีเฉิงเฟิงยังยืนอยู่เลยเอ่ยว่า “แม่นางซู ช่วยเดินออกมากับข้าสักครู่ได้หรือไม่ ข้ามีเรื่องที่ต้องการพูด”

พลันใดอากาศรอบ ๆ ตัวของพวกเขาก็ดูอึมครึมอีกครั้ง ซูหวานหว่านเหลือบมองฉีเฉิงเฟิงและเห็นว่าคิ้วของเขากำลังขมวดเป็นปม ชายหนุ่มจึงก็ตอบกลับไปแทน “เจ้ามีอันใดที่ไม่สามารถยืนพูดที่นี่ได้อย่างงั้นหรือ?”

ข้าจะไม่ให้นางออกไปกับเขาเด็ดขาด!

ไป๋ชุนซุ่ยทำสิ่งใดไม่ถูก เขาพูดประโยคที่ค้างภายในใจของตัวเองออกมาและพูดด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำอย่างแผ่วเบา “วันนี้ข้าปฏิบัติตนล่วงเกินเจ้าเกินไป ทว่าเขาไม่ใช่คนดี เจ้าอย่าได้ใจเต้นกับเขาเชียว”

เขาที่ว่าคือใคร? ไป๋ชุนซุ่ยกล่าวพลางมองไปที่ฉีเฉิงเฟิง เท่านั้นความหมายมันก็ชัดเจนแล้ว

ซูหวานหว่านยกยิ้มขึ้นมา “ข้ารู้”

เมื่อเปรียบเทียบระหว่างไป๋ชุนซุ่ยกับฉีเฉิงเฟิง ซูหวานหว่านก็รู้สึกว่าฉีเฉิงเฟิงนั้นดีกว่าไป๋ชุนซุ่ยในทุกแง่มุม

สิ่งที่ซูหวานหว่านรู้สึกชื่นชมมากที่สุดเกี่ยวกับฉีเฉิงเฟิง คือการที่เขาไม่พูดจาโอ้อวดตนเอง และเขาก็ไม่เคยที่พูดจาหรือล่วงเกินเอาเปรียบสตรีเลย

หลังจากที่ไป๋ชุนซุ่ยเดินจากไป ฉีเฉิงเฟิงก็เดินตามออกไป

แท้จริงแล้วหูของเขาก็ดีเช่นนี้ เพราะเขาได้ยินสิ่งที่ไป๋ชุนซุ่ยพูดออกมาอย่างชัดเจน พลันใดชายหนุ่มก็พูดสิ่งที่อยู่ในความคิดของตนออกมา “เขาไม่ใช่คนดี เจ้าอย่าไปใจเต้นกับเขานะ”

“หึ” ซูหวานหว่านหัวเราะออกมาและพูดจาล้อเลียนฉีเฉิงเฟิงว่า “ตอนนี้ข้าก็โตพอที่จะต้องแต่งงานออกเรือนได้แล้ว หากข้าปล่อยตัวเองไป 2 ปีข้าก็คงจะแก่เกินไป ในตอนนี้ข้ายังไม่พบคนที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมที่จะแต่งงานด้วย ข้าจะแต่งงานกับใครดี? ทว่าดูเหมือนคนที่มีคุณสมบัติที่ดีที่สุดตอนนี้คงจะเป็นไป๋ชุนซุ่ย”

นางต้องการแต่งงานกับไป๋ชุนซุ่ยรึ!?

บรรยากาศรอบ ๆ ตัวดูอึดอัดขึ้นมาทันที หลังจากที่ซูหวานหว่านได้พูดประโยคนั้นออกมา

“คุณสมบัติของข้าดีกว่าเขามาก… ” เจ้าสามารถรับข้าไปพิจารณาได้

หลังจากพูดไปถึงครึ่งประโยค ฉีเฉิงเฟิงก็ตกตะลึงทันที

เขาอย่างงั้นเหรอ?

เหตุใดเขาถึงพูดเช่นนี้ออกไป?

บรรยากาศรอบข้างคลายลง ซูหวานหว่านก็พลันได้เห็นใบหน้าของฉีเฉิงเฟิงขึ้นสีแดงระเรื่อด้วยความเขินอาย

“คุณสมบัติของเจ้าดีพร้อม เจ้าจะแต่งงานกับข้าไหมล่ะ?” ซูหวานหว่านถามออกไป

ชายหนุ่มตกตะลึงไปชั่วขณะ ในตอนนี้หน้าของเขาเหมือนจะแดงขึ้นมา

ซูหวานหว่านรู้สึกไปถึงจังหวะการเต้นของหัวใจของตนเอง

ริมฝีปากสีแดงของฉีเฉิงเฟิงเปิดออกเล็กน้อย ใบหูขึ้นสีแดงและพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือว่า “ข้า…”

“หวานหว่าน! รีบเข้ามาช่วยข้าทำอาหารเร็ว! ข้าทำคนเดียวไม่ได้นะ!” แม่เจิ้นตะโกนเสียงดังขัดจังหวะ

ซูหวานหว่านก็ยังลังเล ทว่าทำอะไรไม่ได้นอกจากรีบวิ่งเข้าไปในห้องครัวทันที

ฉีเฉิงเฟิงยังอยู่ที่เดิมและเสียอาการไปชั่วขณะ จากนั้นก็เดินออกจากบ้านไป

ซูหวานหว่านเข้าไปช่วยงานแม่เจิ้นที่ห้องครัว โดยภายในใจของนางเอาแต่คิดถึงคำพูดเมื่อครู่ของฉีเฉิงเฟิง ทำให้จิตใจก็นางก็กระสับกระส่ายไปมา “เฮ้อ…”

ซูหวานหว่านกำลังล้างผักอยู่ จู่ ๆ ก็มีเสียงเรียกอยู่ภายนอกประตูบ้าน

“น้องหวานหว่าน เจ้าอยู่ที่นี่หรือไม่?” เสียงของหญิงสาวก็ได้ดังขึ้นมาจากข้างนอก

น้ำเสียงนี้…

ซูหวานหว่านขมวดคิ้ว วางผักที่กำลังล้างอยู่แล้วเดินออกไปดู แม่เจิ้นก็ได้พูดออกมาว่า “นั่นไม่ใช่เสียงของซูฉิงฉิงหรอกเหรอ? แม้ว่านางจะเป็นคนของลุงเจ้า ทว่านางนั้นต่างจากครอบครัวลุงของเจ้ามาก แถมนางยังคอยมาช่วยพวกเราเป็นครั้งคราวอีกด้วย! งั้นเจ้าก็อย่าลืมบอกนางอยู่กินข้าวด้วยกันก่อนนะ”

ซูฉิงฉิงเคยช่วยครอบครัวของนางด้วยหรือ?

ในความทรงจำของซูหวานหว่าน ซูฉิงฉิงเป็นผู้หญิงที่สุภาพอ่อนโยนและใจดีถือว่าเป็นแบบอย่างของจรรยาบรรณของหญิงสาวในหมู่บ้านเลยก็ว่าได้

แต่ถึงยังไงซูหวานหว่านก็รู้สึกไม่ถูกกับนางอยู่ดี

เมื่อก่อนนางก็เคยถูกซูฉิงฉิงเรียกใช้ โดยให้นางทำหน้าที่เป็นวัวและม้า

ตอนนั้นที่ซูฉิงฉิงได้เพลิดเพลินไปกับการชมทิวทัศน์จนเหนื่อยแล้ว และรู้สึกว่าบนพื้นนั้นสกปรกอย่างมาก ซูฉิงฉิงจึงให้นางคุกเข่าแล้วซูฉิงฉิงนั้นก็ได้นั่งบนหลังของนาง แถมซูฉิงฉิงมักจะเมินเฉยต่อนางด้วยเช่นเดียวกัน

เมื่อดูจากอุปนิสัยแล้ว ซูหวานหว่านก็รู้สึกได้ว่าครอบครัวของพวกเขาก็มีนิสัยเหมือนกันหมด

หากจะพูดในแง่ของความเป็นจริงแล้วครอบครัวของซูฉิงฉิงมีฐานะที่ดีกว่าครอบครัวของพวกนาง เหมือนกับฮองเฮาที่ชอบใช้อำนาจที่อยู่เหนือกว่าคนอื่นมาบังคับกดขี่ข่มเหงคนที่อ่อนแอกว่า

ซูหวานหว่านรู้สึกว่าการมาที่นี่ของนางในครั้งนี้อาจจะมีเจตนาที่ไม่ดี!

เมื่อคิดได้แบบนั้นนางก็รู้สึกโมโหขึ้นมา

[1]ตำแหน่งซิ่วฉาย คือ บัณฑิตระดับอำเภอ

[2]ระดับชั้นเคอจวี่ คือ ระบบการสอบคัดเลือกข้าราชการที่ทางราชสำนักจัดขึ้นให้เป็นการสอบส่วนกลาง เพื่อคัดเลือกผู้ที่มีความสามารถตามผลคะแนนสอบ และเพื่อประเมินการได้รับความรู้และคุณธรรมของผู้เข้าสอบ แล้วแต่งตั้งดำรงตำแหน่งข้าราชการในส่วนต่าง ๆ ต่อไป